บทที่ 62 หญิงสาวในศาลา(ปลาย)
เสียงอันไพเราะดังขึ้นในหูของเขา ตอนนั้นเองที่ ซูอัน ตระหนักว่าเขากำลังร้องไห้ ผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามเขาจ้องมาที่เขาอย่างสงสัย
“ข้าคิดถึงบ้านของข้า” ซูอันปาดน้ำตาออกจากใบหน้าขณะตอบ
ก่อนหน้านี้ความรู้สึกของเขามันท่วมท้นไปด้วยความตื่นเต้น
และความตึงเครียดที่ได้ย้ายมาอยู่ต่างโลกซึ่งมันทำเขาไม่มีเวลาคิดถึงบ้านของเขาเลย การย้อนอดีตเมื่อชั่วครู่ที่ผ่านมาทำให้ภาพพ่อแม่ของเขาในโลกเดิมมันแจ่มชัดขึ้น และทำให้เขารู้สึกเศร้าที่คิดไปถึงภาพความเจ็บปวดของพ่อแม่เขาที่รู้ข่าวว่าลูกชายของตัวเองได้ตายไปแล้ว
สีหน้าของหญิงสาวสั่นไหวครู่หนึ่ง ดูเหมือนนางจะแปลกใจที่ได้ยินว่าเขาสามารถเข้าใจเพลงของนางได้
ตอนนั้นเองที่ ซูอัน สังเกตเห็นเครื่องดนตรีคล้ายเปลือกหอยอยู่ในมือของนาง เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เมื่อครู่เจ้าเล่นสิ่งนั้นใช่ไหม?”
“อืม” หญิงสาวตอบพร้อมพยักหน้า
“ให้ข้ายืมสักครู่ได้ไหม?” ซูอันถาม
“เจ้ารู้วิธีเล่นดนตรีงั้นเหรอ?” ผู้หญิงคนนั้นถามด้วย
ความแปลกใจ
ซูอัน ยิ้มด้วยความผิดหวังกับตัวเอง “ข้ามักช่ำชองในทักษะที่ไร้ประโยชน์ที่ไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้”
ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นก่อนที่จะโยนเครื่องดนตรีมาให้กับ ซูอัน
เมื่อได้รับเครื่องดนตรีมา ซูอัน ตรวจสอบมันทันที แม้ว่าเครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายเปลือกหอยนี้จะมีลักษณะเฉพาะ แต่หลักการเบื้องหลังการทำงานก็ไม่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ แต่เมื่อเขากำลังจะลองเป่ามันดูเพื่อทดสอบโน้ต เขาก็สังเกตเห็นรอยลิปสติกบาง ๆ บนมัน
ซึ่งนั่นทำให้เขาลังเลเล็กน้อยจากนั้นจึงหันไปหาหญิงสาวผู้นั้นแล้ว
ถามว่า “ข้าขอลองได้ไหม?”
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มและพยักหน้าในที่สุด ซูอัน ก็นำเครื่องดนตรีมาประทับที่ริมฝีปากของเขาเพื่อทดสอบ ในเวลาไม่นาน เขาได้คิดคร่าว ๆ แล้วว่าโน้ตตัวนี้สามารถเล่นได้ มันมีความคล้ายคลึงอย่างน่าทึ่งกับ
ขลุ่ยโอคาริน่า ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา
เมื่อทำนองเพลงก่อนหน้ากระตุ้นความคิดถึงเกี่ยวกับบ้านของเขา ดังนั้นเขาจึงเล่นเพลง Scenery of Hometown โดยไม่รู้ตัว ในช่วงมหาวิทยาลัยเขาพยายามอย่างหนักในการเรียนรู้วิธีการเล่น
ขลุ่ยโอคาริน่าเพื่อเอาไว้จีบสาว ๆ แต่แล้วท้ายที่สุดเมื่อเขาช่ำชองมันอย่างเต็มที่เขาก็ได้รู้ว่าต่อให้เขาจะเล่นไอ้เครื่องดนตรีนี้ได้เทพแค่ไหนมันก็ยังแพ้ รถ Ferrari อย่างไม่เห็นฝุ่นอยู่ดี
เมื่อท่วงทำนองจบลง ทั้ง ซูอัน และหญิงสาวที่อยู่ในศาลา
ต่างก็จมดิ่งอยู่ในห้วงความทรงจำของตัวเองอย่างเงียบ ๆ จนมีเพียง
แค่เสียงฝนที่ตกลงมาระหว่างพวกเขาให้ได้ยิน
จนกระทั่งผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามเขาเช็ดดวงตาของนาง ซึ่งทำให้
ซูอัน เอ่ยทักขึ้นว่า “เจ้าก็ร้องไห้เหมือนกัน”
ผู้หญิงคนนั้นถอนหายใจเบา ๆ และพูดว่า “ข้าเห็นทุ่งกว้างใหญ่
พระอาทิตย์อัสดง และการลาจากท่วงทำนองของเจ้า ชื่อเพลงอะไร”
“ทิวทัศน์ของบ้านเกิด” ซูอันตอบ “ของเจ้า?”
“ทะเลอันเงียบสงบ” ผู้หญิงคนนั้นหยกขวดหยกขึ้นจิบสุรา “เจ้าอยากจิบสักหน่อยไหม?”
ซูอันลังเลเล็กน้อย “ข้าไม่มีถ้วย” ด้วยเหตุผลบางอย่างที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ เขาพบว่าเขาไม่สามารถมีความคิดอกุศลกับหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาได้เลย เขารู้สึกเหมือนว่าตอนนี้เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง
ผู้หญิงคนนั้นโยนขวดหยกมาให้ซูอันและพูดว่า “ขนาดข้ายังไม่ถือแล้วเจ้าจะคิดให้มันมากไปให้ได้อะไร?”
เมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนี้ไร้กังวลเพียงใด ซูอัน รู้สึกว่าเขาทำตัวแข็งทื่อเกินไปที่นี่ ดังนั้นเขาจึงยกขวดและดื่มไปอึกใหญ่ อย่างไรก็ตาม ทันทีที่สุราไหลเข้าปาก เขาก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่พุ่งเข้าใส่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกราวกับว่าทั้งร่างกำลัง
ถูกไฟคลอก!
เขาสำลักและเริ่มไออย่างรุนแรงจนหน้าแดง “นี่มันสุราอะไรกัน ทำไมมันแรงขนาดนี้!?” สุราที่เขาเพิ่งดื่นไปมันแรงกว่า VODKA ที่เขาเคยดื่มในชีวิตก่อนหน้านี้ซะอีก
“ชื่อของมันคือ ผลาญนภา อันที่จริงสุรานี้มีคนไม่มากนักที่สามารถดื่มมันได้เพราะความร้อนแรงของมัน แต่ด้วยความพิเศษบางอย่างของร่างกายข้า ข้าจึงมักจะดื่มสุรานี้เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น” ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับ จากนั้นนางกวักมือส่งสัญญาณให้ ซูอัน โยนขวดหยกกลับมาให้นางเพื่อที่นางจะได้จิบมันต่อ
“ข้าชื่อซูอัน ขอทราบชื่อเจ้าได้ไหม” ซูอันถาม
ผู้หญิงคนนั้นส่ายหัวเบา ๆ แล้วยิ้ม “การพานพบกันของเราเป็นเพียงวาสนาชั่วครู่ ท้ายที่สุดเราต้องลาจากกันอยู่ดี ใยรู้จักกันไปให้เปล่าประโยชน์?”
ซูอัน ท้วงขึ้นทันที “แต่ข้าบอกชื่อเจ้าไปแล้ว”
หญิงคนนั้นตอบกลับ “เจ้าเป็นคนบอกข้าเอง ข้าไม่ได้ขอ”
“ข้ารู้สึกเหมือนถูกเอาเปรียบ” ซูอันบ่นอย่างไม่พอใจ
ผู้หญิงคนนั้นก็หัวเราะคิกคัก “เจ้าดื่มสุราของข้า ไม่ว่าข้าจะมองอย่างไร ข้าก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างที่เจ้าเอ่ย”
“นั่นก็จริงของเจ้า” ซูอัน พยักหน้าเห็นด้วย แต่แล้วเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าฝนกำลังค่อย ๆ หยุดลง เขาจึงลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ถ้าโชคชะตาพาเรามาพบกันอีกครั้ง เจ้าบอกชื่อเจ้าได้ไหม?”
“สงสัยเราจะได้เจอกันอีก” ผู้หญิงคนนั้นส่ายหัว นางเหลือบมองกระเป๋านักเรียนที่เขาถืออยู่ “เจ้าเป็นนักเรียน สถาบันจันทร์กระจ่าง?”
หัวใจของ ซูอัน เต้นผิดจังหวะ เฉกเช่นนักเรียนที่กำลังทำผิดและอยู่ต่อหน้าฝ่ายปกครอง เขามองผู้หญิงคนนั้นอย่างระมัดระวังและตอบว่า
“เจ้าไม่ตอบคำถามของข้า ทำไมข้าถึงควรตอบคำถามของเจ้า?”
ผู้หญิงคนนั้นชี้ไปที่กระเป๋าที่เขาถืออยู่และพูดว่า “ข้าบอกได้แม้ว่าเจ้าจะไม่พูดอะไรก็ตาม เจ้ากำลังแบกเป้ที่มีแต่นักเรียนของ สถาบันจันทร์กระจ่าง เท่านั้นที่มี ตอนนี้ควรเป็นเวลาเรียน แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย ข้าเรียนมากว่ายี่สิบปีแล้ว
ข้าไม่ต้องการเรียนบ้าบออะไรอีกแล้ว!” ซูอันตอบกลับด้วยความหงุดหงิด
“อนุบาล? มหาวิทยาลัย?” ความสับสนเกิดขึ้นที่ดวงตาของหญิงสาว อย่างไรก็ตาม นางเลือกที่จะไม่ถามเรื่องนี้ แม้แต่นางยังมีเรื่องหลายเรื่องที่เป็นความลับ ดังนั้นนางจึงรู้ตัวว่านางไม่ควรถามซอกแซกเรื่องของผู้อื่นมากเกินไป
“ขอบใจเจ้าสำหรับสุรา เอาล่ะข้าคงต้องขอตัวก่อน” ซูอัน ยังคงคิด
ที่จะไปตามหา อวี๋เหยียนลั่ว เพราะว่าภารกิจนี้มันเกี่ยวข้องกับความสุขทั้งชีวิตของเขา!
“เอาล่ะ ดูเหมือนว่าเราจะได้พบกันอีกในอนาคตอันใกล้นี้” รอยยิ้มขี้เล่นเกิดขึ้นบนริมฝีปากของหญิงสาว
ซูอัน เหลือบมองนางด้วยหางตาอย่างเฉยเมยก่อนที่จะปลีกตัวออกมาทันที
‘คิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดของเจ้างั้นเหรอ? นี่มันคงเป็นมุขที่เจ้าชอบใช้เพื่อดึงดูดความสนใจผู้ชายหน้าตาดีอย่างข้าใช่ไหมล่ะ?’
แต่ไม่นานหลังจากที่ ซูอัน เดินออกจากศาลา เขาก็สังเกตเห็นชายชุดดำคนหนึ่งเดินมาทางเขาพอดีซึ่งชายผู้นั้นในตอนแรกก็มองดูเขาอย่างเป็นกันเอง
ก่อนที่จะเดินผ่านเขาไป แต่หลังจากนั้นไม่กี่ก้าว ชายผู้นั้น หยุดกึกและรีบถอยหลังพร้อมกับอุทานขึ้นมาว่า “ซูอัน?”
“เจ้าคือใคร?” ซูอัน ขมวดคิ้วมองไปที่ชายชุดดำ เมื่อมองดี ๆ
เขาเห็นว่าชายชุดดำผู้นี้มีรอยแผลเป็นยาวตั้งแต่จมูกจรดแก้มขวา นอกจากนี้ยังมีรอยสักดอกบ๊วยอยู่ใกล้คอ ซึ่งมันทำให้หัวใจของซูอันเต้นรัว เขาจำได้ว่า ดอกบ๊วยสิบสอง ก็มีรอยสักแบบนี้เหมือนกัน!