บทที่ 77 เสี่ยวเป่าเหลิงแล้ว

บทที่ 77 เสี่ยวเป่าเหลิงแล้ว

ไม้อวบน้ำกลีบกลมกลึงเหมือนไข่มุกสีดอกท้อตั้งเด่นบนกระถางดอกไม้รูปกระต่ายใบจิ๋ว รอบ ๆ ต้นมีกรวดก้อนเล็กสีสันสวยงามปกคลุมหน้าดินไว้

 

หนานกงฉีซิวและคนอื่น ๆ เบิกตากว้าง

“นะ…นี่คือสิ่งใด?”

หนานกงฉีจวินถึงกับร้องโอ้โหพร้อมยิงคำถามรัว ๆ “มันคือพันธุ์ไม้จริง ๆ หรือ? ใช่ดอกบัวหรือไม่? แต่ดอกบัวจะแปลกประหลาดเช่นนี้ได้อย่างไร มันต้องเติบโตในน้ำมิใช่หรือ?”  

ไม่มีผู้ใดเคยเห็นไม้ประดับแปลกประหลาดนี้มาก่อน แม้มันจะแปลก แต่ก็สวยงามและดูกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักจนไม่อยากละสายตา

เสี่ยวเป่าในยามนี้เชิดหน้าทำท่าเย่อหยิ่ง มือน้อยยกขึ้นเท้าสะเอวพลางส่งเสียงพึมพำอย่างอารมณ์ดี

“เจ้านี่เรียกว่ากุหลาบหินลูกอม เป็นไม้อวบน้ำเพคะ”  

ไม้อวบน้ำ… 

พอได้ยินเสี่ยวเป่าบอกอย่างนั้น พวกเขาก็พิศมองสิ่งที่เรียกว่าไม้อวบน้ำอีกครั้ง คนทั้งหลายต่างคิดเห็นไปทางเดียวกันว่าไม่มีชื่อใดเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว 

 

“อวบอิ่มเหมือนกำลังอวบน้ำจริง ๆ นั่นแหละ”  

สายตาขององค์ชายห้า หนานกงฉีหลิงเต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้ เขาขยับเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อยื่นนิ้วออกไปสัมผัสมันให้แผ่วเบาที่สุด

“สวยงามแปลกตา ซ้ำยังอวบอ้วนเหมือนน้องหญิงเลย”  

เมื่อเห็นเจ้าไม้อวบน้ำลำต้นอวบอิ่มดูน่ารักน่าเอ็นดูนี้ เพียงแวบเดียวก็ชวนให้นึกถึงเสี่ยวเป่า 

“เสี่ยวเป่า เจ้าไปหาเจ้านี่ เอ่อ เรียกว่าอันใดนะ …ไม้อวบน้ำนี่มาจากที่ใด? ชื่อมันฟังดูแปลก ๆ แต่ก็เหมาะกับมันมาก”  

หนานกงฉีเฉินเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ

เสี่ยวเป่าตั้งใจตอบเหมือนรอเวลานี้มานาน “เสี่ยวเป่าเอามาจากนาหลวง มันคือต้นเดียวกันกับที่พวกท่านพี่บอกว่ามันดูอัปลักษณ์อย่างไรเล่า” 

 

หนานกงฉีเฉินและคนอื่น ๆ เบิกตากว้างทันที “ต้นไม้หน้าตาอัปลักษณ์นั่นน่ะหรือ? ไม่จริงกระมัง มันดูไม่เหมือนสายพันธุ์เดียวกันด้วยซ้ำ”  

เสี่ยวเป่ายืดอก “ก็เสี่ยวเป่าเลี้ยงมันจนกลายเป็นเช่นนี้ได้น่ะสิ”  

หนานกงฉีโม่ละสายตาจากไม้อวบน้ำมาที่เสี่ยวเป่า ก่อนจะบีบจมูกกระจิริดของนางส่ายไปมาอย่างเบามือ “เช่นนั้นเจ้าก็เก่งมาก~”  

นี่เป็นคำชมจริง ๆ จากใจ ผู้ใดจะคิดว่าเสี่ยวเป่าจะเก่งกาจถึงขั้นเลี้ยงเจ้าต้นไม้อัปลักษณ์นั่นให้สวยงามได้ขนาดนี้  

เหล่าพี่ชายกล่าวชื่นชมเจ้าก้อนแป้งจนตัวแทบลอย

โชคดีที่เซียวเหยาอ๋องพร้อมบุตรชายหนึ่งโขยงของเขาเดินทางมาถึงจวนจิ้นอ๋องเสียก่อน  

“ทำสิ่งใดกันอยู่หรือ?”  

วันนี้เขามาพร้อมกับพัดหนึ่งอันในมือ เสื้อผ้าบนตัวก็ดูไม่เรียบร้อย คอเสื้อแหวกกว้างตามประสาหนุ่มเจ้าสำราญ

อายุก็ปูนนี้แล้วยังไม่เป็นโล้เป็นพาย!  

จนบุตรชายฝาแฝดอย่างหนานกงเหยี่ยนและหนานกงเหิงที่เดินประกบข้างต้องเอ่ยเตือน

“ท่านพ่อ ชุดท่าน!”  

หนานกงหลีก้มมองเสื้อผ้าบนกายตนเองก่อนจะจัดแจงมันอย่างลวก ๆ ทั้งยังบอกคนอื่น ๆ ว่าให้มองข้ามมันไปเถอะ

“จวนของเรากับจวนของเจ้าใหญ่ห่างกันเพียงกำแพงกั้น อยู่ใกล้กันขนาดนี้ก็มิต่างอันใดกับอยู่ในจวนของตนหรอก ใช่หรือไม่เจ้าใหญ่”  

เฮ้อ… เสด็จอาผู้นี้ไม่คิดจะเกรงใจกันสักนิดเลยสินะ

“เจ้าใหญ่ อาเจ็ดเอาของกำนัลมาให้เจ้า อารู้ว่าเจ้าชอบอ่านตำราที่สุด อาถึงได้พยายามอย่างหนักเพื่อเอามันมาจากตาแก่หลีรุ่น ฮึ่ม… น่าเสียดายที่ได้มาเพียงเล่มเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีบุตรชายคนใดเก่งกาจเท่าเสด็จอาของเจ้า ไม่อย่างนั้นละก็คงได้มาให้เจ้าทั้งหมด”

บรรดาบุตรชายที่ถูกกล่าวหาว่าไม่ได้เรื่อง “…”

ให้ของเฉย ๆ ไม่ได้หรืออย่างไร ไยต้องยกยอตนเองด้วยการเหยียบย่ำผู้อื่น? อีกอย่างท่านคุยโม้โอ้อวดอย่างนั้นไม่รู้สึกผิดบาปบ้างเลยหรือ?

แต่พวกเขาที่รู้เห็นนั้นละอายใจเหลือเกิน!  

หนานกงฉีซิวรับตำราเล่มนั้นมาพร้อมกับส่งยิ้มให้ผู้เป็นอา เพราะรู้ดีว่าไม่อาจปฏิเสธเสด็จอาเจ็ดผู้นี้ได้

แม้เสด็จอาเจ็ดจะไม่เอาไหน แต่เขาก็เป็นคนที่คอยปกป้องพวกเขาเสมอ หากมีคนนอกมาพูดให้ร้ายหรือพูดจาไม่ดีใส่พวกเขาหรือเสด็จพ่อ เสด็จอาเจ็ดผู้ไม่เป็นโล้เป็นพายนี่แหละที่ลุกขึ้นเป็นคนแรก ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าวรยุทธ์ของตนนั้นไม่เอาไหน แต่เขาก็พร้อมถกแขนเสื้อเพื่อสู้กับคนพวกนั้น

“ขอบคุณเสด็จอาเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ”  

แต่ก็น่าเห็นใจใต้เท้าหลี ไม่รู้ว่าคราวนี้เสด็จอาเจ็ดไปหลอกเอาของมาด้วยวิธีใด ป่านนี้คงโมโหจนเคราสั่นแล้วกระมัง

ทันใดนั้น สายตาของหนานกงเหิงก็เหลือบไปเห็นไม้อวบน้ำในมือของเขา ดวงตาพลันเป็นประกาย พร้อมสาวเท้าเข้าหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว 

 

“พี่ใหญ่ นี่คือสิ่งใดหรือ? สวยแปลกตาดีจริง!”  

หนานกงเหยี่ยนเดินตามไป แล้วก็เป็นไปตามคาด พี่น้องฝาแฝดตกหลุมรักกุหลาบหินลูกอมกันทั้งคู่

เสี่ยวเป่ารีบยืดอก ยกไหล่ กระเด้งตัวออกไปประกาศว่าตนเป็นเจ้าของผลงาน

“ของเสี่ยวเป่าเอง เสี่ยวเป่าเป็นคนให้เจ้านี่กับพี่ใหญ่!”  

โธ่… หลานสาวตัวน้อยผู้น่ารักของอาเจ็ด หนานกงหลีปรี่เข้าไปกอดหลานสาวตัวน้อยของตน

 

“เสี่ยวเป่าของอาเจ็ดเก่งที่สุดเลย!”  

“ญาติผู้พี่ พวกเราขอดูสักหน่อยได้หรือไม่?” สองแฝดมองกระถางไม้อวบน้ำในมือเขาตาปริบ ๆ

  

หนานกงฉีซิวไม่ใช่คนขี้งกจึงส่งมันให้น้อง ๆ ดูอย่างสบาย ๆ

ผู้คนมากมายรีบเข้ามามุงดูจนแน่นขนัด

หนานกงฉีซิวคลี่ยิ้มบาง ยามนี้สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ไม้อวบน้ำ ในขณะที่เขากำลังชื่นชมต้นจุหลันที่ดูเหมือนไม่โดดเด่น

ใช่แล้วล่ะ ข้างในกระถางอีกใบที่เสี่ยวเป่าให้เขาก็คือ ต้นจุหลัน

ใบของมันเป็นสีเขียวมรกตมีประปรายอยู่ประมาณสี่ถึงห้าใบ ความยาวน่าจะยังไม่เท่าฝ่ามือเขาด้วยซ้ำ แต่พวกมันเติบโตมาเป็นอย่างดีและดูมีชีวิตชีวามาก

ผู้ไม่รู้จักต้นจุหลันอาจจะดูไม่ออกว่ามันเป็นกล้วยไม้ชนิดหนึ่ง แต่สำหรับผู้ชื่นชอบต้นจุหลันอย่างเขาแล้ว ใบไม้เขียวเพียงไม่กี่ใบนี้เป็นดั่งสมบัติล้ำค่า  

“นี่คือจุหลันสายพันธุ์ใดหรือ? พี่ใหญ่ดูจะชอบมันมาก”  

เสียงของหนานกงฉีโม่ดังขึ้นจากทางด้านข้าง ในขณะที่กำลังเข็นรถเข็นของหนานกงฉีซิวไปที่อื่น  

ในที่สุด เสี่ยวเป่าก็ฝ่าวงล้อมหลบหนีเสด็จอาเจ็ดออกมาได้ พอนางเห็นว่าพี่ใหญ่กับพี่รองกำลังจะไปที่อื่นก็รีบวิ่งตามมา

“พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านจะไปที่ใดเพคะ?”  

หนานกงฉีโม่ยกนิ้วเรียวเคาะหน้าผากเจ้าก้อนแป้ง ก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่รีบไม่ร้อน 

“ยังไม่เคยมาจวนจิ้นอ๋องเลย ในเมื่อมาเป็นคราแรก เจ้าไม่อยากไปเดินเล่นรอบ ๆ หรือ?”  

เสี่ยวเป่าพยักหน้า “เสี่ยวเป่าอยาก ๆ!”  

พูดจบนางก็กระโดดดึ๋ง ๆ เหมือนกระต่ายไปยืนข้างพี่ชายทั้งสอง เสี่ยวไป๋ก็กระโดดตามก้นนางไป  

อาการบาดเจ็บที่ขาของมันหายสนิทแล้ว อีกอย่างคือพอเสี่ยวไป๋อยู่ใกล้เสี่ยวเป่ามาก ๆ เข้า มันก็ติดนิสัยร่าเริงของนางมา ถึงได้มีท่าเดินกระโดดดึ๋ง ๆ เช่นนี้

หนานกงฉีซิวถามเสี่ยวเป่าเรื่องพันธุ์ไม้ในกระถาง “เจ้านี่ใช่จุหลันสายพันธุ์ซูกวนเหอติ่ง*[1]หรือไม่?”

หนานกงฉีโม่ตะลึงงันจนรถเข็นหยุดชะงัก “ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ ค้นพบจุหลันกลีบบัวเพียงสามต้นเท่านั้น แม้แต่มาลาการ*[2]ปรมาจารย์หลิวก็ยังต้องใช้เวลามากกว่าสิบปีกว่าจะเพาะพันธุ์ต้นจุหลันกลีบบัวได้หนึ่งต้น”

เสี่ยวเป่าเกาหน้าแก้เก้อ นางไม่เข้าใจสิ่งที่พี่รองพูด นางรู้แค่ว่าสิ่งที่นางปลูกคือ ต้นจุหลันสายพันธุ์ซูกวนเหอติ่งอย่างแน่แท้ 

แต่สุดท้ายนางก็พยักหน้า

“เจ้านี่คือต้นจุหลันที่เสี่ยวเป่าเก็บมาจากบนภูเขา เสี่ยวเป่าต้องใช้พลังมหาศาลเพื่อทำให้มันเติบโต!” 

พี่ชายทั้งสองมองนางด้วยสายตาอ่านยาก

ใช้พลังมหาศาล?  

กลับมาจากนาหลวงยังไม่ถึงครึ่งเดือนด้วยซ้ำ

ต้นจุหลันที่กำลังจะตายในวันนั้น นางเอามันกลับมาเลี้ยงยังไม่ถึงครึ่งเดือน มันไม่เพียงแค่รอดตายเท่านั้น แต่ยังงอกใบอีกตั้งห้าใบ

หากปรมาจารย์หลิวที่พี่รองเอ่ยถึง ผู้ใช้เวลากว่าสิบปีในการเพาะพันธุ์รู้เรื่องนี้เข้าคงจะเจ็บใจจนแทบกระอักเลือด 

“เสี่ยวเป่าของเราเก่งจริง ๆ”  

หนานกงฉีซิวลูบหัวนางพลางเอ่ยชม  

หนานกงฉีโม่พยักหน้าเห็นด้วย “ถือว่าเก่งพอตัว ข้าเพิ่งจะรู้ว่าน้องหญิงตัวน้อยของเรามีพรสวรรค์ในด้านนี้ดีเกินคาด น่าประหลาดใจสุด ๆ”

เจ้าก้อนแป้งที่กำลังเหลิง พอถูกพี่รองจ้องด้วยสายตาที่เหมือนกำลังจับผิด จากที่เคยอารมณ์ดีแทบจะถึงขีดสุด จู่ ๆ ก็หงอยเป็นสุนัขเหงา

ยิ่งนางทำเช่นนั้นมันยิ่งเหมือนการบอกพวกเขากลาย ๆ ว่านางกำลังมีปัญหามิใช่หรือ?  

เจ้าก้อนแป้งผู้โง่งมไม่รู้วิธีจัดการสีหน้าและอารมณ์ของตนเอาเสียเลย

พี่ชายทั้งสองมองหน้ากันแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาหาเสี่ยวเป่าแล้วหลุดหัวเราะออกมา 

ฝ่ามือเรียวยาวของคนทั้งสองวางทาบลงบนศีรษะน้อย ๆ พร้อมกัน

หนานกงฉีซิว “เสี่ยวเป่ามีพรสวรรค์ในการเพาะปลูก ถือเป็นโชคดีของเรา”  

หนานกงฉีโม่ “แต่น่าเสียดายที่โง่งมไปหน่อย นับแต่นี้ไปไม่ว่าเจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ในใจ ก็อย่าได้แสดงออกมาทางสีหน้า เจ้าตัวโง่งมจำคำพี่รองเอาไว้ให้ดี”  

เสี่ยวเป่ารีบยกฝ่ามือน้อยทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าตนไว้ ดวงตากลมโตราวกับองุ่นดำกลอกไปมาสุดจะมีพิรุธ

“ปะ…เปล่าเสียหน่อย!”

เสี่ยวเป่าฉลาดมาก ไม่ได้โง่เสียหน่อย!

[1] ต้นจุหลันสายพันธุ์ซูกวนเหอติ่ง หรือเรียกสั่น ๆ ว่า ‘จุหลันกลีบบัว’ หมายถึง กล้วยไม้ดินที่มีดอกคล้ายกลีบบัว ถือเป็นกล้วยไม้ที่หายากและมีมูลค่าสูง

[2] มาลาการ หมายถึง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องไม้ดอกไม้ประดับ และการเพาะพันธุ์พืช