บทที่ 78 บรรยากาศพลันนิ่งเงียบน่ากลัวอย่างถึงที่สุด

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 78 บรรยากาศพลันนิ่งเงียบน่ากลัวอย่างถึงที่สุด

บทที่ 78 บรรยากาศพลันนิ่งเงียบน่ากลัวอย่างถึงที่สุด

เมื่อถูกกล่าวหาว่าโง่งม เจ้าก้อนแป้งก็ส่งเสียงฮึดฮัด พร้อมพองแก้มทั้งสองข้างจนป่อง นางโน้มตัวเข้าหาพี่ใหญ่ ปากเล็ก ๆ เอ่ยบอกวิธีการเพาะปลูก ดูแลดอกกล้วยไม้ ทั้งยังพยายามแนะนำปุ๋ยของตนเองอย่างจริงจัง

  

หนานกงฉีโม่ที่อยู่ทางด้านข้างร้องเสียงหลงออกมาด้วยความแขยง “ปุ๋ยหมักขึ้นจากสิ่งสกปรกเหล่านั้นหรือ?”

  

ตอนที่เสี่ยวเป่าออกจากนาหลวงก็ได้บอกผู้ดูแลถึงวิธีการหมักปุ๋ยเช่นเดียวกัน ในยามนั้น ใบหน้าของพวกเขาล้วนเปลี่ยนเป็นสีเขียว ทว่าท่านพ่อได้กำชับงานอย่างไม่เปลี่ยนแปลงสีหน้า ไม่เพียงให้หมักปุ๋ยตามวิธีนี้เท่านั้น แต่ยังสั่งให้พวกเขาใช้นาหลวงเป็นที่ทดลองอีกด้วย

  

การทำตามโดยไม่มีการลังเลแม้แต่น้อย คำพูดจากปากเด็กสามขวบเช่นนี้ หากเป็นผู้อื่นคงคิดแค่ว่าเด็กน้อยเพียงกำลังก่อกวนเท่านั้น!

  

หากมีคนบอกว่าเขาไม่ใช่คนเห่อบุตรสาวคงไม่มีใครเชื่อ!

  

เพียงหนานกงฉีโม่คิดว่า พวกผักที่ตนเองจะได้กินในอนาคตเติบโตมาด้วยสิ่งนี้ เขาก็พลันรู้สึกไม่อยากอาหารขึ้นมา

  

เสี่ยวเป่าถลึงตามองเขาอย่างดุดัน “พี่รอง วิธีการนี้มีประโยชน์อย่างมาก สามารถปลูกของกินได้มากมายเลยนะ!”

  

เมื่อเห็นเด็กน้อยโกรธราวจะพองขนขึ้นมาแล้ว หนานกงฉีโม่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างอ่อนแรง

  

“เอาล่ะ เอาล่ะ พี่รองรู้ว่าตัวเองผิดไปแล้ว”

  

เสี่ยวเป่ากอดอกด้วยแขนเล็ก ๆ ก่อนจะส่งเสียงฮึดฮัด “รอให้ผักจากนาหลวงของท่านพ่อโตก่อนเถิด ถึงอย่างไรท่านก็ต้องกิน!”

  

ชายหนุ่มเกาจมูก ขณะที่ครุ่นคิดในใจว่าเมื่อถึงยามนั้นเขาจะฝากท้องไว้กับเมืองหน้าด่าน

ยามนี้เขาคาดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อยว่า ปุ๋ยที่เขาแขยงอย่างมากในตอนนี้ จะถูกนำมาสอนให้ชาวเมืองของเมืองหน้าด่านด้วยตัวเขาเองในอนาคต ซ้ำยังอยู่กินกับเหล่าผักที่ถูกปลูกขึ้นมาจากปุ๋ยทุกวัน

  

งานเลี้ยงอาหารของจวนจิ้นอ๋องไม่ได้ครึกครื้นมากนัก ทว่าเนื่องจากผู้มาเข้าร่วมล้วนเป็นคนในครอบครัว ดังนั้นจึงไม่มีพิธีรีตองหรือข้อบังคับมากมาย ทุกคนต่างหยอกล้อกันอย่างมีความสุข

  

เสี่ยวเป่าเองก็เช่นกัน ในฐานะเด็กหญิงเพียงคนเดียว นางจึงได้รับความรักเอ็นดูมากที่สุด พักหนึ่งก็อยู่ในอ้อมกอดของท่านอาเจ็ด อีกพักก็ไปอยู่ในอ้อมแขนของเหล่าพี่ชาย

  

สุดท้ายก็ยังได้ไปนั่งอยู่บนไหล่สูงใหญ่ของพี่สี่ ในมือของนางมือถ้วยน้ำอยู่หนึ่งถ้วย…?

  

ภายใต้ผืนราตรี แสงเทียนทำให้ไม่อาจมองเห็นมันได้อย่างแจ่มชัด

  

“เสี่ยวเป่านั่นคือสิ่งใด?”

  

หนานกงฉีซิวเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา

  

เสี่ยวเป่ากะพริบตา “ท่านอาเจ็ดให้นมกับเสี่ยวเป่า”

  

หลังจากนั้น นางก็เงยหน้ากระดกลงไปอึกใหญ่โดยไม่แม้แต่จะมองให้ละเอียด หนานกงฉีซิวไม่ทันห้าม กระทั่งจะยื่นมือออกไปหยุดก็ไม่ทันเสียแล้ว

  

“เดี๋ยวก่อน…”

  

น่าเสียดายที่สายเกินไปแล้ว

  

พรวด!

  

“เผ็ด เผ็ดมาก!”

  

หลังจากพ่นน้ำรสเผ็ดออกมาแล้ว เจ้าก้อนแป้งก็แลบลิ้นออกมาพร้อมใช้มือพัดใส่ไม่หยุด

  

“ท่านอาเจ็ด!!!”

  

หลายเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน นั่นนมที่ไหนกัน มันคือสุรา!

  

“อื๋อ?”

  

เซียวเหยาอ๋องเจ้าสำราญหันหน้าแดงก่ำดั่งลูกท้อไปทางเหล่าหลานชายที่ส่งเสียงเรียกอย่างกะทันหันด้วยความฉงน ก่อนที่เขาจะชูสุราในมือขึ้นสูง

  

“หมดถ้วย!”

  

หนานกงเหิงกับหนานกงเหยี่ยนเริ่มเสนอความคิดขึ้นมา “พวกท่านต้องการจับเขาใส่กระสอบหรือไม่ พวกข้าสามารถแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นได้”

  

เหล่าพี่น้องที่อยู่ด้านหลังก็พากันพยักหน้าหลายครั้ง

  

หนานกงฉีซิวที่กำลังอุ้มและป้อนน้ำให้เสี่ยวเปาอดมุมปากกระตุกไม่ได้ ตำหนักของเซียวเหยาอ๋องมีพ่อลูกเช่นนี้ เขาคาดเดาได้ล่วงหน้าเลยว่า ชีวิตในตำหนักของเซียวเหยาอ๋องจะบันเทิงมากแค่ไหน

  

สุดท้ายแม้ว่าเซียวเหยาอ๋องจะไม่ได้ถูกจับยัดใส่กระสอบ แต่เรือนผมสีดำของเซียวเหยาอ๋องก็ถูกเสี่ยวเป่าใช้มือน้อย ๆ ถักเป็นทรงต่าง ๆ โดดเด่นไปทั่วทั้งศีรษะ

  

คนอื่น ๆ ต่างเฝ้ามองด้วยความสนอกสนใจอยู่ทางด้านข้าง

  

หนานกงเหิงรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “เส้นผมคือสมบัติล้ำค่าของเสด็จพ่อ ถึงกับมักเอามาโอ้อวดพวกข้าอยู่เสมอ”

  

หนานกงเหยี่ยนส่ายหน้า “พรุ่งนี้ตื่นมาจะต้องมีคนหน้ามืดแน่นอน”

  

หนานกงฉีโม่เริ่มยิ้มเยาะ “ทำตัวเองก็สมควรแล้ว!”

  

เด็กเล็กเมาอ้อแอ้เช่นนั้นจะผิดได้อย่างไร ความผิดทั้งหมดล้วนเป็นของท่านอาเจ็ดผู้เอาสุราให้เสี่ยวเป่าดื่ม!

  

เมื่อถึงเวลากลับพระราชวัง เจ้าก้อนแป้งก็ร้องงอแงอยากดื่มนมไม่หยุด ต้องการจะดื่มนมที่มีรสเผ็ดนั่น

หนานกงฉีโม่กุมขมับ “ดื่มอะไรอีก กลับได้แล้ว!”

  

เสี่ยวเป่างอแง “เสี่ยวเป่าไม่เอา ไม่กลับ!”

  

หลังจากนั้นขาน้อย ๆ ก็เริ่มขยับวิ่งวุ่นไปทั่ว

  

เหล่าพี่น้องรีบไล่ตามไป หากไม่พานางกลับไป พวกเขาก็ไม่อาจแบกรับโทสะของเสด็จพ่อไหว

  

ทว่าเจ้าก้อนแป้งที่เมามายดื้อรั้นเป็นอย่างมาก เหล่าพี่ชายจะพากลับบ้านก็ไม่ยอม ทั้งยังทำหน้าบึ้งตึง

  

ท่าทางดูโกรธจริงจังเป็นอย่างมาก!

  

เหล่าพี่ชายต่างพากันไล่จับ ทว่าเจ้าตัวน้อยกลับอาศัยร่างเล็ก ๆ วิ่งรอบพวกเขาไปมา

  

“ท่านพี่เร็วเข้า จับเสี่ยวเป่าให้ได้เร็วเข้า คิกคิกคิก…”

  

นางหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เห็นได้ชัดว่านางคิดว่านี่เป็นการเล่นเกม

  

เหล่าพี่ชาย “….”

  

“ท่านพ่อเรียกเจ้ากลับบ้านแล้ว!”

  

สุดท้ายหนานกงฉีเฉินก็เกิดความคิดขึ้นมา จึงตะโกนบอกกับเด็กน้อย

  

เสี่ยวเป่าที่เดิมทียังวิ่งวุ่นก็หยุดนิ่งทันที สั่นศีรษะน้อย ๆ ขณะที่กะพริบตาปริบ ๆ

  

“ท่านพ่อหรือ? ท่านพ่อของเสี่ยวเป่าอยู่ไหน~”

  

เสียงของเจ้าก้อนแป้งนุ่มนิ่มน่ารัก ทว่าภายในใจของเหล่าพี่ชายกลับมีรสเปรี้ยวฝาดขึ้นมาเล็กน้อย

  

หนานกงฉีโม่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านพ่อกำลังรอเจ้ากลับไปอยู่”

  

เสี่ยวเป่าส่งเสียงตอบรับอย่างว่าง่าย คราวนี้ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาไล่จับ นางยื่นมือออกไปจับมือของหนานกงฉีโม่ด้วยตัวเอง

  

“ไปกัน ไปกัน กลับบ้านไปหาท่านพ่อ~”

  

ใบหน้าน้อย ๆ แดงก่ำขณะส่งเสียงเล็ก ๆ ออกมาอย่างมีความสุข

  

ในที่สุด ท่านบรรพบุรุษตัวนัอยก็ยอมสงบลง เหล่าบรรดาพี่ชายต่างเบนสายตาคมกริบไปทางเซียวเหยาอ๋องที่ยังคงดื่มสุราอยู่

  

หนานกงเหิงสะอึกด้วยฤทธิ์สุรา “ไม่อยากจับยัดกระสอบจริงหรือ? พวกข้าไม่บอกว่าเป็นฝีมือใครแน่”

  

บรรดาพี่น้องหนานกงฉีซิวทั้งหลาย “…”

  

ความคับแค้นยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน? นี่ขนาดเป็นบิดากับบุตรกันแท้ ๆ!

  

เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่จับเขายัดใส่กระสอบด้วยตัวเองเลยเล่า?

  

ภายใต้แสงจันทร์ หนานกงฉีซิวไปส่งพวกเขายังหน้าประตู

  

“เดินทางระวัง ๆ อย่าให้เสี่ยวเป่าหน้าคว้ำเชียว”

  

เหล่าน้องชายพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองรับรู้แล้ว

  

เสี่ยวเป่าที่ถูกพี่รองอุ้มเอาไว้ใช้ดวงตาคู่โตมองไปยังพี่ใหญ่ ซึ่งดูเหมือนกับเทพเซียนผู้อ่อนโยนท่ามกลางแสงจันทร์ ก่อนจะยิ้มจนตาหยี

  

“ไว้พบกันใหม่นะพี่ใหญ่ พรุ่งนี้ อึก~ พรุ่งนี้เสี่ยวเป่าจะไปหาพี่ใหญ่ใหม่”

  

หนานกงฉีโม่บีบแก้มอวบอิ่มของนาง “ไว้พรุ่งนี้หลังจากเจ้าสร่างเมาก่อนค่อยพูด”

  

เจ้าก้อนแป้งมุ่ยปากแล้วฮึดฮัดออกมา “เสี่ยวเป่าไม่ได้เมา เป็นพี่รองต่างหากที่เมา”

  

ดีมาก กระทั่งเมาแล้วยังสามารถแยกแยะคนได้

  

รถม้าวิ่งออกจากจวนจิ้นอ๋อง หลังจากเหล่าพี่น้องพาเสี่ยวเป่ากลับไปถึงพระราชวัง พวกเขาก็ได้รับแจ้งว่าให้พาเสี่ยวเป่าไปที่ตำหนักฉินเจิ้ง

  

เหล่าพี่ชายจึงอุ้มก้อนแป้งที่เมามายเดินเข้าไป

  

ตำหนักฉินเจิ้งมีเทียนจำนวนมากถูกจุด เกิดเป็นแสงสว่างไสวเด่นชัดยามราตรี

  

ฮ่องเต้กำลังกวาดตามองฎีกาภายใต้แสงเทียน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้า

  

ประหนึ่งราชันอสูรร้ายที่เพิ่งตื่นขึ้น เพียงสายตาก็สามารถกดดันและสยบผู้คนได้แล้ว

  

เหล่าน้อง ๆ ที่ถูกสายตาของเสด็จพ่อจับจ้องพากันซ่อนตัวหลบด้านหลังพี่ชาย

  

ในยามนี้ใครตัวสูงก็เป็นคนรับหน้าไป!

  

“กลับมาแล้วหรือ”

  

เสียงของหนานกงสือเยวียนทุ้มลึกและสงบนิ่ง สายตาของเขาจับจ้องไปทางเจ้าก้อนแป้งหน้าแดงที่ถูกอุ้มเอาไว้อยู่

  

เสี่ยวเป่าเอียงศีรษะน้อย ๆ ของตนเอง ดวงตาสีดำขลับฉายแววงุนงงและอยากรู้อยากเห็น

  

“อา…ท่านลุงหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้ดูคุ้น ๆ จังเลย!”

  

ทุกคน “…”

บรรยากาศพลันนิ่งเงียบน่ากลัวอย่างถึงที่สุด