ตอนที่ 42.1 แผนทำร้ายศิษย์พี่ของข้า... (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ทันทีที่อ๋าวอี่ล้มลง สถานที่แห่งนี้ก็ตกอยู่ในความโกลาหลอย่างกะทันหัน

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกว่าสายตาของเหล่าปรมาจารย์ทั้งหลายในวังมังกรล้วนจับจ้องมาที่เขา และความเกลียดชังก็เริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ขณะนี้หลี่ฉางโซ่วพอจะเข้าใจการกระทำอันน่าสับสนขององค์ชายรองแห่งวังมังกรคร่าวๆ แล้ว ดังนั้นเขาจึงเริ่มคิดหามาตรการรับมือเพื่อแก้ไขมันอย่างรวดเร็ว

แม้ทักษะการแสดงขององค์ชายน้อยผู้นี้จะอ่อนด้อยอย่างยิ่ง แต่เขาก็ยังคงเป็นองค์ชาย และหากวังมังกรฉวยโอกาสนี้สร้างปัญหา เช่นนั้นก็ย่อมไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน

ในเวลานี้จิ่วจิ่วกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าหลี่ฉางโซ่วและใช้ร่างกายที่เตี้ยกว่าของนางพยายามปิดบังร่างกายครึ่งหนึ่งของหลี่ฉางโซ่ว

นางถามเสียงเบาออกมาว่า “ศิษย์หลานฉางโซ่ว เจ้าได้รับบาดเจ็บที่ใดหรือไม่”

“ลมปราณของข้ายังแปรปรวนเล็กน้อย อาจารย์อาจิ่วจิ่วโปรดอย่าได้กังวล หมัดขององค์ชายรองนั้นทรงพลังยิ่งนัก แต่ศิษย์ก็ยังสบายดีขอรับ” หลี่ฉางโซ่วตอบกลับไม่กี่คำด้วยน้ำเสียงต่ำ เขามีแผนในใจแล้ว

ดังนั้นเขาจึงมีสีหน้ากังวลเล็กน้อยและละอายใจด้วยความรู้สึกผิดอีกเล็กน้อย พลางถอนหายใจคร่ำครวญว่า “ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บขององค์ชายรองเป็นอย่างไรบ้าง…

ยันต์ของข้าไม่น่าจะเจาะชุดเกราะเซียนที่เขาสวมอยู่ได้ แต่อาจเป็นเพราะข้าใช้วิธีเคลื่อนไหวไปมาซ้ำๆ เพื่อหลบเลี่ยงและไม่กล้าเผชิญหน้าต่อสู้กับเขาแบบตัวต่อตัว?

ด้วยความร้อนรนและกระวนกระวายอาจทำให้พลังในร่างของเขาสับสน? อาจารย์อาจะช่วยตรวจร่างกายให้เขาสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ เพราะข้าไม่รู้ว่าวิชาแพทย์ของวังมังกรจะมีความก้าวหน้ามากเพียงใด พวกเขาจะสามารถวินิจฉัยอาการบาดเจ็บเช่นนี้ได้หรือไม่”

ทว่าจู่ๆ จิ่วจิ่วก็หัวเราะออกมาอย่างฉุนเฉียวแล้วตวาดใส่เบาๆ ว่า “มีปรมาจารย์อยู่มากมายในวังมังกร แล้วจะมีเรื่องเยี่ยงนั้นได้อย่างไรเล่า เจ้าไม่ต้องกังวลไป!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าเสนาบดีของวังมังกรต่างก็จับจ้องไปที่อ๋าวอี่ และไม่นานหลังจากนั้น เสนาบดีเต่าซึ่งเป็นคนแรกที่ไปถึงอ๋าวอี่ก็รีบร้องตะโกนอย่างรวดเร็วว่า “ฝ่าบาทไม่เป็นไร เพียงแค่มีความผิดปกติบางอย่างในระหว่างการโคจรพลังของพระองค์ ทำให้พลังทะลวงผ่านไปทั่วร่างของพระองค์จนทำให้พระองค์หมดสติไป แต่พระองค์จะฟื้นตื่นขึ้นมาได้ในภายหลัง ทรงไม่มีปัญหาร้ายแรงอะไร…”

ในขณะนั้นแม่ทัพวังมังกรสวมชุดเกราะเงินก็ถามออกมาทันทีว่า “ท่านเสนาบดี แล้วเราจะทำอย่างไรกับการต่อสู้ครั้งนี้หรือขอรับ”

เสนาบดีเต่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองไปที่เขตแดน แล้วหันมองไปยังอ๋าวอี่ที่หมดสติ

คราวนี้หลี่ฉางโซ่วก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์อีกต่อไป

เซียนเสิ่นแห่งสำนักตู้เซียนผู้หนึ่งพลันแย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “แน่นอนว่าองค์ชายรองทรงชนะ หลังจากที่ศิษย์หลานผู้น่าสงสารของเราก้าวออกจากเขตแดนแล้ว องค์ชายรองทรงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากการใช้พลังที่พลุ่งพล่านของตัวเอง และผลลัพธ์ก็ปรากฏอย่างชัดเจนในชั่วพริบตา ข้ามีโอสถปรับลมปราณที่หลอมขึ้นมาโดยใช้สูตรหลอมโอสถลับของสำนักตู้เซียน วังมังกรอาจไม่สนใจโอสถธรรมดาเช่นนี้ แต่ขอให้มันถือเป็นสิ่งตอบแทนเล็กน้อยจากสำนักตู้เซียนเถิด”

“ขอขอบคุณในความเมตตาของท่านเซียน”

จากนั้นเสนาบดีเต่าก็ส่งสัญญาณให้แม่ทัพแห่งวังมังกรรับโอสถเอาไว้ ถือว่าเรื่องนี้ ‘จบ’ แล้ว

เสนาบดีเต่าเรียกเซียนทหารกุ้งให้มาช่วยทันที ก่อนจะวางร่างขององค์ชายรองอ๋าวอี่ที่หมดสติไว้บนเก้าอี้หยก และสั่งให้ทหารพาร่างของเขาออกไป

บรรดาเซียนของสำนักตู้เซียนประสานมือคารวะ แล้วหันกลับไปปกป้องหลี่ฉางโซ่วให้อยู่ท่ามกลางพวกเขา ขณะเดินกลับไปยังที่นั่งของพวกเขาทันที

ขณะเดินหลี่ฉางโซ่วก็กระซิบกับจิ่วจิ่วที่อยู่ข้างๆ เขาว่า “อาจารย์อา ข้าเคยอ่านตำราโบราณเล่มหนึ่งว่ามีองุ่นชนิดหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะของเรามีประโยชน์อย่างมากเมื่อลมปราณของคนผู้หนึ่งเกิดความผิดปกติไปในระหว่างการฝึกฝนเช่นนี้นะขอรับ”

“องุ่นนั้นเราได้รับจากวังมังกร แล้วเหตุใดพวกเขาจะไม่รู้ดีกว่าเจ้าเล่า” จิ่วจิ่วกล่าวตำหนิ “แล้วเหตุใดเจ้าถึงถอยออกจากเขตแดนไป เจ้าอาจจะชนะหากเพียงแค่ยืนอยู่ที่นั่นนานอีกสักหน่อย!”

ทว่าหลี่ฉางโซ่วพลันยิ้มแหยแล้วกล่าวตอบว่า “ศิษย์ไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไปขอรับ”

จิ่วจิ่วรู้สึกไม่พอใจในทันทีแล้วดุหลี่ฉางโซ่วว่า “หลังจากกลับไปแล้ว ข้าจะดูแลเจ้าให้มุ่งมั่นฝึกบำเพ็ญด้วยตัวข้าเอง หากเจ้าไม่อาจเพิ่มพูนฐานพลังของเจ้าเองได้ แล้วจะมีประโยชน์อันใดที่เจ้าจะเที่ยวไปหลอมโอสถและสร้างค่ายกลไปเรื่อยๆ อยู่ทุกวัน…

แท้จริงแล้วระดับขอบเขตพลังของเจ้าคือรากฐานแห่งเต๋า!… ไม่เช่นนั้นหากเจ้ามีโอกาสพบอาวุธเวทที่ทรงพลังมาก เจ้าก็จะไม่อาจใช้มันได้อย่างเต็มที่!”

หลี่ฉางโซ่วก้มศีรษะลงขณะกล่าวตอบพร้อมกับโล่งใจว่า “ขอรับ บัดนี้ศิษย์สำนึกผิดแล้วขอรับ”

เพราะเวลานี้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนแล้วว่า ดวงตาที่เดิมจับจ้องมองมาที่เขาเริ่มสลายหายไปอย่างรวดเร็ว…

หลังจากนั้นโหย่วฉินเสวียนหย่าซึ่งสะพายกระบี่ใหญ่ไว้ที่ด้านหลังของนางก็เดินเข้ามาหาและมองดูเขาด้วยสายตาห่วงใย

“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แค่ลมปราณของข้าสับสนเล็กน้อยเท่านั้น” หลี่ฉางโซ่วตอบด้วยใบหน้าท่าทางกระดากอายขณะกล่าวเสริมว่า “ความสามารถของข้าไม่ดีพอ ทำให้ศิษย์น้องหญิงและคนอื่นๆ ในสำนักต้องเป็นห่วง และยังทำให้สำนักต้องเสียหน้าแล้ว”

ศิษย์พี่ผู้หนึ่งพูดขึ้นทันทีว่า “เห็นได้ชัดว่าองค์ชายรองของวังมังกรผู้นั้นต้องการที่จะสร้างปัญหาโดยเจตนาและจงใจเลือกเจ้าอีกด้วย ศิษย์น้องฉางโซ่ว!…

ภายหลังจากนี้ ศิษย์น้องคอยดูเถอะ ข้าจะให้เจ้าพวกลูกหลานมังกรที่เข้าร่วมประลองนี้ได้รู้ว่า ความจริงแล้วพวกเราแข็งแกร่งเพียงใด!”

หลี่ฉางโซ่วหันไปมองศิษย์พี่ผู้นั้นอย่างซาบซึ้งใจในทันที

“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว ท่านรีบกลับไปนั่งลงที่เดิมและปรับลมปราณก่อนเถิด อย่ายืนอยู่ตรงนี้อีกต่อไปเลยเจ้าค่ะ”

“วังมังกรทำมากเกินไปแล้วจริงๆ แล้วเจ้าองค์ชายรองผู้นี้ก็ยิ่งน่ารังเกียจมากขึ้นไปอีก”

จากนั้นจิ่วจิ่วก็กล่าวเตือนว่า “ทุกคนนั่งลง แล้วอย่าบ่นเรื่องนี้อีก! มีเซียนเทียนมากมายที่กำลังเฝ้าดูพวกเราจากทางด้านบน!”

แม้ว่าศิษย์ทุกคนล้วนถูกดุ แต่ก็ยังมีบางคนที่แสดงความขุ่นเคืองใจต่อความอยุติธรรมที่หลี่ฉางโซ่วได้รับ จึงเป็นผลให้เซียนเสิ่นคนอื่นๆ ของสำนักตู้เซียนต่างพากันตำหนิพวกเขาอีกรอบ

จริงๆ แล้ว ปฏิกิริยาของสหายเหล่านี้…ย่อมถือเป็นเรื่องปกติตามคาด

หลี่ฉางโซ่วรู้ว่าปฏิกิริยาของพวกเขาเกี่ยวข้องกับความรู้สึกภาคภูมิใจที่มีร่วมกันในฐานะศิษย์ร่วมสำนัก และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับเขาเป็นการส่วนตัว

เมื่อกลับไปยังที่นั่งและนั่งลงแล้ว ลมปราณที่ผันผวนแต่เดิมของหลี่ฉางโซ่วก็กลับคืนสู่ความมั่นคงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่โหย่วฉินเสวียนหย่าก็หันหลังเดินจากไปพร้อมกับมองย้อนกลับมาที่เขาหลายครั้ง

หลังจากนั้นความกังวลที่เผยให้เห็นบนใบหน้างดงามของโหย่วฉินเสวียนหย่าก็เลือนหายไป และสีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ

ในเวลานั้นดวงตาที่เคยสดใสของศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักตู้เซียน ก็เริ่มมีไฟโทสะที่ค่อยๆ ลุกโชนขึ้นในแววตา นางดึงกระบี่เล่มใหญ่ออกจากด้านหลังของนางแล้ววางลงบนโต๊ะเตี้ยก่อนจะชี้นิ้วไปที่ตัวกระบี่สองสามจุดเพื่อปลดผนึกออก แล้วจากนั้นก็มีบงกชสีเขียวครามและลวดลายเปลวไฟจำนวนมากปรากฏขึ้นบนตัวกระบี่ขนาดใหญ่นั้น ก่อนที่พวกมันจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกระบี่บินเล่มยาวบางเฉียบหลายเล่ม

อุณหภูมิในบริเวณที่นั่งของบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์สำนักตู้เซียนที่นั่งรวมตัวกันก็ลดระดับลงเล็กน้อย

นางหยิบโอสถสองขวดออกมาและตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่ามีโอสถเพียงพอที่จะช่วยฟื้นฟูพลังเวทของตนอย่างรวดเร็ว

จากนั้นนางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดชุดกระบี่บินช้าๆ ด้วยใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก ในขณะที่ดวงตาของนางก็ฉายแวว…น่าหวาดกลัวเล็กน้อย

“ศิษย์น้องโหย่วฉิน”

แล้วจู่ๆ เสียงของหลี่ฉางโซ่วก็ดังเข้ามาในหูของนาง โหย่วฉินเสวียนหย่าหยุดขยับร่างโดยฉับพลันแล้วหันศีรษะไปมองเขา

………………………………….