ตอนที่ 72 หลินฟางจือ พลังห้วงมิติ

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 72 หลินฟางจือ พลังห้วงมิติ

ตอนที่ 72 หลินฟางจือ พลังห้วงมิติ

เมื่อก่อนเธอไม่รู้สึกเท่าไหร่ แต่พอมาเห็นตอนนี้ก็รู้สึกว่ามันคุ้มมาก

ฉางจิงคงจะใช้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อพัฒนามัน ยิ่งไปกว่านั้นมันแตกต่างจากอาวุธพลังงานนิวเคลียสของตงหยางโดยสิ้นเชิง และเธอก็เป็นผู้ถือเอกสิทธิ์ทั้งคู่

อดีตผู้นำกองทัพสิงหงเหวินก็อยู่ด้วย เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้ม

“หยิบขึ้นมาลองดูสิ ผมได้ยินมาจากสือจื่อจิ้นว่าช่วงนี้คุณกำลังฝึกยิงและทำมันออกมาได้ดี หลังจากที่คุณคล่องมือแล้ว สามารถนำไปที่สนามฝึกเพื่อทำให้ทุกคนเห็นว่ามันทรงพลังแค่ ไหน”

ซูเถายื่นมือไปทางปืนพลังงานนิวเคลียส ก่อนจะหยุดแล้วถามว่า

“สัมผัสโดยตรงจะไม่เป็นไรใช่ไหม?” ดูเหมือนว่ารอบ ๆ จะมีลมกระโชกแรง

“ไม่เป็นไร”

ทันทีที่เธอแตะมัน กระแสลมก็หายไปทันที และปืนพลังนิวเคลียสก็อยู่ในมือเธออย่างมั่นคง

สัมผัสของมันเย็นเล็กน้อยและมีความรู้สึกแปลก ๆ เมื่อสัมผัส มันไม่หนักแถมมีน้ำหนักที่เบามากอีกต่างหาก

สือจื่อจิ้นบอกเธอ “นำผลึกนิวเคลียสมาไว้ใกล้ๆเพื่อสะสมพลังงาน”

ซูเถาทำตามที่เขาบอก ทันทีที่ผลึกนิวเคลียสเข้าใกล้ ปืนในมือของเธอก็สั่นสะเทือน และความรู้สึกเย็นนั้นก็กลายเป็นความอุ่น

ผลึกนิวเคลียสสีเขียวดูเหมือนจะถูกดูดซับจนแห้ง และกลายเป็นพื้นผิวโปร่งใสภายในไม่ถึงห้าวินาที และมันก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ในอากาศตรงจุดนั้น

ด้านในของปืนพลังงานนิวเคลียสที่มีประจุ เหมือนมีของเหลวสีมุกไหลเวียนเหมือนดวงดาวที่สว่างไสวในตอนกลางวัน

มันสวยงามมากจนซูเถาลืมไปว่านี่เป็นของอันตราย

เมื่อมาที่สนามฝึกซ้อม ก็เล็งไปที่แขนขาขนาดใหญ่ที่แข็งแกร่งของซอมบี้ ‘เคียวโลหิต’ ที่ถูกจัดเตรียมไว้

เพียงนัดเดียวแขนขาขนาดใหญ่ของมันที่ไม่สามารถถูกเจาะได้ด้วยกระสุนธรรมดา ก็แตกออกจากกัน

ส่วนที่ยากที่สุดของ ‘เคียวโลหิต’ คือแขนขาที่เหมือนเคียวขนาดใหญ่ทั้งสองของมัน

เป็นพลังโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุด การทำลายแขนขาของมัน ก็เท่ากับว่าทำลายความสามารถในการโจมตีของมัน

ผู้คนที่อยู่ที่สนามฝึกซ้อม เมื่อเห็นผลลัพธ์นี้ต่างก็แปลกใจ

แม้แต่สือจื่อจิ้นก็คิดไม่ถึง เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบแขนขาที่แตกร้าวและพูดว่า

“มันทรงพลังมาก เทียบเท่ากับการโจมตีอย่างเต็มแรงจากสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติระยะประชิด และมีความรวดเร็วมาก”

จากนั้นเขาก็ยิ้มและถามซูเถา

“คุณรู้สึกยังไงบ้าง?”

ซูเถาพยักหน้า “มันใช้ง่ายกว่าปืนพกทั่วไป ทั้งยังมีน้ำหนักเบามาก เวลาถือก็ไม่เมื่อย ไม่มีเสียงของปืน ฉันเกือบเข้าใจว่าฉันยังไม่ได้ยิงออกไป”

เธอถูสิ่งที่อยู่ในมือเธอสองครั้งอย่างทะนุถนอม

“พลังงานนั้นไม่เกินจริงไปหน่อยเหรอ ฉันเพิ่งยิงออกไป ของเหลวสีมุกที่ไหลอยู่ด้านในก็ไม่ร้อนเท่าตอนที่กำลังจัดเก็บพลังงานแล้ว”

สือจื่อจิ้นกล่าวว่า “ใบกำกับที่ทางฉางจิงส่งมา ยืนยันว่าปืนพลังงานนิวเคลียสนี้ใช้ได้เพียงสี่ครั้งหลังจากเพิ่มผลึกนิวเคลียสของซอมบี้ที่มีวิวัฒนาการแล้วเข้าไป”

ซูเถารู้สึกเจ็บปวดในทันใด “งั้นต้องประหยัดหน่อย”

เธอสงสัยว่าผลึกนิวเคลียสของซอมบี้ที่มีวิวัฒนาการมีไม่ถึงสิบชิ้นในตงหยาง ส่วนเคียวโลหิตไม่ต้องพูดถึง แค่ล่ายังยาก อาจถูกฆ่าตายได้

ซูเถาขอบคุณอดีตผู้นำกองทัพ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสุข

สิงหงเหวินก็มีความสุขเช่นกัน เขาหันไปหาสือจื่อจิ้นและพูดว่า

“ฉันวางแผนที่จะมอบอาวุธพลังงานนิวเคลียสให้เผยตงอีกชิ้นหนึ่ง เธอไม่มีพลังความสามารถทรงพลังเช่นนาย และการปกป้องเมืองก็ไม่ใช่งานที่ปลอดภัย…”

สือจื่อจิ้นกล่าวว่า “ท่านไม่ต้องอธิบายให้ผมฟังหรอก ผมเข้าใจแล้ว และผมเองก็ไม่ได้ต้องการมัน ผมสามารถจัดการสัตว์ร้ายตัวนั้นได้ด้วยตัวเอง อีกอย่างครั้งนี้เราออกไปเป็นกลุ่ม ไม่มีอะไรน่ากังวล”

ซูเถาแหย่เขาด้วยปืนแล้วแกล้งหยอกเขาว่า

“ฉันยกของฉันให้คุณได้ แต่คุณต้องเตรียมผลึกนิวเคลียสมาเอง”

สือจื่อจิ้นกับอดีตผู้นำกองทัพหัวเราะ

สือจื่อจิ้นพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “คุณเก็บไว้เถอะ คุณรักษาชีวิตตัวเองได้ก็พอแล้ว”

ระหว่างทางไปฝ่ายพลาธิการ ซูเถาอารมณ์ดีและเบิกบานมาก

มีปืนนี้ก็สามารถรักษาชีวิตไว้ได้แล้ว ภารกิจนี้มีการก้าวกระโดดเชิงคุณภาพและมันจะราบรื่นยิ่งขึ้น

เธอวางแผนที่จะกลับไปหาคุณย่าเฉินเพื่อให้เธอเย็บกระเป๋าเล็ก ๆ รอบเอวให้เพื่อที่จะได้ใช้เก็บปืน

เมื่อมีอันตราย เธอก็สามารถสะบัดเสื้อผ้าออกแล้วชักปืนออกมาเพื่อต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนร่วมทีม

บางทีเธออาจจะแข็งแกร่งพอ ๆ กับกวานจือหนิงและสามารถฆ่าเคียวโลหิตได้ด้วยตัวเธอเอง

เมื่อเห็นท่าทางของเธอ สือจื่อจิ้นก็รู้ว่าเธอกำลังฝันกลางวัน เขาก็เลยหยิบน้ำเย็นไปดับฝันเธอ

“อย่าคิดว่าคุณจะรอดด้วยสิ่งนี้ เคียวโลหิตไม่ใช่ของตายที่คุณจำลองยิงในวันนี้ พวกมันเคลื่อนไหวได้และมีความฉลาดในระดับหนึ่ง หากคุณเจอพวกมันโจมตีที่ขบวนรถ คุณเองก็ควรอยู่ในรถไม่ต้องลงมา และปล่อยให้การเผชิญอันตรายเป็นหน้าที่ของพวกผม”

ซูเถารับน้ำเย็นมาจากเขา “ขอบคุณ ฉันก็ทำได้แค่คิดเท่านั้นแหละ”

เมื่อมาถึงฝ่ายพลาธิการ หัวหน้าฝ่ายพลาธิการก็มาเชิญพวกเขาเข้าไปด้านในอย่างสุภาพ

ในขณะเดียวกัน เจียงจิ่นเวยกำลังถือกล่องเสบียงไปที่โกดัง เมื่อเธอหันไปเธอก็เห็นซูเถา

เมื่อเห็นเธอมีท่าทางตกตะลึง เพื่อนร่วมงานก็อดไม่ได้ที่จะกระตุ้น

“จิ่นเวย งงอะไรอยู่ เร็วเข้า เจ้าหน้าที่ระดับสูงกำลังรีบ พลตรีสือกำลังจะนำทีมไปปฏิบัติภารกิจ เราต้องเตรียมเสบียงให้พร้อมในสองวัน”

เจียงจิ่นเวยฉายแววความสับสน เธอยื่นคางชี้ไปยังชายที่เปิดประตูให้ซูเถาแล้วถาม

“นั่นใคร?”

คิดไม่ถึงว่าซูเถาจะคบหากับคนมียศมีตำแหน่งจริง ๆ ชายที่ดูมีตำแหน่งทางการทหารสูงยืนอยู่ข้าง ๆ หัวหน้าฝ่ายพลาธิการ

เพื่อนร่วมงานฝ่ายพลาธิการที่เข้ามาทำงานก่อนเธอและได้พบกับสือจื่อจิ้นหลายครั้ง ดังนั้นพวกเขาจึงพูดว่า

“นี่คือพลตรีสือ เป็นธรรมดาที่เธอจะไม่เคยเห็นเขา เขามักจะอยู่ข้างนอก ไม่ได้มาที่ฝ่ายพลาธิการของเราเท่าไหร่ เขากลับมาแค่เดือนละครั้ง”

สีหน้าของเจียงจิ่นเวยเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดเธอก็พูดว่า “อ๋อ” แล้วหันหลังกลับไปพร้อมกับถือกล่องเอาไว้แน่น

……

“ท่านพลตรี ที่คือเอกสารของคนทั้งสามที่ผมเลือกเอาไว้ คุณลองดูก่อนไหม?”

สือจื่อจิ้นไม่ได้ดูข้อมูล แต่ส่งเอกสารเหล่านั้นให้ซูเถาแทน

หัวหน้าฝ่ายพลาธิการแสดงท่าทีที่สุภาพกับซูเถาทันที

“คุณซู สามคนนี้อายุไล่เลี่ยกัน พวกเขาทุกคนไว้ใจได้ โดยเฉพาะผู้หญิงคนนี้อายุ 24 ปี ชื่อ หลวนเหยียนเหยียน เมื่อก่อนเธอเคยไปทำภารกิจง่าย ๆ กับท่านพลตรีมาแล้วและนำเสบียงกลับมาอย่างราบรื่น ถือว่ามีประสบการณ์”

สือจื่อจิ้นได้ยินคำพูดนั้นแล้วมองข้ามไป เขาไม่มีความประทับใจกับคนในรูปโปรไฟล์มากนัก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไร

ซูเถาไม่ได้ตัดสินใจในทันที แต่เธอเรียกตัวทั้งสามคนมาดู

หลังจากนั้นไม่นานผู้ชายสองคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคนก็มา

ความสนใจของซูเถาตกอยู่ที่เด็กชายรูปร่างผอมบางที่กำลังเดินตามหลังมาทันที

เขาไม่เพียงดูดีเท่านั้น แต่ถือได้ว่าเขาหน้าตาดีทีเดียว

แต่ว่าเขาผอมเกินไป และอายุของเขาก็ดูไม่ถึง 18 ปี อย่างที่ระบุไว้ในข้อมูล เขาดูอายุน้อยกว่าเฉียนหรงหรงที่มีอายุ 16 ปีเสียอีก

หัวหน้าฝ่ายพลาธิการดูออกว่าเธอคิดอย่างไร เขาจึงรีบไขความกระจ่างให้ซูเถาทันทีและรีบอธิบายว่า

“ฟางจือเพิ่งมาที่ตงหยาง ชีวิตของเขาประสบกับความยากลำบากมา”

ซูเถาเข้าใจได้ในทันทีว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตที่กวานจือหนิงบอกว่าเขามาที่ตงหยางเพื่อหนีความยากลำบากและมาหาทางเอาชีวิตรอด เขาอาจจะเป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่เขาจึงไม่ได้รับโภชนาการที่ดีตั้งแต่เขายังเล็ก เขาจึงดูผอมและตัวเล็กแบบนี้

หลินฟางจือเงยหน้าขึ้นมองซูเถา เมื่อเขาได้ยินชื่อของตัวเอง

ดวงตาเหมือนลูกกวางน้อยคู่นั้น ช่างเป็นการแสดงออกที่ไร้เดียงสาผสมกับความซับซ้อน ทำให้ผู้คนรู้สึกขัดแย้ง

แต่เมื่อเขาเห็นสายตาของสือจื่อจิ้น เขาก็ลดสายตาลงอีกครั้ง