ตอนที่ 76 การมาเยือนของเจี่ยนชิงโยว (2)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 76 การมาเยือนของเจี่ยนชิงโยว (2)

ได้หัวหน้าหมู่บ้านคอยไกล่เกลี่ย และมีอีกหลายคนเข้ามาพาพวกเขาออกไปด้วยกัน เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่เหมาะที่จะพูดคุยกัน

ภรรยาฟางอู่เห็นฟางอู่เดินไปแล้ว ดึงสติกลับมาอีกครั้ง นางกระโดดขึ้นมาจากบนพื้น ตบหลี่ไคสือหลายฉาด

ภรรยาหลี่ปาเห็นลูกชายของตนโดนรังแก รีบเดินออกมา

“ลูกสาวของเจ้าไร้ยางอาย เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตบลูกชายของข้า”

“ลูกชายของเจ้าเป็นคนขืนใจลูกสาวของข้าต่างหาก”

“เจ้าคนไร้ยางอาย…”

ถึงอย่างไรเรื่องก็กลายเป็นเช่นนี้แล้ว ภรรยาฟางอู่ผู้เป็นแม่จึงทำได้เพียงสู้เพื่อลูกสาวของตน “เจ้าพูดอะไร ขืนพูดอีกครั้งเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฉีกปากของเจ้า เถาเอ๋อร์ของข้าทำไม อย่างน้อยก็มีครบทั้งแขนและขา ไม่เหมือนลูกชายเสเพลของเจ้า ตอนนี้กลายเป็นคนพิการไปแล้ว…”

ทั้งภรรยาฟางอู่และภรรยาหลี่ปาต่างคับแค้นใจ แค้นที่อีกฝ่ายทำลายเรื่องดีๆ ของตน ด้วยเหตุนี้เริ่มจากด่าทอ หลังจากนั้นก็ตบตี ยังไม่ทันได้ดองกัน กลับกลายเป็นศัตรูคู่แค้นกันก่อนแล้ว

ข้างๆ มีชาวบ้านสองสามคนคอยปราม แต่ว่าวันนี้ทั้งสองเหมือนกินดินปืนเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น ดึงกันไปมา หลังจากนั้นก็ราวกับหญิงโฉดทั้งคู่ทึ้งหัวของอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย ไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นเข้าไปแทรก

“เจ้าปล่อยเดี๋ยวนี้!”

“เจ้าปล่อยข้าจึงจะปล่อย!”

ทุกคนเห็นว่าไม่อาจแยกทั้งสองออกจากกัน ทั้งสองก็หมดเรี่ยวแรง เพียงแค่จับผมของอีกฝ่ายแต่ไม่ได้อาละวาดตบตีกันแล้ว จึงยืนมองความสนุกอยู่ข้างๆ เท่านั้น

ผู้เป็นแม่ทั้งสองทุบตีกันอยู่ตรงนั้น เสียงดังสนั่น ทว่าคู่กรณีทั้งสองที่อยู่ในมุมมืดภายในเรือนข้าง กลับทำสีหน้าเหมือนไม่ใช่เรื่องของตน

ร่างกายของทั้งสองร้อนรุ่ม เมื่อครู่ปลดปล่อยไม่หมด แม้ยาต้มนั้นจะมีฤทธิ์อ่อน แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้คนโง่เขลาจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้

ทว่า ทั้งสองที่ดื่มยาต้มต่างไม่ใช่คนดีเด่นอะไร เมื่อครู่ได้ลิ้มรสความหอมหวานเพียงเล็กน้อย ไม่อิ่มจริงๆ

ปกติทั้งสองต่างเกลียดชังกัน วันนี้กลับยิ่งมองก็ยิ่งชอบพออีกฝ่าย

ภายในเรือนมืดมาก ภรรยาฟางอู่และภรรยาหลี่ปาตบตีกันจนถึงนอกเรือนแล้ว คนที่มาดูก็ตามจากในเรือนออกไปนอกเรือน ไม่มีใครสนใจคู่กรณีทั้งสองคน

ทั้งสองสบตากัน นัยน์ตาของหลี่ไคสือฉายแววร้ายกาจ เดินไปที่มุมกำแพง นัยน์ตาของฟางเถาเอ๋อร์ยิ้มยาดเยิ้มยั่วยวนแล้วรีบเดินตามไป

ในมุมนั้น ทั้งสองทั้งลูบคลำ ทั้งดูดกิน

เป็นคนที่ไร้ยางอยู่แล้ว ทั้งยังกินยาต้มเข้าไป ยังไม่หนำใจ ก็มีคนเข้ามาขัดจังหวะ แรงปรารถนายังไม่หมดสิ้นเลย… ด้วยเหตุนี้ คนทั้งสองที่ไร้ยางอายจึงอยู่ในมุมมืดที่ไร้ผู้คน กลืนกินกันราวกับสัตว์ป่า หลังจากกอดจูบกันอยู่สองสามครั้ง แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่ทันได้ถอด คนหนึ่งรีบร้อนปลดผ้าผูกเอว อีกคนหนึ่งรีบถลกกระโปรงขึ้นมา…

ใช้เวลาไม่นาน ทั้งสองที่เพิ่งได้ลิ้มรสความหวานก็เริ่มอยู่ในตำแหน่งกลับหัวกลับหาง

……

นอกเรือนโกลาหลวุ่นวาย ทั้งสองที่อยู่ในเรือนใหญ่กลับเงียบสงบ

คนหนึ่งนอนอ่านตำราบนตั่ง อีกคนดีดลูกคิดด้วยมุมปากที่เปื้อนยิ้ม ตะเกียงเล็กๆ จุดขึ้นระหว่างตั่งกับโต๊ะหนังสือ แสงสีเหลืองนวลทำให้ดูนิ่งสงบและกลมเกลียว

มั่วเชียนเสวี่ยคิดบัญชีเสร็จ บิดขี้เกียจ ได้ยินเสียงโวกแหวกโวยวายด้านนอก รอยยิ้มของนางกว้างมากขึ้น หันกลับไปมองหนิงเซ่าชิงที่นอนอ่านหนังสือเงียบๆ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

นางรู้สึกว่าแผนการของนางไม่อาจรอดพ้นสายตาของเขา ด้วยเหตุนี้จึงข่มความได้ใจเอาไว้ แล้วเดินไป ยิ้มแห้งพร้อมกับพูด “ท่านรู้สึกว่าข้าไร้ศีลธรรมมากใช่หรือไม่”

หนิงเซ่าชิงวางตำราลง มองนางเงียบๆ “ไม่เลยสักนิด! ข้ารู้สึกว่าเจ้าจิตใจดีเกินไปแล้ว”

“หะ?” เดิมทีแค่สงสัย ตอนนี้มั่นใจแล้วว่าเขารู้จริงๆ เขาเป็นเทพเซียนหรืออย่างไร ประเด็นสำคัญคือ เขาไม่เพียงแค่รู้ ผ่านไปนานขนาดนี้ก็ยังไม่ถาม ทั้งยังอ่านตำราด้วยความนิ่งสงบ ดูท่านางต้องมองเขาใหม่แล้ว

หนิงเซ่าชิงเห็นสีหน้าตกตะลึงของนาง ดีดหน้าผากของนางเบาๆ แล้วกระแอมไอ “เจ้าทำความดี ในเวลาเดียวกันที่เจ้าช่วยชาวบ้านกำจัดตัวปัญหาทั้งสอง ยังช่วยจับคู่ให้ ‘คู่เวรคู่กรรม’ เสียด้วย” เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับหัวเราะ เวลานี้หัวใจที่บีบรัดของนางคลายลงแล้ว

หลังจากหัวเราะเสร็จ นางก็พูดเสริมด้วยสีหน้าจริงจังเหมือนกับหนิงเซ่าชิง “เซ่าชิงพูดถูก ทั้งสองเป็น ‘คู่เวรคู่กรรม’ ที่แท้จริง” ด้วยนิสัยของทั้งสองคน สองวันแรกอาจจะมีชีวิตใหม่ แต่หลังจากนั้นต้องโกลาหลวุ่นวายเป็นแน่ ต้องเป็น ‘คู่เวรคู่กรรม’ ที่แค้นเคืองกัน

“หึๆ” ครั้งนี้ถึงคราวหนิงเซ่าชิงหัวเราะ

เขาเดินอ้อมไปหามั่วเชียนเสวี่ย แล้วพูดกระซิบข้างหูนาง “เชียนเสวี่ย รู้หรือไม่ เวลาเจ้ายิ้มช่างงดงามยิ่งนัก”

หน้าของใครบางคนแดงระเรื่อขึ้นมาทันที นางอยากจะบอกว่าเวลาเขายิ้มงดงามยิ่งกว่า

……

ที่แห่งหนึ่งด้านนอก

อิ่งซาแคะหู เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่ เจ้านายของเขาเรียนรู้ที่จะออดอ้อนสตรีตั้งแต่เมื่อใดกัน

หลังจากแคะหูเสร็จ ได้ยินเสียงผิดปกติจากอีกด้านหนึ่ง เสียงหัวเราะเยือกเย็น เงาดำหายวับไป

คนทั้งสองในเรือนข้างที่กำลังขับร้องบทเพลงแห่งรัก คนหนึ่งกระแทกรุนแรงอีกคนกัดฟันแน่น ถึงปลายทางสำคัญแล้ว

ทว่า ลมเย็นปะทะเข้ามา ทั้งสองสั่นเทาในเวลาเดียวกัน

หลี่ไคสือสัมผัสได้ว่าลมเย็นนั้นเคล้าไปด้วยลมพลังหยิน พัดจากแผ่นหลังไปยังที่ตรงนั้น เขาที่กำลังจะสุขสมกลับอ่อนลงมาทันที

เขาตกตะลึงเหยียดตัวตรงแล้วดึงกางเกงขึ้น มองซ้ายมองขวา

เรือนร่างของฟางเถาเอ๋อร์ว่างเปล่ากะทันหัน กอดคอของเขา ยิ้มสบถด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “ให้ตายสิ!”

หลี่ไคสือมองซ้ายมองขวาแม้จะไม่เห็นใคร แต่ถึงอย่างไรก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงพูดปลอบ “เด็กดี คราหน้าจะป้อนเจ้าให้อิ่ม”

อิ่งซาหลบอยู่ในมืดแล้วหัวเราะเยือกเย็น โดนดรรชนีเพชฌฆาตของเขา ชีวิตนี้ไม่มีโอกาสได้ป้อนสตรีจนอิ่มแล้ว

วิชาดรรชนีนี้เขาเพียงฝึกเล่นๆ ด้วยความอยากรู้เท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้ ใครใช้ให้เจ้าสองคนที่น่ารังเกียจมาทำให้เรือนของเจ้านายต้องสกปรก สมน้ำหน้า!

“ดูท่าทีขี้กลัวของเจ้าสิ” ฟางเถาเอ๋อร์จัดเสื้อผ้าด้วยความพอใจ แม้ปากจะด่า แต่ภายในใจกลับรู้สึกหวานชื่น ถึงอย่างไรอนาคตยังอีกยาวไกล

นางที่กำลังใส่เสื้อผ้าก่นด่าตนเองในใจที่เมื่อก่อนตาบอด ท่านอาจารย์หนิงคนนั้นแค่มองก็รู้ว่าร่างกายอ่อนแอ จะเทียบเท่าหลี่ไคซือได้อย่างไร เขาคลายแรงปรารถนาได้ดีเช่นนี้

หลี่ไคสือเองก็จัดเสื้อผ้าแล้วเดินตามออกมา

ทั้งสองเดินออกมาเห็นหญิงชราทึ้งผมกันราวกับไก่ชน มองหน้ากันแล้วจับมารดาของตนแยกกันด้วยความรังเกียจ ถอยไปด้านหลังแล้วพูดกระซิบ

ภรรยาฟางอู่และภรรยาหลี่ปาใจเย็นลงเล็กน้อย ทว่าต่างไม่ชอบขี้หน้ากันและกัน ทำเสียงฮึดฮัดใส่อีกฝ่าย อยากจะด่าทออีกสองสามประโยค ทว่ากลับถูกบุตรที่ไม่เอาไหนของตนลากกลับเรือน

ทุกคนคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะจบลงเช่นนี้ มองดูท้องฟ้าที่มืดสนิท ต่างพากันขอตัวกลับ

อาซ้อฟาง อาซ้อกุ้ยฮวาและจวี๋เหนียงส่งแขก เก็บกวาดอยู่นานแล้วปิดประตูลงเบาๆ ไม่มีผู้ใดไปรบกวนทั้งสองที่อยู่เรือนด้านใน

ตื่นมาตอนเช้าตรู่ มั่วเชียนเสวี่ยไปดูโรงงานก่อน พร้อมกับตำหนิอาซ้อฟางและอาซ้อกุ้ยฮวา แม้จะรู้ว่าเมื่อวานทั้งสองทำด้วยความหวังดี แต่นางไม่อยากให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก