บทที่ 93 – โลกด้านนอก

 

ในระหว่างเดียวกันหลังจากที่มิวขึ้นมายังหอคอยชั้นสี่ได้แล้วนั่นเอง… ทางด้านของผู้กล้าเอริเนียที่แบกรินนะใส่บ่า แบกเอริเนียไว้ใต้แขน

ก็ออกจากหอคอยได้อย่างง่ายดาย.. แม้เธอจะไม่ใช่คนที่ผ่านหอคอย ทำให้เธอต้องไปออกจากหอคอยผ่านชั้นที่หนึ่งแทน

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอเท่าไหร่.. เมื่อผู้กล้าเอริเนียเดินออกมายังโลกแห่งความเป็นจริงแสงสว่างแยงตาเธอจนทำให้ตาพร่ามัวไปชั่วขณะ

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอก็เบิกกว้างกับภาพสุดแสนจะแฟนตาซีตรงหน้า.. ในมุมมองของผู้กล้าเอริเนียโลกที่เต็มไปด้วยวิทยาการไม่พึ่งพาพลังเวทมากนักแบบนี้

มันไม่ต่างอะไรไปจากความแฟนตาซีในสายตาเธอเลย แม้เธอจะได้ฟัง เธอจะได้รู้เรื่องราวมาแล้วผ่านการเล่าของใครสักคนก็ตามที

แต่ทว่าความเป็นจริงที่บังเกิดต่อหน้าเธอนั้นก็ยังอยู่เหนือกว่าสิ่งที่เธอสามารถจินตนาการออกมาได้

ตึกราวบ้านช่องที่สูงเสียดฟ้า รถที่บินอยู่กลางอากาศยังมีให้เห็นอยู่บ้างด้วยซ้ำ บางคนก็บินเอาแทนที่จะเดิน

มันช่างเป็นโลกที่แปลกตาเธอยิ่งนัก.. ผู้กล้าเอริเนียมองไปรอบๆ ก็เห็นแต่ผู้คน แน่นอนว่าเธอไม่ได้ดึงดูดสายตาของใคร เพราะคนเข้าออกหอคอยนั้นมีเยอะอยู่แล้ว

แน่นอนว่ามันค่อนข้างแออัด.. ผู้กล้าเอริเนียเองก็ไม่อยากให้สองคนที่เธออุ้มอยู่ถูกฝูงชนเบียดเสียดจนอาการแย่กว่าเดิม

เธอจึงก้าวขาหลบซ้าย หลบขวาอย่างคล่องแคล่ว.. ราวกับผู้เชี่ยวชาญด้านการหลบหลีก เพียงพริบตาเดียวเธอก็ออกมาจากฝูงชนได้แล้ว

แต่ทว่าในตอนนั้นเองก็มีคนยื่นมือมาจับไหล่ผู้กล้าเอริเนียข้างที่ไม่มีรินนะอยู่อย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวก่อน.. เธอน่ะ”

เสียงปริศนาดังขึ้น ผู้กล้าเอริเนียก็หดคิ้วเกร็งแทบจะทันที เธอไม่สามารถสัมผัสถึงอีกฝ่ายได้เลย แน่นอนว่าผู้กล้าเอริเนียต่างจากมิว

มิวตอบโต้หรือตอบสนองทุกอย่างด้วยสัญชาตญาณของตัวเอง เหมือนสัญชาตญาณเอาตัวรอดนั่นแหละ

ทว่าผู้กล้าเอริเนียนั้นใช้ประสบการณ์ ทักษะและความสามารถในการรับรู้และตอบสนอง ซึ่งว่ากันบางระดับหากมิวไม่ได้ใช้อาณาเขตมังกรอยู่

มิวไม่ได้มีประสาทสัมผัสดีเท่าผู้กล้าเอริเนียเลยด้วยซ้ำ อย่างตอนที่โดนอาโก้ตามดูอยู่ห่างๆ มิวยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

แต่หากเจ้าอาโก้มาซุ่มดูมิวตอนที่ผู้กล้าเอริเนียอยู่ด้านนอกด้วย เธอคงสัมผัสถึงสายตานั่นได้ทันที

แต่ทว่าอีกฝ่ายที่มาจับไหล่ของมิวเอาไว้นั้น.. เหมือนจะเหนือกว่านั้น ไม่ก็เพราะมีอารยธรรมที่พิเศษออกไป

แต่ในโลกนี้มันมีสิ่งแบบนั้นอยู่จริงๆ เหรอ..

“มีอะไร”

ผู้กล้าเอริเนียตอบแบบห้วนๆ ตามสไตล์ของเธอพร้อมกับร่างที่หายวับไปแล้วอยู่ห่างจากอีกประมาณห้าเมตร

เธอในตอนนี้จัดการพวกไม่เก่งมากได้ก็จริง แต่ถ้าเก่งระดับที่ประสาทสัมผัสเธอตามไม่ทันนี่อาจจะยากหน่อยเพราะมีตัวถ่วงถึงสองคน

ทว่าเมื่อมองไปยังที่ที่มันควรจะอยู่ ผู้กล้าเอริเนียกลับไม่พบคนที่ควรจะเป็นคนดังกล่าว เพราะตรงหน้าเธอมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่

ท่าทางของเธอกล้าๆ กลัวๆ เพราะเห็นการเคลื่อนไหวเมื่อสักครู่ของผู้กล้าเอริเนีย เธอพึมพำกับตัวเองทันทีว่า

“จะดีเหรอ… ก็รู้อยู่หรอกว่าไม่มีทางเลือก… แต่ว่า…”

“ฉันไม่ได้เกี่ยวด้วยสักหน่อยนี่น่า..”

“…..”

“ขอโทษ… ฉันไม่ได้อยากจะพูดแบบนั้น”

สาวน้อยคนนี้พูดกับตัวเอง เธอมีส่วนสูงไม่น่าจะถึง 160 ด้วยซ้ำ รูปร่างก็ไม่ได้มีรูปร่างที่โตขนาดนั้น

เธอพึมพำกับตัวเองสักพักก็ขอโทษกับตัวเองก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาของเธอเปลี่ยนไป ไม่ใช่สาวน้อยขี้ขลาดอีกต่อไปแต่เป็น..

“ฉันรู้สึกถึงกลิ่นอายของนายท่านแห่งเราจากเธอ… เธอรู้จักกับนายท่านแห่งเรางั้นเหรอ”

น้ำเสียงที่ดูแข็งกระด้างนั้นเป็นน้ำเสียงเดียวกับที่ผู้กล้าเอริเนียได้ยินตอนแรก แถมพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของอีกฝ่ายก็คือ….

“กลิ่นอายอัตลักษณ์ ‘นิรันดร์’ ของนายท่าน…?”

ดวงตาของผู้กล้าเอริเนียหดเล็กลง.. เจ้านี่มัน..ตัวอะไรกัน?

ทำไมถึงมีกลิ่นอายอัตลักษณ์พิเศษเฉพาะของเทพมังกรได้..?

………

……

“พวกเธอทุกคนรู้ใช่ไหมสาเหตุที่พวกเรามาอยู่ที่นี่ในวันนี้…”

ไม่รู้ว่าที่แห่งนี้คือที่ใด แต่เป็นพื้นที่ที่เหมือนกับห้องประชุมขนาดใหญ่ แต่ค่อนข้างเก่าทุกอย่างเหมือนจะพังลงได้ทุกเมื่อ

แต่ทว่ากลับถูกพลังบางอย่างค้ำจุนเอาไว้ สถาปัตยกรรมในที่แห่งนี้เหมือนไม่ใช่สถาปัตยกรรมในยุคนี้

เก้าอี้วางเรียงกันประมาณสิบสองตัว และมีคนสิบเอ็ดคนกำลังนั่งล้อมวงกันอยู่ มีเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ไม่มีใครนั่งอยู่

โดยแต่ละคนนั้นสวมผ้าคลุมปกปิดใบหน้าราวกับไม่ต้องการแสดงใบหน้าให้ใครรู้ ต่อให้ปล่อยพลังในการตรวจสอบมาก็ไม่อาจมองทะลุได้

เพราะทุกคนต่างใช้พลังที่แตกต่างกันในการปกปิด อันที่จริงแม้ทุกคนจะมารวมตัวกัน แต่เหมือนว่าไม่มีใครเชื่อใจใครอยู่เลย

บรรยากาศรอบตัวจึงเป็นบรรยากาศที่ค่อนข้างที่จะตึงเครียดเล็กน้อย..

“คำทำนาย.. อะไรสักอย่างนั่นใช่ไหม?”

“ถูกต้อง.. คำทำนายก่อนที่พวกเราทุกคนจะสิ้นชีพ เวลาแห่งกาลเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์จะเกี่ยวข้องกับหอคอยนั่น”

คนที่เหมือนจะจำเรื่องราวบางอย่างได้เพียงคนเดียวก็ตอบกลับอีกคนที่เหมือนจะยังตามสถานการณ์ไม่ทัน

อันที่จริงทุกคนในที่แห่งนี้ ยกเว้นคนที่นั่งอธิบายก็ต่างสับสนกับสถานการณ์ในตอนนี้กันทุกคนนั่นแหละ

“พวกเธอจะจำอะไรไม่ได้ก็ไม่แปลกอะไร แต่คงรู้กันดี.. จากเบื้องลึกของจิตวิญญาณ ตัวตนของพวกเธอว่าทำไมถึงต้องมาที่แห่งนี้และมาเพื่ออะไร..”

“เดี๋ยวก่อน.. แล้วทำไมเธอถึงเป็นคนเดียวที่เหมือนจะจำเหตุการณ์ได้?”

จู่ๆ คนหนึ่งก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะเธอสังเกตดูคนอื่นๆ เหมือนจะสับสนเหมือนกับตัวเธอเอง แล้วทำไมคนคนนี้ถึงพูดเหมือนรู้ดี

สถานการณ์ในตอนนี้มันแปลกประหลาดอย่างยิ่ง.. จู่ๆ เธอที่กำลังทำภาระหน้าที่ตัวเอง ใช้ชีวิตตัวเองไปวันๆ ก็…

รู้สึกว่าต้องมาที่แห่งนี้.. โบราณสถานที่มีแต่เธอที่สามารถลงมาได้แห่งนี้ มีคำทำนายบางอย่างที่เรียกร้องให้เธอ ไม่สิ ให้ทุกคนมาที่นี่

ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจอะไรเลยนอกจาก เกี่ยวกับคำทำนาย…

คนที่รู้เรื่องไม่ได้ตอบคำถามอีกคนทันที แต่เธอกลับค่อยๆ พูดขึ้น

“ทุกคนในที่แห่งนี้ ต่างไม่เกี่ยวข้องกัน มีชีวิตที่แตกต่างกัน ไม่เคยพบหรือรู้จักกันมาก่อน พวกเธอทุกคนต่างก็เป็นสุดยอดในด้านต่างๆ คงมีความคิดและความรู้สึกที่ต่างกันไปมาก แต่จงจำไว้ว่าพวกเราทุกคนต่างคือญาติสหายกันตั้งแต่อดีตชาติ”

“เอาล่ะ.. พวกเธอพร้อมจะเอามันคืนมาหรือยัง ช่วงเวลาที่พวกเธอทุกคนสูญเสียไปและร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์”

คนคนนั้นค่อยๆ ดึงผ้าคลุมออกจากหัวช้าๆ วินาทีที่ทุกคนเห็นใบหน้านั้นทุกคนก็ต่างพากันตกใจแทบจะทันที

“เธอมัน…”

“คาเรน.. คนที่มีอายุเยอะที่สุดในโลก? ไม่ใช่ว่าตายไปแล้วเหรอ?”

ทุกคนต่างแสดงสีหน้าอย่างตกตะลึง.. คาเรนหญิงชราที่มีอายุมากกว่าร้อยปีและ อยู่ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะเริ่มจนมาถึงไม่กี่ปีก่อนก็มีข่าวว่าตายไปแล้ว

แต่ทว่าที่มาอยู่ตรงนี้ได้ก็หมายความว่าเป็นเรื่องโกหก หญิงชราคาเรนคือหนึ่งในคนที่ดังที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

เพราะเธอนั้นอายุยืนที่สุดในโลก การที่เธอจะโด่งดังไม่ว่าเด็กตาดำๆ ก็รู้จักมันคงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่นัก

“ไม่ต้องตกใจไป.. พวกเธอทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าคนแก่แบบฉันทั้งนั้น..”

“แต่นี่ก็ถึงเวลาแล้ว ที่ฉัน..ที่ข้าคนนี้ต้องจบช่วงเวลาที่พวกเจ้าทุกคนโยนมาให้ข้าแบกรับมันเอาไว้เพียงคนเดียว”

“เตรียมพร้อมหรือยังสหายของข้า.. พวกเจ้าพร้อมรับรู้ความเป็นจริงของพวกเจ้า ของตัวตนของพวกเจ้าหรือยัง”

เบื้องหลังของหญิงชราคาเรนนั้นยังมีผ้าสีแดงที่ถักทอด้วยสัญลักษณ์สีทองแปลกตาดูไม่เหมือนสิ่งมีชีวิต แต่ดูดีๆ ก็คล้าย

ตรงนั้นไม่ได้มีเก้าอี้อยู่.. แต่เหมือนเป็นพื้นที่สำหรับวางบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่.. และบนผ้าสีแดงนอกจากสัญลักษณ์ประหลาดตา

ยังสลักไว้ด้วยอักษรโบราณที่ไม่มีใครในที่แห่งนี้อ่านออกยกเว้นหญิงชรา..

มันสลักเอาไว้ว่า

‘วิหารแห่งมังกร’

 

……..

[ธุระเสร็จหมดแล้วครับ เดี๋ยวจะพยายาม ปรับเวลากลับมาอัพตามปกติในเร็ววันนี้ครับ – ผู้เขียน]