บทที่ 152 โจมตี

ในช่วงเวลานี้ เหล่านักเวทย์ในดินแดนมนต์ต่างพากันทยอยออกจากเดินทางออก ทําให้สถานที่แห่งนี้ผู้คนบางตาอย่างเห็นได้ชัด

ในตอนแรกเมอร์ลินตั้งใจจะสร้างคาถาระดับหนึ่งแต่เขาคิดไปคิดมา เขาก็เปลี่ยนใจเอาในตอนสุดท้ายเนื่องจากเวลาไม่น่าจะเพียงพอ เขาไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลกวันในการสร้างและจําลองคาถา

ตอนนี้เขาอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินเขาต้องรีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

“โอ๊ย!!”

เมอร์ลนกับเอเลน่าได้บังเอิญชนกันในระหว่างที่เขากําลังออกจาหอคอย ดูเหมือนว่าเธอตั้งใจจะมารอเขา

“สวัสดีพ่อมดเมอร์ลิน” เอเลน่าก้าวไปข้างหน้าด้วยท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

“แม่มดเอเลน่ามีอะไรหรือเปล่า” เมอร์ลินขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าเธอดูแปลกไป ท่าทีของเธอดูผิดจากปกติอย่างมาก

ทันใดนั้นเอเลน่าได้เงยหน้าขึ้นราวกับว่าเธอตัดสินใจแล้ว เธอได้หันมามองเมอร์ลินและพูดว่า

“ พ่อมดเมอร์ลิน ถ้าหากคุณมีโอกาสเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งได้เมื่อไหร่ คุณจะพิจารณาให้ฉันเป็นบริวารของคุณได้หรือไม่?”

“เออ…”

เมอร์ลินรู้สึกสับสน ทําไมทั้งเอเลน่ากับเลอแรนก้าถึงเชื่อว่า เขาจะกลายเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งหรือบางทีพวกเขาหมดหนทางแล้ว

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลอะไร เมอร์ลินไม่สามารถตอบรับคําขอของเอเลน่าได้ เขาส่ายหัวและพูดว่า “แม่มดเอเลน่า ตอนนี้ฉันมีบริวารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นคือเลอแรนก้าที่ถูกส่งออกจากดินแดนมนต์ดําก่อนหน้านี้”

เขาไม่คิดที่จะปกปิดเรื่องของเลอแรนก้า อย่างไรก็ตามสีหน้าของเอเลน่าดูผิดหวังเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เธอส่ายหัวและพูดเบา ๆ ว่า

“แม่มดเลอแรนก้า ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ เธอลงมือไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…ตอนนี้ฉันทําอะไรไม่ได้แล้ว ตอนนี้พ่อมดเมอร์ลินมีบริวารแล้ว เนื่องจากเราอาจจะต้องอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน หากพ่อมดเมอร์ลินเคยอาศัยอยู่ที่เมืองโฟลทติ้ง อย่าลืมแวะไปที่ตระกูลเดลแมนและมาทักายฉันบ้างนะ”

เมอร์ลินพยักหน้าตอบรับไมตรีที่เธอยื่นมา หลังจากนั้นทั้งคู่ก็พูดคุยอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เอเลน่าจะขอตัวออกเดินทางไปพร้อมกับนักเวทย์คนอื่น ๆ

เมอร์ลินเหลือบมองไปรอบ ๆ เขามองเห็นนักเวทย์จํานวนมากต่างออกเดินทางอย่างรวดเร็ว แม้ว่าทางดินแดนมนต์ดําจะให้เวลาเตรียมตัวสามวันแต่ทว่าพวกนักเวทย์ต่างออกเดินทางไปเกือบครึ่งตั้งแต่วันแรกแล้ว

เมอร์ลินก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นเดียวกัน เขามุ่งหนาไปยังวงแหวนเวทย์ขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางของดินแดนมนต์ดํา เนื่องจากนี้เป็นวิธีเดียวที่จะสามารถเดินทางออกจากที่นี่ได้

เขาไม่รู้ว่าจะใช้วงแหวนเวทย์อันไหน เนื่องจากที่นี่ไม่มีวงแหวนเวทย์ที่จะส่งเขาไปยังเมืองปรากาซ วงแหวนเวทย์ที่เทือกเขาเคอร์ดิชที่ส่งเขามาที่ดินแดนมนต์ดํานั้น มันสามารถไปได้อย่างเดียว ไม่สามารถส่งเขากลับไปที่เทือกเขาได้

ดังนั้นเมอร์ลินจึงตัดสินใจเลือกเมืองที่อยู่ใกล้กับเมืองปรากาซมากที่สุด นั่นก็คือเมืองเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่าเดอตัส

….

เงาสองเงาที่ยืนอยู่เงียบ ๆ ท่ามกลางป่าเมเปิ้ลสีแดง หนึ่งในเงานั้นแต่งกายด้วยชุดแปลก ๆ เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดําขนาดใหญ่ ฮู้ดถูกยกขึ้นมาปกคลุมใบหน้าของเขาเกือบทั้งหมด

“นีล หวังว่าคราวนี้คุณจะให้ของดี ๆ ให้ฉันบ้างเพราะคราวนี้นายรีบเรียกให้ฉันมาที่นี่ อย่าให้ฉันต้องกลับไปมือเปล่าแบบคราวที่แล้ว” ชายชุดคลุมดํากล่าวอย่างเฉยเมย

ร่างที่ยืนอยู่ด้านข้างของชายชุดคลุมดํา นั่นคือพ่อมดนีลจากดินแดนมนต์ดํา

พ่อมดนีลกล่าวเยาะเย้ย “เฮ้ วิกซ่าคุณไม่เชื่อใจฉันเหรอ ไม่ใช่ว่าเราก้าวไปสู่นักเวทย์ระดับหนึ่งได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ก็เพราะว่าเราร่วมมือกันในการฆ่าพวกนักเวทย์จํานวนมากในดินแดนมนต์ดํา ฟังฉันนะ ฉันแน่ใจว่าครั้งนี้เราต้องได้รับกําไรมหาศาล”

พ่อมดในชุดคลุมดําเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถามว่า “นีลที่คุณเขียนบอกว่าที่ดินแดนมนต์ดํา มีนักเวทย์หกธาตุในดินแดนมนต์ดํา คุณต้องล้อเล่นฉันแน่ ๆ ”

สีหน้าของพ่อมดนีลบิดเบี้ยว เขาพูดด้วยเสียงต่ํา ๆ ว่า “ฉันเคยโกหกเธอหรือเปล่า หึหึ ถึงเจ้านั่นจะเป็นนักเวทย์หกธาตุแต่เขาเคยเป็นพ่อมดพเนจรมาก่อนแล้วฉันไปสืบมาแล้วว่าเขามาจากเมืองปรากาซ ดังนั้นหลังจากที่เขาเดินทางผ่านวงแหวนเวทย์มาที่นี่ เราก็ฆ่าเขาซะ บางทีเราอาจจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด”

พ่อมดุชุดดําไม่ตอบแต่เขามองไปยังพื้นที่แห่งหนึ่งในป่าเมเปิ้ล

*วิ้ง วิ้ง วิ้ง*

จู่ ๆ อักษรรูนเริ่มส่องสว่างและร่างเงาปรากฏขึ้นมาปาเมเปิ้ล

“เขามาแล้ว” ดวงตาของพ่อมดนีลส่องเป็นประกายทันทีด้วยความกระตือรือร้น

….

*หวู่ม*

เมอร์ลินปรากฏตัวออกมาจากวงแหวนเวทย์ แม้ว่านี่จะเป็นการขนส่งทางไกลเช่นกันแต่เมอร์ลินก็ไม่รู้สึกอึดอัดใด ๆ

“ที่นี่คือป่าเมเปิ้ลนอกเมืองเดอตัสใช่มั้ย?”

เมอร์ลินมองไปรอบ ๆ อย่างอารมณ์ดี เขามองเห็นต้นไม้เมเปิ้ลสีแดงที่ปกคลุมทั่วเนินเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นทิวทัศน์ที่ละลานตาและน่าพึ่งเช่นนี้

“หื้ม?”

ทันใดนั้นเอง เมอร์ลินสังเกตเห็นร่างสองร่างในระยะไกล หนึ่งในนั้นคือพ่อมดนีล

เมอร์ลินยังคงจําคําเตือนที่แม่มดรีลลิสนํามาจากพ่อมดโฮล์มส์มาบอกกับเขาในก่อนหน้านี้ได้ เธอบอกว่าให้เขาระวังพ่อมดนีลให้ดีแต่เขาไม่คาดคิดว่าเขาจะได้พบกับพ่อมดนีลที่นี่

สําหรับนิ้ล เมอร์ลินไม่กลัวเขาเลยแต่ไม่ใช่กับชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นีล เขาสัมผัสถึงอันตรายอย่างบอกไม่ถูก

“ พ่อมดเมอร์ลิน ช่างบังเอิญจริง ๆ คุณเพิ่งจะออกมาจากดินแดนมนต์ดํามาอย่างงั้นเหรอ? ฉันมาเพิ่งมาถึงที่นี่และกําลังจะออกเดินทางไปกับพ่อมดวิกซ่า”

แม้ว่าพ่อมดนีลจะมีท่าทีปกติแต่ท่าทางของดู “ประหลาดใจ” กับ “กระตือรือร้น” อย่างผิดปกติในขณะที่เขากําลังเดินไปหาเมอร์ลินอย่างรวดเร็ว

“โฮ้ คุณนั่นเองพ่อมดนีล ช่างบังเอิญเสียจริง” เมอร์ลินเผยรอยยิ้มออกมา แม้ว่าเขาจะพยายามทําตัวให้สงบ ในขณะที่เขาเองก็เร่งฝีเท้าเข้าไปหาพ่อมดนีลเช่นกัน

ประกายแสงจาง ๆ แวบขึ้นมาในดวงตาของพ่อมดนีล ราวกับเขากําลังถูกเร่งด้วยเวลา เขาก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก

…10เมตร 8เมตร 5เมตร 3เมตร

ใบหน้าของเมอร์ลินยังคงปรากฏรอยยิ้ม เขากําลังนับระยะห่างอย่างเงียบ ๆ และรอจนกระพ่อมดนี้ลอยู่ห่างจากเขา 3เมตร

*พรึ่บ*

เมอร์ลินโบกมือขึ้นไปในอากาศโดยอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว

“หมอกรัตติกาล”

หมอกสีดําได้ล้อมรอบพ่อมดนีลและชายชุดคลุมดําทันที

อันนี้เป็นหมอกรัตติกาลแบบธรรมดา เนื่องจากเขาไม่ได้ร่ายมันก่อนหน้านี้สามครั้ง อย่างไรก็ตามหมอกรัตติกาลแบบธรรมดา มันก็เพียงพอที่จะทําให้พ่อมดนีลตกอยู่ภาพหลอนแล้ว

“ข่ายสายฟ้า!!”

ตาข่ายไฟฟ้าขนาดมหึมาปรากฏบนท้องฟ้าทันที มันได้ปกคลุมพ่อมดนีลและชายชุดคลุมดําอย่างสมบูรณ์

นอกจากข่ายสายฟ้าแล้ว เขายังร่ายลูกไฟหลายสิบลูกปรากฏขึ้นมารอบตัวเขา

“ไป!” เมอร์ลินชี้ไปข้างหน้าและลูกไฟหลายสิบลูกก็พุ่งเข้าไปในหมอกสีดําทันที

*หวุ่ม!*

จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นในอากาศ เมอร์ลินรู้สึกถึงภัยคุกคามที่รุนแรง มันเป็นความผันผวนของพลังธาตุลมจากนั้นก็มีลูกศรพุ่งไปทางเมอร์ลิน

เมอร์ลินจําคาถานี้ได้ทันที มันคือลมประกาบแสงคาถาโจมตีระดับหนึ่งที่ทรงพลัง เมอร์ลินเคยเจอคาถาบทนี้มาก่อนนตอนที่เขาสู้กับพ่อมดโลนในงานชุมนุมนักเวทย์

“ลมพายุ”

“โล่ปฐพี”

เมอร์ลินรีบร่ายคาถาลมพายุกับโล่ปฐพีขึ้นมาพร้อม ๆ กัน จากนั้นก็มีพลังธาตุลมล้อมรอบตัวของเอร์ลินและกําแพงที่แข็งแกร่งป้องกันตัวเขา

ดูเหมือนว่าชายเป็นชายในชุดคลุมดําที่ร่ายคาถาลมประกายแสงออกมา นี่แสดงว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบจากคาถาหมอกรัตติกาลเย

*ตู้ม*

นั่นคือเสียงระเบิดของลูกไฟของเมอร์ลิน เปลวไปแผดเผาไปทั่วเศษใบไม้แห้งของต้นเมเปิ้ลนั้นเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี เปลวเพลิงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับว่ามันจะเผาทําลายป่าเมเบิ้ลทั้งหมด

*ตู้ม*

ลมประแสงยิงตรงมาที่กําแพงด้านน้าเมอร์ลิน ด้วยความแรงของมัน ทําให้กําแพงดินถูกทําลายแทบจะทันที ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าหาเมอร์ลิน โชคดีที่เขาเตรียมตัวมาอย่างดี เขารู้ว่าการจัดการคาถาระดับหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนที่ลมประกายแสงจะมาถึงตัวเขา เขาได้ร่ายโล่ปฐพีซ้อนกัน หลาย ๆ ชั้น จนได้โล่ปฐพีแบบเสริมพลัง เมื่อสมประสายแสงปะทะกับโล่ปฐพีแบบเสริมพลัง มันได้หักเหวี่ยงไปในทิศทางอื่นทันที

หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ร่ายอีกต่อไป เมอร์ลินตั้งท่าอย่างระมัดระวัง เมื่อหมอกรัตติกาลจางหายไปและเปลวเพลิงค่อย ๆ มอดลง ร่างหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมาในนั้น

ร่างนั้นคือชายในชุดคลุมสีดํา ตัวเขาแทบไม่มีบาดแผลบนร่ายกายเลย เห็นได้ชัดว่าหมอกรัตติกาลหรือลูกไฟไม่สามารถทําอะไรเขาได้เลย

แต่ผิดกับพ่อมดนีล ตัวเขาตกอยู่ในภาพลวงตาและถูกสังหารอย่างไร้ปรานีด้วยแรงระเบิดของลูกไฟอย่างต่อเนื่อง สภาพศพเละเทะจนจําแทบไม่ได้

เมอร์ลินชําเลืองมองศพของพ่อมดนีลอย่างสงบ ก่อนที่เขาจะเพ่งมองยังชายที่สวมชุดคลุมสีดํา อีกฝ่ายได้รับการเชิญจากพ่อมดนีลและเขาสามารถร่ายคาถาลมประกายแสงได้ พ่อมดนีลคงจะมั่นใจในตัวชายคนนี้และมีโอกาสสูงที่เขาจะเนนักเวทย์ระดับหนึ่ง

“นีลผู้น่าสงสาร เขาเป็นคนง่เง่าแม้กระทั่งในวาระสุดท้ายก็ตาม” ชายชุดคลุมดําพูดอย่างช้า ๆ ด้วยน้ําเสียงอันสงบ

“แช่แข็ง!!”

“ลมประกายแสง!!!”

ทั้งสองได้สบตาและร่ายคาถาขึ้นพร้อมกัน พลังเวทย์ของธาตุน้ําแข็งและธาตุลมปรากฏขึ้นปกคุมทั่วบริเวณทันที