บทที่ 154 คนจรจัด

“ตายซะ!!”

จู่ ๆ ดาบใหญ่ได้ปรากฏขึ้นมาบนมือของเมอร์ลิน แม้ว่าพลังเวทย์ของเขาจะหมดไปแล้วแต่เขายังมีร่างกายที่แข็งแกร่งเทียบเท่านักดาบธาตุระดับสามขั้นสูงสุด

ด้วยคุณสมบัติทางร่างกายที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เมื่อเขาฟันดาบออกไปด้วยกําลังทั้งหมดที่เขามันทําให้เกิดคมดาบสุญญากาศฟันตรงไปด้านหน้า

ทางด้านพ่อมดวิกซ่าก็คิดแบบเดียวกับเมอร์ลิน เขาได้หยิบหน้าไม้สีดําออกมา เมื่อเขาลั่นไปลูกศรสีดําได้พุ่งหาเมอร์ลินปานสายฟ้า

พ่อมดวิกซ่าเป็นพ่อมดพเนจรดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะมีวิธีเอาตัวรอดมากมาย หน้าไม้อันนี้เป็นไฟลับของเขาเอไว้ใช้เอาตัดรอด ตัวเขาไม่ได้มีทุนทรัพย์มากมายดังนั้นเขาไม่สามารถหาอุปกรณ์เวทมนต์มาใช้ป้องกันตัวได้

เมื่อพ่อมดทั้งสองพลังเวทย์หมด พวกเขาจึงไม่มีพลังเวทย์พอที่จะร่ายคาถาป้องกัน พวกเขาสู้ด้วยพลังกายล้วน ๆ

ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นลูกศรหรือคมดาบ พวกมันทั้งคู่ต่างพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง

*หวู่ม*

คมดาบดาบสุญญากาศเฉือนทะลุร่างเนื้อบาดลึกเข้าไปในร่างกายของพ่อมดวิกซ่า มันได้ส่งเขากระเด็นถอยหลังไปหลายเมตร สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาพยายามฝืนลุกขึ้นมาแต่สุดท้ายเขาก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวและสิ้นใจในที่สุด

ทางด้านเมอร์ลิน ลูกศรสีดํากําลังพุ่งมาทางเขา ตอนนี้เขาไม่มีพลังเวทย์พอที่จะร่ายโล่ปฐพีแล้ว เขาจึงร่ายลมพายุเพื่อไปด้านทาง

แต่ทว่าเขาไม่สามารถหลบลูกศรสีดําได้ทัน มันแทงเข้าไปในน่องของเขา เขาเจ็บปวดอย่างรุนแรงแล้วเขาเริ่มรู้สึกวิงเวียนศีรษะ

“แย่แล้ว!! มันเป็นลูกศรอาบยาพิษ!”

เมอร์ลินไม่คาคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะใช้ยาพิษ ต่อให้เขามีร่างกายที่แข็งแกร่งแค่แต่ถ้าเจอยาพิษ เขาก็มีโอกาสที่จะตายได้

เขานั่งลงและฉีกผ้าที่ขาของเขาออก ตรงที่เขาถูกลูกศรปักเนื้อรอบ ๆ กําลังเน่าเปื่อยด้วยความเร็วสูง

“นี่มันน้ํายากัดกร่อน”

ทันใดนั้นเขาจําแนกยาพิษได้ทันที มันคือน้ํากัดกร่อน หากมันไหลเข้ากระแสเลือด มันจะเข้าไปกินเนื้ออย่างรวดเร็ว พลังในการทําลายเนื้อเยื่อมันน่ากลัวมาก

เมอร์ลินจึงดึงกริซออกมาจากและคว้านไปที่ชิ้นเนื้อที่กําลังกัดกินโดยไม่ลังเล

*ฉัวะ*

หากเป็นคนธรรมดาคงไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดนี้ได้แต่เขามีพลังจิตที่แข็งแกร่งของนักเวทย์ เขาพยายามใช้พลังจิตกดความเจ็บปวดให้ได้มากที่สุด เท่านั้นก็ทําให้สามารถอดทนต่อการผ่าเนื้อได้

เขาต้องทําอยางรวดเร็วและปราศจากความลังเล

ตอนนี้เขาเขาได้เฉือนเนื้อที่ถูกน้ํายากัดกร่อนไปส่วนใหญ่ไปแล้ว ยังมีบางส่วนหลงเหลืออยู่เล็กน้อย

โดยส่วนที่เหลือนนั้นเขาคงกําจัดไม่หมดในเวลาอันสั้น ดังนั้นเมอร์ลินจึงรีบน้ํายาออกมา นั้นคือน้ํายาห้ามเลือดซึ่งมันสามารถหยุดเลือดที่ไหลได้และเขาก็เอาน้ํายาชะเอมออกมาอีกขวด

น้ํายาชะเอม มันสามารถแก้พิษทั่วไปได้ แม้ว่ามันจะไม่สามารถรักษาพิษกัดกร้อนที่หลงเหลือในร่างกายของเขาได้ทั้งหมดแต่อย่างน้อยเขาก็สามารถซื้อเวลาให้เขาเตรียมยาตัวอื่นเพื่อล้างพิษน้ํายากัดกร่อนออกจากร่างกายของเขาอย่างสมบูรณ์

ตอนนี้อาการของเมอร์ลินค่อนข้างทรงตัวแล้ว แต่เขาจะเสียเลือดมากเกินไป มันเกินจะทําให้เขาหมดสติ เขาเหลือบไปมองที่ศพของพ่อมดวิกซ่าและส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

“การต่อสู้ครั้งมันอันตรายจริง ๆ ช่องว่างของนักเวทย์ระดับเริ่มต้นกับระดับหนึ่งมันมากเกินไปและหมอกรัตติกาลยังไม่สามารถใช้งานได้อีก มันเกือบจะทําให้ฉันเอาชีวิตไม่รอด…”

หลังจากที่เขาได้พึมพําเบา ๆ จากนั้นเขาค่อย ๆ นอนลงไปที่พื้นด้วยความเหนื่อยล้า

หลังจากที่เขาได้พักผ่อนไปเล็กน้อย พลังของเขากลับมาบางส่วน ร่างกายของเขายังไม่หายดีดังนั้นเขาจึงคลานไปที่ศพของพ่อมดวิกซ่าและถอดแหวนจากนิ้วของเขา

จากนั้นเขาได้ส่วนตรวจของของในแหวนและพบว่าข้างในมีวัสดุปรุงยามากมาย หินธาตุ แม้แรกคาถาระดับหนึ่งก็ยังมีด้วย

ของข้างในนั้นมีมากกว่าที่พ่อมดพเนจรคนหนึ่งจะมีได้ นี่แสดงให้เห็นว่าเขาได้สังหารนักเวทย์มามากขนาดไหน

“สูตรยา? นี่มันสูตรยาเพิ่มพลังจิต”

เมอร์ลินรู้สึกประหลาดใจ เขาได้พบสูตรยาเพิ่มพลังจิตที่หายากในแหวนของพ่อมดวิกซ่า ถึงไม่แปลกเลยที่เขาจะมีพลังจิตที่แข็งแกร่งขนาดนี้

ดูเหมือนว่าพลังจิตของพ่อมดวิกซ่ากับสูตรยาอันนี้จะมีส่วนที่เกี่ยวข้องกัน

มันเป็นสูตรยาที่มีชื่อ น้ํายาบลูเบอร์รี่ ส่วนผสมหลักของมันคือบลูเบอร์รี่ แม้ว่าบลูเบอร์รี่จะมีราคาสูงแต่เมอร์ลินเคยเห็นพวกมันให้หอสมุด หากเขากลับไปที่ดินแดนมนต์ดําได้เมื่อไหร่ เขาจะกลับไปแลกมันที่หอสมุดทันที

หากเทียบกับน้ํายามนตราอสูรแล้ว วัสดุของน้ํายาบลูเบอร์รี่นั้หาง่ายกว่ามากและภายแหวนของพ่อมดวิกซ่าก็มีบลูเบอร์รี่จํานวนหนึ่งซึ่งสามารถทําน้ํายาได้สองสามขวด

หลังจากค้นศพของพ่อมดวิกซ่าทั่วแล้ว เขาได้เสกลูกไฟออกมาและโยนมันลงไปที่ศพวิกซ่า และนีล เปลงเพลิงอันร้อนแรงได้แผดเผาร่างของพวกเขาอย่างรวดเร็ว

เมอร์ก้มมองไปที่ต้นขาของเขา มันสั่นอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขาไม่มีแรงมากพอที่จะเดินออกจากที่นี่ เขาทําให้เพียงแค่รอจนกว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะหายไปก่อนที่จะออกเดินทาง

ดังนั้นเมอร์ลินจึงนั่งลงพิงต้นไม้ใหญ่และหยิบหินธาตุออกมาและค่อย ๆ เติมพลังเวทย์ลงไปในโครงสร้างเวทมนต์ในจิตใต้สํานึกของเขา

บนถนนกว้าง มีรถม้าพร้อมตู้โดยสารประมาณสิบตู้ได้ค่อย ๆ ปรากฏบนขอบถนนอย่างช้า ๆ มีอัศวินชุดเกราะควบม้าอยู่ข้าง ๆ คอยเฝ้ามองบริรอบอย่างระมัดระวัง

“ดูนั่นสิ ใบเมเปิ้ลมันสวยมาก” เด็กสาวอายุประมาณ 15ปี ได้ร้องออกมาอย่างประทับใจ เธอได้เปิดม่านกั้นออก เธอได้เห็นต้นเมเปิ้ลขนานข้างและทอดยาวทั้งสองข้างทาง

เด็กสาวร่างอรชร ผมของเธอมัดเป็นเปียของข้างไว้ด้านหลัง เธอสวมรองเท้าบู๊ตยาวซึ่งเผยให้เห็นเรียวยาวที่งดงามของเธอ

“ข้าไม่คิดว่าต้นเมเปิ้ลจะเปลี่ยนในตอนนที่เรากลับมาที่เมืองเดอตัส เราจะพักผ่อนที่เมืองนั้น ในคืนนี้และจะเดินทางไปที่เมืองซันแลนด์ให้เร็วที่สุด”

คนที่พูดนั้นเป็นชายวัยกลางคนอายุราว ๆ 40 เขานั่งบนรถม้า เขาพูดพลางเหลือบไปมองป่าเมเปิ้ลสีแดงที่ทอดยาวด้านนอก

“ท่านพ่อ เราออกไปดูใบไม้กันเถอะ”

เมื่อมองไปที่ต้นเมเปิ้ลสีแดงด้านนอก เด็กสาวก็ไม่สามารถระงับความตื่นเต้นได้ เธอได้อ้อนชายวัยชายคน

ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะพูดอะไร หญิงสาวอีกคนในรถได้ปรามทันที “ไม่เอ็มม่า ข้างนอกมันอันตรายเกินไป เราเจอพวกโจรมากี่คนแล้ว เราต้องรีบกลับไปที่เมืองซันแลนด์ให้เร็วที่สุด”

“ท่านแม่ เราอยู่ไม่ไกลจากเมืองเดอตัสมากนัก จะมีพวกโจรได้อย่างไร พวกเราลงไปสักหน่อย แล้วค่อยออกเดินทางต่อ” เด็กสาวเม้มปากเน้น ขณะที่เธอขอร้อง

ชายววัยกลางคนพึมพําเบา ๆ และพยักหน้า “เราจะให้เอ็มม่าลงไปดู ป่าเมเปิ้ลที่งดงามแบบนี้ ไม่ได้หาดูได้ง่าย ๆ แล้วอีกอย่างที่นี่อยู่ไม่ไกลจากเมืองเดอตัสมากนัก พวกโจรไม่กล้าเข้ามาแน่นอน นอกจากนี้มีอัศวินคุ้มครองอยู่ดังนั้นจึงไม่น่ามีอันตรายมาก”

เมื่อเห็นว่าพ่อของเธอเห็นด้วย เด็กสาวดูตื่นมาก เธอรีบกระโดดลงจากรถม้าทันที

ชายวัยกลางคนมองลงไปที่เด็กสาวที่ร่าเริง จากนั้นเขาก็หันมาพูดกับผู้หญิงคนนั้นว่า “ลงไปกันเถอะ อย่างน้อย ๆ ก็ลงไปสูดอากาศบ้าง”

หลังจากนั้นขบวนรถม้าได้หยุดลง ชายวัยกลางคนกับผู้หญิงลงจากรถม้า พวกอัศวินได้ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาทําการเฝ้าระวังอย่างตึงเครียด เมื่อพวกเขาอยู่ใกล้กับเมืองเดอตัส ทําให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น

ต้นเมเปิ้ลสีแดงที่ทอดยาวราวกับท้องทะเลสีแดง ทิวทัศน์เบื้องหน้าทําให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ

หลังจากผ่านไปไม่นาน อยู่ ๆ อัศวินได้เข้ามาและพูดด้วยเสียงต่ําว่า “ท่านชาบิล เราพบคนจรจัดในชายปาเมเปิ้ล”

“คนจรจัด?” ชายคนนั้นมองไปทางอัศวินและเห็นว่าใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ไกลออกไปมีคนจรจัดสวมเสื้อผ้าสกปรก ผมเผ้ายุ่งหยิ่งและสวมฮูดปิดบังใบหน้าไว้

“เมืองเดอตัสอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ทําไมถึงมีคนจรจัดมานอนตรงนี้?” ชายวัยกลางคนได้ตื่นตัว เขารู้สึกว่าไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อไป เขาหันไปหาเด็กสาสและพูดว่า “เอ็มม่า ลูกเห็นมาพอแล้ว รีบไปที่นี่กันเถอะ” เขามองไปที่คนจรจัดคนั้น เขารีบขึ้นไปที่รถม้าและเตรียมตัวเดินทางออกไป

แต่มันใดนั้นเอง ได้มีคนกลุ่มหนึ่งที่ควบม้าเข้ามาอย่างดุร้ายออกมาจากส่วนลึกของปาเมเปิ้ลมันทีที่พวกเขาปรากฏตัว พวกเขาได้ล้อมรอบขบวนรถม้าอย่างรวดเร็ว

“แย่แล้ง พวกโจรมันล้อมพวกเราไว้แล้ว”

สีหน้าของพวกอัศวินเปลี่ยนทันที จากนั้นหัวหน้าอัศวินได้สั่งการให้พวกอัศวินเริ่มต่อสู้ อย่างไรก็ตามพวกโจรดูดร้ายกว่าปกติและมีจํานวนมาก ราว ๆ สามถึงสี่ร้อย พวกอัศวินไม่มีทางรับมือได้ทั้งหมด

อัศวินหลายนายถูกสังหารอย่างรวดเร็ว ชายสามคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าปรากฏตัวออกมา หนึ่งในนั้นยิ้มอย่างเยือกเย็น

“หลังจากออกปล้นมาหลายวันมีแต่ขบวนเล็ก ๆ ไม่คิดว่าจะเจอของดีเอาวันนี้ ฆ่าผู้ชายให้หมดและจับผู้หญิงมาและขนของมาให้หมด” หัวหน้าโจรสั่งการอย่างโหดเหี้ยม จากนั้นพวกโจรก็กรูเข้าไปอย่างตื่นเต้นและสังหารคนธรรมดาที่ไม่มีอาวุธ

เอ็มม่าและหญิงสาวตัวสั้น ขณะซอนตัวอยู่หลังชายวันกลางคน ทางด้านชายวันกลางคนแสดงสีหน้าที่สิ้นหวังออกมา

“หัวหน้ายังมีคนจรจัดนอนอยู่ตรงปาเมเบิ้ลด้วย” จู่ ๆ โจรคนหนึ่งพูดกับหัวหน้าโจร

“คนจรจัดเหรอ? ฆ่ามันซะ เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องเข้ามารายงานฉัน คิดเองไม่เป็นจึงไง!”

หัวหน้ามองไปที่คนจรจัดที่นอนพิงต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปด้วยสายตาที่ไม่พอใจ

จากนั้นพวกโจรสองสามคนได้หันหลังและตรงไปที่ป่าเมเปิ้ล