ตอนที่ 42.2ผนทำร้ายศิษย์พี่ของข้า... (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

“เมื่อถึงคราที่เจ้าต้องขึ้นต่อสู้ จงใช้ความอดทนและยับยั้งชั่งใจให้มาก เวลานี้เราอยู่ในวังมังกร เจ้าจึงไม่อาจปะทะกับพวกเขาได้โดยตรง”

โหย่วฉินเสวียนหย่าพยักหน้าเบาๆ ในขณะที่เจตนาสังหารรุนแรงที่ฉายชัดอยู่ในแววตาของนางก่อนหน้านี้ก็พลันอ่อนโยนลงมากในทันที

ไม่ชัดเจนว่านางกำลังเม้มปากหรือแย้มยิ้ม บางทีก็อาจจะเป็นทั้งสองอย่าง

แต่ในขณะนี้สีหน้าและแววตาของนางกำลังพยายามบอกหลี่ฉางโซ่วด้วยถ้อยคำสี่คำว่า ‘โปรดอย่ากังวล’

ศิษย์สำนักตู้เซียนสามคนที่คั่นกลางอยู่ระหว่างหลี่ฉางโซ่วและโหย่วฉินเสวียนหย่า ต่างก็เพิ่งได้เห็นสีหน้าท่าทีเช่นนี้ของโหย่วฉินเสวียนหย่าเป็นครั้งแรก พวกเขาจึงแปลกใจ ราวกับว่าพวกเขากำลังเป็นก้างขวาง…บางอย่างที่พิเศษยิ่ง

โหย่วฉินเสวียนหย่ายังคงเช็ดกระบี่บินของนางอย่างระมัดระวัง และดูเหมือนว่านางจะไม่ได้เปลี่ยนใจเพียงเพราะการส่งข้อความเสียงของหลี่ฉางโซ่ว

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ไม่ได้กังวลอีกต่อไปเพราะในความเป็นจริงแล้วก็ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะสามารถทำได้มากนักเช่นกัน

เขาร่ายเวทวายุวัจน์เพื่อรับฟังความคิดเห็น และเรื่องซุบซิบที่เกิดขึ้นในสถานที่ แน่นอนว่าด้วยวิธีนี้ เขาย่อมจะได้รับรู้ ‘คำติชมตามเวลาจริงจากผู้ชมหลังการแสดงการต่อสู้’

ไม่นานก็มีเสียงต่างๆ เข้ามาในหูพร้อมกับลมที่พัดมาทั้งใกล้และไกลเป็นลำดับ…

“ศิษย์สำนักตู้เซียนผู้นี้ไม่เลว องค์ชายรองแห่งวังมังกรนั้นใจร้อนเกินไปจริงๆ และเขาไม่อาจใช้พลังของตัวเองได้อย่างเต็มที่”

“เสนาบดีเต่าคนนั้นกล่าวแล้วไม่ใช่หรือ ถึงอย่างไรองค์ชายรองก็มีพระชนมายุเพียงสิบชันษาเท่านั้น ย่อมเป็นธรรมดาที่เขาจะเลือดร้อนไปบ้างเล็กน้อย”

“ตัวข้าเองก็อาจไม่สามารถเอาชนะองค์ชายรองได้ น่าเสียดายที่ศิษย์สำนักตู้เซียนคนนี้ออกจากเขตแดนไปก่อน…”

หลังจากวิเคราะห์อย่างรอบคอบมาระยะหนึ่งแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกสบายใจขึ้น บัดนี้ภาพลักษณ์ของเขาในฐานะศิษย์ผู้ยอดเยี่ยมของสำนักตู้เซียนนั้นดูน่าเชื่อถือและไม่มีข้อบกพร่อง

และเมื่อเขานั่งอยู่กับเมล็ดพันธุ์เซียนสิบอันดับแรกของสำนัก เขาก็จะถูกเปรียบเทียบอย่างรวดเร็ว จากนั้นคนอื่นๆ ก็จะเริ่มมองไม่เห็นเขา และเป็นธรรมดาที่จะเลิกสนใจเขาไปในที่สุด

เสนาบดีเต่ามาประกาศผลอย่างเป็นทางการอีกครั้ง โดยกล่าวว่าองค์ชายรองแห่งวังมังกรชนะการแข่งขันเมื่อครู่นี้

ทว่าองค์ชายรองแห่งวังมังกรของเขาใจร้อนเกินไป จนทำให้ลมปราณของพระองค์ผิดปกติไป และได้รับบาดเจ็บภายใน จึงได้พาพระองค์กลับไปพักฟื้นในวังมังกรแล้ว ส่วนงานเฉลิมฉลองหลังจากนั้นต้องถูกยกเลิกไป

แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันเล็กๆ นี้ก็สิ้นสุดลงไปชั่วคราว

จากเหตุการณ์ประหลาดนี้ หลี่ฉางโซ่วก็ยังได้เห็นถึงความไม่เที่ยงของสถานการณ์แห่งโลกบรรพกาลและความซับซ้อนของหัวใจมังกร เขารู้สึกว่าเขายังเด็กเกินไป และประเมินหัวใจมนุษย์และธรรมชาติของมังกรต่ำเกิน ดังนั้นจึงไม่อาจพิจารณาเรื่องนี้ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน…

แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้ามังกรน้อยตัวนั้นจะใช้กลอุบายเช่นนั้นได้

วิธีการของอ๋าวอี่ร้ายกาจมาก เจ้าต้องการจะพ่ายแพ้โดยเจตนาให้แก่ข้า!

โชคยังดีที่หลี่ฉางโซ่วก้าวออกมาจากเขตแดนและยอมรับความพ่ายแพ้ก่อน ไม่เช่นนั้น สถานการณ์ทั้งหมดอาจเลวร้ายยิ่งไปกว่านี้

ครั้งหน้าหากเจอสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน หลี่ฉางโซ่วก็จะต่อยหน้าตัวเองจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเพื่อออกจากการต่อสู้ทันที

หลี่ฉางโซ่วหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์การต่อสู้ซึ่งโดยผิวเผินแล้วก็ดูราบรื่น แต่จริงๆ แล้วไม่สมเหตุผล

ทันทีที่หมัดและฝ่ามือกระทบกัน ก็ดูเหมือนจะมีเงาร่างสีดำสองร่างปรากฏขึ้นข้างหลังพวกเขา ทั้งมนุษย์และมังกรต่างจ้องมองกันและกันอย่างเย็นชา

เจ้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่หรือ

เจ้าก็ด้วย เราต่างก็ล้อกันเล่น

อย่าคิดอีกเลย มังกรน้อยตัวนี้อาจจะมีแผนอย่างอื่น

ในเวลานี้ความหวังยิ่งใหญ่ที่สุดของหลี่ฉางโซ่วก็คือ สามารถกลับสำนักไปได้อย่างปลอดภัย

หลังจากชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีและข้อเสียแล้ว ต่อให้เขาจะต้องเปิดเผยไพ่ไม้ตายของเขาออกมาบ้างก็ตาม มันก็ยังคุ้มค่าหากจะช่วยให้ออกจากสภาพแวดล้อมที่อันตรายเช่นนี้ได้สำเร็จ

เพราะเหตุผลที่เขาซ่อนไพ่ไม้ตายเอาไว้ก็เพื่อทำให้ตัวเขาเองมีชีวิตที่ดี

ผู้ใดจะรู้ว่ายังมีเล่ห์เหลี่ยมอันใดอยู่ในแขนเสื้อของมังกรอีกเล่า!

……

บัดนี้งานชุมนุมกวาดล้างปีศาจก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

วังมังกรได้นำสมบัติและอาวุธเวทเซียนจำนวนสิบสองชิ้นออกมาเป็นรางวัลสุดท้ายให้แก่เหล่าศิษย์สำหรับการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้

การต่อสู้ดำเนินไปในลักษณะที่ผู้เข้าร่วมประลองมีทั้งรับและรุก ศิษย์ของแต่ละสำนักสามารถเข้าร่วมได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ในขณะที่สถานที่จัดงานได้ถูกแบ่งออกเป็นหลายพื้นที่สำหรับการประลองเช่นกัน

ในแต่ละรอบจะมีสมบัติเซียนเป็นรางวัล หากมีผู้ใดสามารถยืนหยัดเอาชนะได้เก้าครั้งติดต่อกัน และยังสามารถเอาชนะปรมาจารย์ที่วังมังกรส่งออกมาได้อีก พวกเขาก็จะสามารถเอาสมบัติเซียนไปได้

ปรมาจารย์แห่งวังมังกรเป็นมังกรหนุ่มที่โดยเฉลี่ยแล้วจะมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นหนึ่งหรือขั้นสอง

ความยากลำบากในการชิงสมบัติไม่ได้ต่ำ ทว่าความกระตือรือร้นของบรรดาศิษย์จากสำนักเซียนล้วนสูงมาก พวกเขาต่างก็ตื่นเต้นอย่างยิ่ง เพราะสำหรับพวกเขาแล้วมันยากมากที่จะได้รับสมบัติเซียน

และทันทีที่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น บรรดาศิษย์ของทุกสำนักต่างก็แสดงความสามารถของพวกเขาออกมา และภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นค่อนข้างน่าตื่นเต้นอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง

อย่างไรก็ตามเมื่อหนึ่งชั่วยามผ่านไป ก็มีเพียงศิษย์คนเดียวที่อยู่ในขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีระดับต้นจากสำนักใหญ่แห่งหนึ่งเท่านั้นที่สามารถเอาชนะได้เก้ารอบติดต่อกัน และมีโอกาสได้เผชิญกับปรมาจารย์เผ่ามังกรโดยตรง ทว่าศิษย์ผู้นั้นก็ต้องพ่ายแพ้ไปในการต่อสู้ที่ดุเดือด

ในเวลานี้เอง โหย่วฉินเสวียนหย่าพลันตบโต๊ะเตี้ย แล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่บินโปร่งใสสิบสองเล่มที่บินวนเวียนอยู่รอบๆ ร่างของนาง จากนั้นนางก็ร่อนร่างลงหยุดต่อหน้ามังกรหนุ่ม

“ต่อสู้ครั้งที่หนึ่ง”

และในวันนี้ที่งานประชุมของวังมังกร โหย่วฉินเสวียนหย่าจากสำนักตู้เซียน ก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ในวังมังกรล้วนอัศจรรย์ใจ

ด้วยเวทควบคุมกระบี่ที่ยอดเยี่ยมและเวทควบคุมไฟที่โดดเด่น นางสามารถเอาชนะผู้บำเพ็ญหลายสิบคนติดต่อกัน และเอาชนะปรมาจารย์สี่คนจากเผ่าพันธุ์มังกรได้ทั้งหมด ก่อนจะได้รับสมบัติเซียนไปสี่ชิ้น แล้วนับตั้งแต่นั้นมาชื่อเสียงของนางก็ระบือลือลั่นไปทั่วทั้งดินแดนเทวะบูรพา

หลังการต่อสู้ที่ยืดเยื้อในครั้งนี้ ผู้บำเพ็ญสตรีที่มีชะตาลิขิตให้โดดเด่นเหนือสามัญในอนาคต นางกลายเป็นจุดสนใจของทุกสายตา ขณะพาร่างที่เหนื่อยล้าของนางซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผล พร้อมกับสะพายกระบี่เล่มใหญ่เดินกลับไปยังพื้นที่ของสำนักตู้เซียนอย่างช้าๆ

นางปฏิเสธข้อเสนอให้ความช่วยเหลือจากสหายร่วมสำนักทั้งหลายและไม่คำนึงถึงการห้ามปรามของเหล่าอาจารย์ลุงที่ขอให้นางรีบปรับลมปราณทันที ทั้งยังเดินผ่านที่นั่งของนางเอง และเดินต่อไปอีกสองสามก้าว…

นางก้มศีรษะและเอนร่างลงในขณะที่มือเรียวยาวของนางนั้นสั่นเล็กน้อยเนื่องจากใช้พลังเวทมากเกินไป

แต่ในที่สุดนางก็วางสมบัติเซียนที่เปล่งประกายแสงสีเจิดจ้าทั้งสี่ชิ้นเอาไว้บนโต๊ะเตี้ย ต่อหน้าศิษย์ชายขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นสองของสำนักตู้เซียน ที่ในเวลานี้คนส่วนใหญ่ลืมเขาไปแล้ว…

จากนั้นนางก็ยิ้มอย่างอ่อนล้าให้กับศิษย์ชายผู้นั้นซึ่งกำลังเงยหน้าขึ้นมองมาที่นาง…

ในขณะนี้ผู้บำเพ็ญทั้งหมดในที่นั้นล้วนนับถือโหย่วฉินเสวียนหย่าอย่างลึกซึ้ง ในขณะที่บรรดาเซียนเสิ่นจากสำนักเซียนต่างๆ ก็ล้วนประทับใจอย่างยิ่งเช่นกัน

ทว่าหลี่ฉางโซ่วกลับมองนางด้วยสายตาซับซ้อนและเอ่ยวาจาใดไม่ออก เขายืนขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะเอื้อมมือไปช่วยพยุงนาง แต่โหย่วฉินเสวียนหย่าคิดถึงอาการป่วยของเขาในการสัมผัสสตรี จึงรีบหลบหลีกและถอยหนีมือของเขาในทันที

ดังนั้นหลี่ฉางโซ่วจึงทำได้เพียงทำการโค้งคำนับให้กับแผ่นหลังของโหย่วฉินเสวียนหย่า ในขณะที่ในก้นบึ้งของหัวใจเขาได้อวยพรอาจารย์ลุงจิ่วอูอย่างเงียบ ๆ …

เป็นหลายร้อยครั้ง

……

ภายในวังใต้น้ำอันงดงามโอ่อ่า

หนุ่มน้อยที่นอนอยู่บนเตียงยาวหนึ่งร้อยจั้งก็ลืมตาขึ้นในทันใด ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าร่างของสาวใช้ที่กำลังนั่งคุกเข่าและปอกองุ่นให้เขาแล้วถามว่า

“ข้าแพ้? ข้าแพ้หรือไม่”

“ฝ่าบาท โปรดอย่ากังวลไปเพคะ พระองค์ชนะการประลอง…”

“อะไรนะ เป็นไปได้อย่างไร! เห็นได้ชัดว่า…อึก!”

“องค์ชายรอง! องค์ชายรอง!

“ใครก็ได้ เร็วเข้า! ฝ่าบาทหมดสติไปอีกแล้ว!”

……………………………………………………………………………