WS บทที่ 142 รอบสุดท้าย PART 1

เมอร์ลินเงยน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า เขารู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาที่เขาอย่างสนใจ สายตานั่น ได้กวาดมองทุกส่วนของร่างกายจนไม่มีสิ่งไหนหลุดรอดไปได้

“นักเวทย์ระดับเจ็ด!!”

เมอร์ลินกําหมัดแน่น เขารู้ว่าเป็นการจ้องมองมาจากนักเวทย์ระดับเจ็ด แม้ว่าจะอยู่ไกลแต่ก็ทําให้เขารู้สึกหนักใจ

ผ่านไปสักพักการจ้องมองก็หายไป เมอร์ลินถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ฉันได้เปิดเผยตัวเองในฐานนะที่เป็นนักเวทย์หกธาตุ บางทีฉันอาจจะถูกจับตามองโดยพวกเขาเหล่านั้น” เมอร์ลินพึมพํากับตัวเอง

ก่อนหน้านี้ที่เขาระดมร่ายคาถาใส่พ่อมดนีลในคราเดียว ที่เขาทําแบบนี้ส่วนหนึ่งก็ทําเพื่อพ่อมดโฮล์มส์แต่จริง ๆ เขาทําเพื่อแสดงทักษะของเขาให้นักเวทย์ระดับเจ็ดบนหอคอยสูงมองเห็นเขา

ทางด้านพ่อมดนีล เขาจ้องมองเมอร์ลินอย่างดุเดือด แววตาของเขาเต็มไปด้วยความแค้น “ฉันไม่มีโอกาสแม้จะร่ายคาถา…เขากล้าดียังไงถึงทําลายแผนของฉันอย่างสมบูรณ์”

นีลไปเป็นพ่อมดใจแคบ ตัวเขาตั้งใจจะแสดงความสามารถของเขาเพื่อให้รับความสนใจจากนักเวทย์ระดับเจ็ด

อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดว่าเมอร์ลินจะแข็งแกร่งขนาดนี้ เมอร์ลินอาศัยจังหวะที่เผลอระดมโจมตีใส่เขาไม่ให้มีโอกาสแม้แต่จะเคลื่อนไหว

เขาไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไป เขาจะต้องเอาคืน

เมอร์ลินสังเกตเห็นสีหน้าของพ่อมดนีล เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายต้องหาทางแก้แค้นเขาแน่นอน

อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขาเป็นเพียงพ่อมดสมธาตุที่สร้างคาถาระดับหนึ่งได้เพียงหนึ่งคาถา หากเทียบกับพ่อมดโฮล์มส์ เขามีศักยภาพที่ดีกว่าจึงไม่แปลกเลยที่แม่มดเกรเทลจะให้ความสนับสนุนเขา

หลังจากนั้นเมอร์ลินได้เดินออกมาจากลานประลอง ปฏิกิริยาของเอเลน่าและคนอื่น ๆ เปลี่ยนไป พวกเขามองเมอร์ลินราวกับเป็นสัตว์ประหลาด

“พ่อมดเมอร์ลิน คุณสร้างคาถาหกอันแล้วเหรอ” เอเลนได้เปิดปากถามด้วยเสียงเบา

นอกจากพวกเขาแล้วยังมีนักเวทย์จากหอคอยอื่นจ้องมองมาที่เมอร์ลินด้วยเช่นกัน พวกเขาก็สงสัยและอยากรู้เรื่องนี้ด้วย

*หวู่ม*

เมอร์ลินได้ปลดปล่อยพลังเวทย์ทั้งหมดออกมา เขาคิดว่าไม่มีความจําเป็นใด ๆ ต้องปิดบัง “ใช่ ฉันสร้างคาถาระดับศูนย์หกคาถาแล้ว”

นักเวทย์หลายคนตกใจที่ได้ยินจากปากเมอร์ลินโดยตรง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยเห็นเมอร์ลินร่ายคาถาต่าง ๆ ก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม

หากนักเวทย์สามธาตุนั้นเป็นคนทั่วไป นักเวทย์สี่ธาตุเป็นอัจฉริยะ นักเวทย์ห้าธาตุเป็นปรากฏการณ์ที่ยากจะเกิดขึ้น

ในช่วงเวลาหลายร้อยปีมีเพียงนักเวทย์เพียงคนที่ปรากฏขึ้นในดินแดนมนต์ดําก็คือ พ่อมดไคลส์

ส่วนนักเวทย์หกธาตุนั่นหายากพอ ๆ กับฟันของไก่ แม้แต่ในองค์กรขนาดใหญ่แทบจะไม่ปรากฏให้เห็นเลย

ดังนั้นการที่เมอร์ลินปรากฏตัวในฐานนะนักเวทย์หกธาตุสร้างความตื่นตกใจให้กับนักเวทย์ในดินแดนมนต์ดํา แม้แต่นักเวทย์ระดับสี่ขึ้นไปก็ประหลาดใจเช่นกัน

ในเวลานี้นักเวทย์ระดับสี่ต่างออกมาแสดงความยินดีกับพ่อดมลีโอที่ได้นักเรียนดีเด่นเช่นนี้ แม้ว่าเมอร์ลินไม่ได้เป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งแต่ความกล้าหาญที่เขากล้าสร้างคาถาหกคาถาก็สมควรได้รับการยกย่องแล้ว โดยเฉพาะคาถาหมอกรัตติกาลที่มีความยุ่งยากและซับซ้อน

อย่างน้อยตอนนี้ เมอร์ลินก็มีความเป็นเลิศในการสร้างโครงสร่างเวทมนต์

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพ่อมดลีโอ แม้ว่ารอยยิ้มนั่นจะดูน่ากลัวก็ตาม

“พ่อมดลีโอ ทําไมพ่อมดเมอร์ลินถึงกลายเป็นนักเวทย์หกธาตุ คุณไม่ได้เตือนเขาเหรอว่ามันยากแค่ไปที่จะกลายเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่ง”

แม่มดนาชากล่าวออกมา แม้ว่าเธอจะเพิ่งเลื่อนระดับมาถึงระดับสี่และเพิ่งสร้างหอคอยเสร็จไม่นานมานี้แต่เธอก็ยังเอาเวลามาสอนลูกศิษย์ของเธออย่างตั้งใจ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทําให้นักเรียนส่วนหนึ่งของเธอกลายเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่ง ดังนั้นแม่มดนาชาเหมาะที่จะเป็นอาจารย์มากกว่าพ่อมดลีโอ

นี่จึงเป็นเหตุผลที่เธอสามารถตระหนักถึงปัญหาได้ในชั่วพริบตา เธอคิดว่าถ้าเมอร์ลินเป็นนักเวทย์สี่ธาตุ เขาก็จะมีโอกาสเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งได้มากกว่านี้

ส่วนห้าธาตุก็พอมีหวังมากแต่ก็ต้องใช้ระยะเวลามากกว่านักเวทย์สี่ธาตุสักหน่อย

อย่างไรก็ตามสําหรับหกธาตุ ต้องให้ความพยายามหลายต่อหลายเท่าต้องใช้ทั้งโครงสร้างเวทมนต์กับพลังจิตที่มากตามคาถาที่เพิ่มเข้ามา

ในดินแดนมนต์ดําไม่เคยมีนักเวทย์หกธาตุมาก่อน เพราะว่ามันยากเกินว่าจะจินตนาการได้

พ่อมดลีโอรับฟังอย่างเงียบ ๆ สายตาของเขาทอดยาวไปไกลและเพ่งมองเมอร์ลินที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนและเขาพูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า

“นี่เป็นทางที่เขาเลือกเอง…แม่มดนาชา คุณไม่คิดเหรอว่าเมอร์ลินเหมือนข้าในสมัยก่อน”

แม่มดนาชามองไปเข้าไปในดวงตาของว่างเปล่าของพ่อมดลีโอและส่านหัวอย่างช่วยไม่ได้ เธอรู้ดีว่าเขาเสียสละไปมากเพียงใด เพียงเพื่อผสานร่างกายกับดวงตาแห่งความมืด

แม้แต่นักเวทย์ระดับเจ็ดยังไม่คิดว่าพ่อมดลีโอจะประสบความสําเร็จ

อย่างไรก็ตามพ่อมดลีโอต้องแบกรับความเจ็บแวดอย่างแสนสาหัสในการทําลายดวงตาของตัวเอง

พฤติกรรมที่สุดจะอันตรายกล้าได้กล้าเสยของเขา มักจะคอยสร้างเรื่องปวดหัวให้กับนักเวทย์ระดับเจ็ดอยู่บ่อยครั้ง

แม้ว่าพ่อมดลีโอจะเชี่ยวชญในด้านอักษรรูนและการแปรธาตุแต่เขาไม่เคยคิดจะสอนลูกศิษย์ของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว

จนในที่สุด ทางนักเวทย์ระดับเจ็ดได้ออกคําสั่งในพ่อมดชุดเทาส่งนักเวทย์ที่มีพรสวรรค์เลวร้ายที่สุดไปที่หอคอยพ่อมดลีโอ

“นั่นเป็นเพราะเมอร์ลินเหมือนคุณมากเกินไป จนอาจทําให้นักเวทย์ระดับเจ็ดไม่โปรดปราน เขาแล้วด้วยความยากในการเลื่อนระดับและเขามีเวลาเหลืออีกเพียงสองปีเท่านั้น คงไม่มีใครอยากจะรับเขาอย่างแน่นอน”

แม่มดนาชาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เธอเหลือบไปมองเมอร์ลินและรู้สึกสงสารเขา ถ้าเมอร์ลินมาที่หอคอยของเธอแทน เธอจะไม่ยอมให้เขาสร้างถึงหกธาตุ อย่างมากสุดให้แค่ห้าธาตุเท่านั้น

อย่างน้อย ๆ เขาก็อาจจะกลายเป็นพ่อมดที่ยิ่งใหญ่แบบไคลส์

“พอมดเมอร์ลิน ฉันขอให้คุณโชคดี”

แม่มดนาชาหันความสนไปที่หอคอยที่สูงที่สุดในดินแดนมนต์ดําอีกครั้ง พวกเขาเหล่านั้นให้ความสนใจกับการแข่งขัน หากพวกเขาสนใจในนักเวทย์เหล่านี้ มันอาจจะมีผู้โชคดีได้รับเลือกไปที่หอคอยของพวกเขา

การชุมนุมนักเวทย์กําลังอยู่ในช่วงที่เข้มข้นที่สุด ตอนนี้เหลือผู้เข้าแข่งขันเพียงสี่คนเท่านั้นและสี่คนนี้จะเป็นที่จับตามองของนักเวทย์ระดับเจ็ด พวกเขาทั้งหมดมีโอกาสที่จะได้รับเลือกเป็นลูกศิษย์ของนักเวทย์ระดับเจ็ดเหล่านั้น

นักเวทย์ทั้งสี่คนกําลังตรวจสอบกันและกัน ทางด้านเมอร์ลินเขาได้ข้อมูลบางส่วนของนักเวทย์ทั้งสามจากเอเลน่า

คนแรกเซซิล เขาสามารถสร้างคาถาระดับหนึ่งได้เพียงหนึ่งอันเท่านั้น เขาเป็นนักเวทย์สี่ธาตุคาถาระดับศูนย์แต่ละอันทรงพลังมากซึ่งต้อง5แต้มสนับสนุนในการแลกมาจากหอสมุด

ดังนั้นเขาจึงเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก นอกจากนี้อาจารย์ของเขาเป็นนักเวทย์ระดับสี่จึงทําให้นักเวทย์ระดับเจ็ดสนใจและง่ายต่อการดึงตัวเข้ามา

คนที่สองโลน เขาจะเป็นคู่ต่อสู้ในรอบที่เจ็ดของเมอร์ลิน โลนต้องการคาถาระดับหนึ่งอีกเพียงคาถาเดียวเท่านั้น เขาจะกลายเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่ง เขาเป็นนักเวทย์สามธาตุที่มีธาตุที่แตกต่างกัน แม้ศักยภาพของเขาจะไม่เหมือนเซซิลแต่เขาแข็งแกร่งกว่ามาก

และคนสุดท้ายอาบริล ตัวเขาเป็นนักเวทสี่ธาตุ เขาเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และความสามารถ แต่เขายังไม่ได้สร้างคาถาระดับหนึ่งเลย ดูเหมือนว่าเขาจะอ่อนแอกว่าพ่อมดนีลที่เขาเพิ่งเอาชนะไป

อย่างไรก็ตามอาบริลได้เข้าสู้รอบที่เจ็ดด้วยความช่วยเหลือของอุปกรณ์เวทมนต์มากมาย แม้แต่เมอร์ลินเองก็ไม่มั่นใจว่าหากต้องสู้กับเขาจริง ๆ เมอร์ลินจะสามารถเอาชนะเขาได้มั้ย

“รอบที่เจ็ด พ่อมดอาบริล กับ พ่อมดเซซิล”

“รอบที่เจ็ด พ่อมดเมอร์ลิน กับ พ่อมดโลน”

การต่อสู้ทั้งสองรอบดําเนินไปพร้อม ๆ กัน แต่การต่อสู้ของเมอร์ลินได้รับความสนใจมากกว่า เพราะในท้ายที่สุดแล้ว นักเวทย์หกธาตุไม่เคยปรากฏบนดินแดนมนต์ นี่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับพวกเขาอย่างยิ่ง

พวกเขาอยากรู้ว่า เมอร์ลินจะไปได้ไกลแค่ไหน

เมอร์ลินลุกขึ้นอย่างช้า ๆ สายจาของเขาหัวไปมองนักเวทย์อีกคนที่อยู่ไม่ไกล นั่นคือพ่อมดโลน

เขาพยักหน้าเล็กน้อยให้เมอร์ลิน รอยยิ้มที่เป็นมิตรปรากฏบนใบหน้าอของเขา

จากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็เดินขึ้นมาที่ลานประลอง

เมอลินเงยหน้าขึ้นไปด้านบน เขามองเห็นพ่อมดลีโอที่กําลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หิน สีหน้าของเขาเรียบเฉย ดวงตาโลหิตเบิกกว้างจ้องมาที่เขา ทางด้านพ่อมดลีโอก็สนใจการแข่งขันนี้เช่นกัน ถึงขนาดตั้งเบิกดวงตาสีแดงนั่นออกมาดู

“พ่อมดมเอร์ลิน ฉันต้องขอชื่นชมในความกล้าหาญของคุณในการสร้างคาถาถึงหกคาถา ฉันเองไม่กล้าพอที่จะสร้างแค่สี่คาถาด้วยซ้ํา” พ่อมดโลนกล่าวอย่างสบาย ๆ ดูเหมือนเขาไม่ค่อยเครียดกับการแข่งขันที่กําลังจะเริ่มขึ้น

“ฉันก็แค่โชคดีแต่สําหรับพ่อมดโลน คุณจะกลายเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งในไม่ช้า นั่นคือเส้นทางของการเป็นพ่อมดที่แท้จริง” เมอร์ลินตอบอย่างใจเย็น

แม้ว่าภายนอกทั้งคู่จะดูสงบอย่างผิดปกติแต่แววตาของพวกเขาแสดงออกถึงความุ่งมั่นอย่างเต็มที่ ไม่มีใครที่ต้องการจะพ่ายแพ้ในรอบนี้

“เอาล่ะ เริ่มได้”

พ่อมดโลนหันความสนใจของเขาไปที่หอคอยพ่อมดที่อยู่ในระยะไกล แววตาของเขาประกายด้วยความกระตือรือร้น

ในระหว่างนี่นวงแหวนเวทย์ได้ปกคลุมทั่วลานประลองเนื่องจากการต่อสู้หลังจากนี้สามารถดุเดือดได้ทุกเมื่อ