บทที่ 94 – ชมเมือง

 

เมื่อมิวลงมาถึงพื้นเธอก็พบทันทีว่าเมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่ดูต่างจากที่คิดไว้พอสมควร เพราะโลกนี้เป็นโลกที่ทุกประเทศ ทุกอาณาจักรล้วนล่มสลายลงไปจนหมดแล้ว เหลือเพียงศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์นี้เท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่

มิวในตอนแรกคิดว่ามันจะเป็นที่ที่ค่อนข้างมืดครึ้ม เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ทว่าเมืองแห่งนี้กลับไม่ใช่ กลับเป็นที่ที่แต่งแต้มไปด้วยผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์เหมือนกับโลกในนิยายแฟนตาซี

มีแผงลอยขาย ผู้คนเดินกันเต็มไปหมด บ้างก็เป็นแม่บ้าน บ้างก็เป็นเด็กที่มาเดินเล่น บ้างก็เป็นคุณคนรับใช้

เรียกได้ว่าที่แห่งนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวาพอสมควร เมื่อเห็นมิวประหลาดใจกับเมืองแห่งนี้แล้ว คนที่รู้สึกภูมิใจก็คือคนที่อยู่ข้างๆ อย่างเรย์น่า

เรย์น่ายืดอกกล่าวว่า

“เพราะว่าที่นี่ใช้ระบบปกครองแบบการเลือกเสียงส่วนมากน่ะ เพราะว่าทุกประเทศทั่วโลกต่างตกที่นั่งลำบาก เพราะงั้นเลยอพยพมาอยู่ที่นี่”

“ทำให้การดูแลจากโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ค่อนข้างขาดความทั่วถึงพอสมควร เลยตั้งระบบการเลือกตั้งผู้นำมาน่ะ แน่นอนว่าในเมืองนี้ก็แบ่งเป็นหลายเขต หลายแขวง”

“ในแต่ละเขต แต่ละแขวงนั้นมีผู้ปกครอง มีผู้ดูแลผ่านการเลือกของประชาชนคนกลุ่มใหญ่”

“ซึ่งวิธีนี้มันค่อนข้างดีและเป็นการจัดสรรพื้นที่ เพราะในแต่ละเขตจะมีผู้อยู่อาศัยหลายๆ ประเทศมารวมกันใช่ไหมล่ะ พอมีการเลือกตั้งก็ต้องเลือกคนที่คุยกันรู้เรื่องและชัดเจนที่สุด กล่าวคือมันจะเป็นการขัดด้วยว่าเขตไหนมีคนประเทศไหนเยอะ และจะตั้งเป็นเขตของคนประเทศนั้นๆ คนที่ไม่ใช่คนในเขตนี้ก็แค่ย้ายไปอีกเขตที่เป็นคนในประเทศเดียวกันเท่านั้น”

“เรียกได้ว่าเป็นการแบ่งแยกเมืองโดยให้ปุถุชนเป็นคนคัดสรรกันเองเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าทางโบสถ์ก็คอยมาดูแลในระดับเขตอีกที และระดับเขตก็จะส่งไปหาระดับแขวงที่ใกล้ชิดกับปุถุชนที่สุดนั่นเอง”

เธอพูดอย่างภูมิใจ อันที่จริงคนที่เสนอแนวคิดนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวของเธอในสมัยเมื่อหลายสิบปีก่อน เพียงระยะเวลาสิบกว่าปีเท่านั้นที่ทำให้เมืองนี้เจริญจนกลายเป็นแบบนี้ไปได้

ส่วนหนึ่งมาจากสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์ด้วยก็จริง การก่อสร้างของโลกในนี้จึงเป็นไปได้ง่ายกว่าโลกด้านนอกสมัยก่อนเยอะโข

เมืองแห่งนี้กลายเป็นเมืองที่รุ่งเรืองได้ในระยะเวลาอันสั้นผ่านการปกครองด้วยตัวเองเหล่านี้ มิวที่ได้ยินแบบนั้นก็ประหลาดใจจริงๆ

มันคือระบอบประชาธิปไตยนั่นแหละ โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ก็คงเป็นกระทรวงรัฐมนตรีแห่งชาติเลยก็ว่าได้

ถึงทางโบสถ์จะไม่มีการเลือกตั้งก็เถอะ แต่มิวก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอะไรขนาดนั้น เธอรู้แค่ว่ามันเหมือนกับในโลกเดิมของเธอแค่นั้น

แน่นอนว่าการพาทัวร์เมืองพึ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เรย์น่าเริ่มพามิวทัวร์เมืองแห่งนี้ พาชิมอาหาร พาเที่ยวดูสถานที่ต่างๆ

มิวที่ได้เห็นก็รู้สึกดีไม่น้อย แม้ในความคิดของเธอจะหากเทียบกับโลกเดิมมิวหรือโลกนอกหอคอย สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่ได้เทียบเคียงก็ตาม

แต่ก็ถือว่าทันสมัยอยู่ดี วัฒนธรรมต่างๆ ก็มีหลากหลาย การเล่นสนุก การเสี่ยงทาย.. ทำให้มิวจนแทบลืมไปว่านี่คือโลกในหอคอย

อันที่ริงมิวก็เคยตั้งคำถามกับโลกในหอคอยเสมอว่า โลกแห่งนี้คืออะไร.. ที่แน่ๆ มันไม่ใช่ในหอคอยที่มองเห็นจากโลกภายนอกแน่ๆ

เพราะที่นี่มันกว้างขวางไร้ขอบเขตเลย.. มีแค่ชั้นหนึ่งนั่นแหละที่ออกไปไหนไม่ได้นอกจากภายในใต้ดินแห่งนั้น

เพราะนอกจากนั้นไม่ว่าจะชั้นสองหรือชั้นสาม หรือแม้แต่ชั้นนี้ก็ยังเป็นสถานที่ที่เหมือนกับหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ มันเป็นเหมือนกับโลกโลกหนึ่งจริงๆ

จากที่พูดคุยกับเทรต้ามิวก็มั่นใจได้ว่าโลกนี้คือโลกโลกหนึ่งจริงๆ ที่อยู่อีกมิติหนึ่ง แต่ทว่า.. ผลกลับปรากฏว่าเทรต้าไม่ใช่คนในโลกของหอคอยเช่นกัน..

แต่เอาเข้าจริงโลกนี้จะเป็นต่างมิติก็ไม่แปลกอะไร เพราะยังไงซะด้านนอกนั่นก็มีประตูบอร์เดอร์ที่เชื่อมเข้ากับอีกโลกได้

อีกอย่างขนาดต่างโลกมิวยังข้ามมาแล้ว คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร.. แต่ที่น่าสงสัยคือเควสต่างหาก ตั้งแต่ที่มิวดำเนินเควสมา

เหมือนกับว่าทุกอย่างจะถูกจัดเตรียมไว้แต่แรกรอคนมารับเควสเท่านั้นเอง.. นั่นหมายความว่าก่อนที่คนจะเจอเควส ผู้คนที่อยู่ในนี้จะถูกแช่แข็งไว้งั้นเหรอ

งั้นก็ไม่ใช่หมายความว่านี่เป็นเหมือนโลกในเกมที่หอคอยเป็นคนสร้างขึ้นมางั้นเหรอ อันที่จริงที่ชั้นสี่นี้

เดิมทีไม่มีคนอยู่เลย.. หากเข้ามาแบบไม่มีเควสที่มิวต้องเจอน่ะนะ อย่างที่บอกว่ามิวอ่านข้อมูลมาหมดแล้ว

และชั้นสี่ก็คือชั้นที่มีเมืองใหญ่แบบนี้อยู่จริงๆ แต่นั่นมันไม่มีคนอยู่เลย ต่างจากที่มิวเห็นตอนนี้ที่มีผู้คนเดินกันเต็มไปหมด

เอาเถอะ จะเป็นยังไงมันก็ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับมิวสักเท่าไหร่อยู่ดี สิ่งที่เธอต้องทำในตอนนี้ก็คือสนิทกับผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ

และสอนบางอย่างให้เธอ และเคลียร์เควสยาวนี้ให้เสร็จก่อนจะออกจากหอคอยไปให้ไวที่สุด เพราะมิวเป็นห่วงรินนะ

“เอ่อ.. ท่านมิว?”

“หือ.. มีอะไรเหรอ?”

เพราะเสียงเรียกของเรย์น่าเลยทำให้มิวสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“เอ้ะ เปล่าค่ะ.. เห็นเหมือนท่านเหม่อลอยไปก็เลย.. อ้ะ ว่าแต่ท่านมีที่ไหนที่อยากไปเป็นพิเศษไหมคะ?”

“ที่ที่อยากไปเป็นพิเศษงั้นเหรอ..?”

“จะว่าไป ท่านไม่เคยมาที่นี่นี่น่า จะไปมีที่ที่อยากไปได้ไงล่ะ ข้าขอโทษด้วย งั้นเอาแบบนี้ข้าจะพาไปที่ที่ข้าชอบไปดีกว่าไหม?”

“เอ้ะ .. เดี๋ยวสิ”

ในขณะที่มิวกำลังจะถามว่า ‘ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยลงมาเหมือนกันเหรอ’ แต่เจ้าตัวก็วิ่งแล่นไปพร้อมกับกวักมือเรียกมิวอยู่ห่างออกไปด้วยความร่าเริง

อันที่จริงอาจจะเพราะสีหน้าแบบนี้ของเธอต่างจากตอนอยู่บนนั้นมาก เลยทำให้มิวรู้สึกทึ่ง บนนั้นเธอมีทั้งความสุขุมอ่อนโยนและดูเป็นพระแม่

แต่พอลงมาแล้ว.. นิสัยเหมือนกับเรนะไม่มีผิดเลย ถึงจะต่างตรงที่เรนะไม่ได้ดีดเหมือนเรย์น่าในตอนนี้ เธอคนนั้นจะไม่ค่อยแสดงออกชัดเจน

แต่ก็ไม่ได้ถึงกลับไม่พูดอะไร.. เอาเป็นว่าอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยทั่วไปทุกอย่างนั่นแหละ..

“ท่านมิว ทางนี้สิ ทางนี้”

“..ช่างเหอะ”

มิวถอนหายใจ ก่อนจะรู้สึกสงสัยว่าเจ้าตัวเป็นคนดังและมีอำนาจไม่ใช่เหรอ มาตะโกนโหวกเหวกโวยวายเรียกความสนใจแบบนี้จะไม่เป็นจุดสนใจกันเหรอ

ก็แอบลงมานี่น่า.. แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายมิวถึงได้เข้าใจ.. เพราะการแสดงออกของเธอมันแทบเป็นคนละคนกับตอนที่อยู่ด้านบน

นี่ถ้าไม่ลงมาด้วยมิวก็ไม่คิดว่าเป็นคนเดียวกันแน่ๆ ดังนั้นความไม่น่าจะแตกหรอกกมั้ง..มั้งนะ

“แล้วจะไปที่ไหนกัน?”

“ที่แรกเลยคือร้านเบเกอรี่ที่อร่อยที่สุดในย่านนี้ค่ะ”

“ย่านนี้.. จะบอกว่ามีที่อื่นด้วยเหรอ?”

“แน่นอนค่ะ เบเกอรี่แต่ละย่านมันมีจุดเด่นไม่เหมือนกันนี่คะ บางทีก็เค้กดี บางทีก็ขนมปังนุ่ม บางทีก็ขนมปังกรอบอร่อย มีเยอะออกใช่ไหมล่ะคะ?”

“…..”

เป็นเด็กที่ร่าเริงผิดกับที่เห็นตอนแรกจริงๆ เธอคนนี้.. แน่นอนว่ามิวไม่ได้ปฏิเสธ การถูกลากไป ลากมาแทบจะกลายเป็นงานอดิเรกของมิวนับตั้งแต่ตอนเป็นคางาริ เพราะคนที่ลากมิวไปลากมิวมาไม่หยุดก็คือเรนะนั่นแหละ

แค่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเรย์น่าคนหน้าเหมือน แม้แต่ชื่อก็ยังเหมือนแค่ออกเสียงไม่เหมือนนิดหน่อยเท่านั้นเอง

ทั้งคู่พากันเดินไปหาร้านเบเกอรี่แรก.. แต่ก่อนจะไปถึงก็แวะเข้าแผงลอยซ้ายที แผงลอยขวาทีอยู่เป็นครั้งคราว

ถ้ากระเพาะมิวไม่ใช่กระเพาะมังกรก็คงอิ่มแปล้ไปนานแล้ว ที่น่าแปลกคือเรย์น่ายังกินได้อีก กินต่อ กินอยู่และกินไม่หยุด

จนมิวแทบจะลืมไปแล้วว่าเธอเป็นคนธรรมดา.. กินบ้ากินบอได้ไม่สิ้นสุดจริงๆ

“อันนี้ก็อร่อยนะคะ”

ว่าแล้วก็วิ่งไปด้านซ้าย จับอาหารไม้มายัดปากมิว

“อันนี้คือน้ำดื่มขึ้นชื่อของละแวกนี้เลยค่ะ”

ว่าแล้วก็วิ่งขวาไปซื้อน้ำส้มขึ้นชื่อ.. ไงไม่รู้แต่ก็ขึ้นชื่อแหละ เจ้าตัวบอกงั้น

“อันนี้สูตรพิเศษเฉพาะทางร้านเลย”

ว่าแล้วก็เป็นขนมไม้เสียบ ที่มีน้ำจิ้มสูตรพิเศษ.. พิเศษไงไม่รู้แต่เจ้าตัวบอกพิเศษ

“อร่อยจริง ข้ารับประกัน ถ้าไม่อร่อยข้าขอเอาท้องข้าเป็นเดิมพัน หมายถึงข้าจะกินแทนท่านมิวเอง”

อันนี้หน้าตาไม่น่ากินเท่าไหร่ เหมือนกับจิ้งจกในโลกด้านนอกเลย แต่เจ้าตัวบอกถ้ามิวไม่กินเจ้าตัวกินแทนให้ ไม่รู้ว่าไอ้การกินแทนมันคือการรับประกันอะไรได้เหมือนกัน

“นี่เธอ.. ตั้งแต่เดินมาเธอแวะทุกร้านและบอกพิเศษทุกร้านเลยนะเฮ้ย.. ขืนเป็นแบบนี้จะไปถึงเบเกอรี่ไหมเนี่ย?”

“อ้ะ.. ข้าลืมไปเลยว่าจะไปร้านเบเกอรี่”

“…..อย่าลืมดิเฮ้ย”