บทที่ 38 เจ้าสั่งให้เขาทำอะไร
เหยาซูอดทนต่อความเจ็บปวดและกลั้นน้ำตาไว้ นางเดินไปหาเด็กทั้งสองคน ย่อตัวลงและหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดลงบนใบหน้าของอาจื้อ
นางหลีกเลี่ยงแก้มบวมเป่งของลูกชายอย่างระมัดระวังและใช้แรงเบา ๆ เพื่อจะเช็ดเลือดออกจากคางของเขา จากนั้นหันไปเช็ดน้ำตาของเด็กตัวเล็ก ๆ ด้วยแขนเสื้อของนาง
อาจื้อเดิมทีมีใบหน้าดื้อรั้น แต่ตอนนี้ร่างทั้งเต็มไปด้วยบาดแผล เบ้าตาแดงก่ำ เหยาซูไม่ได้หันกลับไป ทว่าพูดกับเหยาเฟิงว่า “พี่ใหญ่ส่งเจ้าอ้วนนี้กลับไปเถอะ ยังมีต้าหลางกับเอ้อหลางอีก ที่นี่มีเพียงข้าก็เพียงพอแล้ว”
เหยาเฟิงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้สึกไม่สบายใจ แต่สุดท้ายเขาพยักหน้าแล้วแบกเด็กอ้วนที่เดินไม่ไหวและพาเด็กทั้งสองคนจากไป
สถานที่ที่เด็กพวกนี้ทะเลาะกันคือหุบเขา ในหุบเขาฤดูหนาวไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิต มีเพียงเสียงลมที่ดังอย่างต่อเนื่อง ดวงอาทิตย์เริ่มอบอุ่นและสาดส่องลงมายังลานข้าวที่ว่างเปล่า เป็นบรรยากาศที่หดหู่นัก
“ท่านแม่…”
น้ำเสียงของอาจื้อแหบแห้งน้ำเสียงแฝงไปด้วยความสำนึกผิด เขายืนอยู่ที่เดิมมองไปที่เหยาซู
หญิงสาวไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา นางซุกหน้าลงบนไหล่ของหลินจื้อและกอดเด็กทั้งสองไว้แน่น
สายลมหนาวเย็นสะท้าน อาจื้อรู้สึกถึงความชุ่มชื้นร้อน ๆ บนไหล่ของตนก็รู้สึกตื่นตระหนก “ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรขอรับ?”
เหยาซูกอดลูกทั้งสองเอาไว้ กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ก็ไม่พูดอะไรออกมา เจ้าเด็กอ้วนนั่นดูแล้วอายุพอ ๆ กับอาจื้อ ความจริงแล้วอายุยังน้อยกว่าแต่กลับพูดคำพูดที่ร้ายกาจออกมาได้
วันนี้นางได้รู้ได้เห็น หากในวันอื่น ๆ ที่นางไม่ได้เห็น อาจื้อและอาซืออาจเคยได้ยินเรื่องซุบซิบนินทาเช่นนี้มาบ้างไม่มากก็น้อย กี่ครั้งแล้วที่เด็กน้อยเหล่านี้ได้รับความคับข้องใจ นางไม่เคยสังเกตเห็นมันเลยหรือ?
“ท่านแม่… ท่านไม่ต้องเป็นห่วง…”
อาจื้อตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาไม่เคยเห็นมารดาอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน เหยาซูที่อยู่ในใจของเขาอ่อนโยนและทรงพลังเสมอ จนกระทั่งวันนี้เขาถึงได้เข้าใจว่าท่านแม่เองก็มีช่วงเวลาที่เปราะบางเช่นกัน
เมื่อท่านพ่อไม่อยู่แล้ว คนที่เป็นแม่และน้องสาวสามารถพึ่งพาได้เพียงแค่เขาเท่านั้น
เขาต้องแข็งแกร่งขึ้นไปอีก!
ราวกับเป็นคำปลอบใจ อาจื้อเลียนแบบน้ำเสียงของผู้ใหญ่แล้วพูดว่า “ข้าโตแล้ว ข้าสามารถปกป้องท่านแม่และน้องสาวได้ หากยังมีใครกล้าพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับพวกท่านอีก ข้าจะทุบตีมันจนอ้าปากไม่ได้เหมือนวันนี้!”
เมื่อเหยาซูได้ยินเช่นนั้น นางจึงเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาดอกท้อของนางมองลูกทั้งสองด้วยสายตาพร่าเลือน เมื่อถูกน้ำตาคลอเบ้าทำให้ดูกระจ่างใสเป็นพิเศษ
เหยาซูมองไปที่ลูกทั้งสองแล้วพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ต้าเป่าและเอ้อเป่าเป็นสมบัติของแม่ ต้องเป็นหน้าที่แม่ที่ปกป้องพวกเจ้า”
ทว่าสีหน้าของอาจื้อกลับเด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้น “ท่านพ่อไม่อยู่แล้ว ข้าเป็นผู้ชายในครอบครัว ท่านแม่ได้โปรดวางใจ วันหน้าข้าจะแข็งแกร่งขึ้นไม่ให้ท่านกับน้องสาวต้องถูกรังแกอีก”
เหยาซูเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขามีรอยเขียวคล้ำ แม้ร่างกายจะผอมบางเหมือนเด็กคนอื่น ๆ แต่แววตากลับมั่นคงและเปี่ยมไปด้วยพลัง นางรู้สึกตื้นตันใจยิ่งนักพยักหน้าและกล่าวว่า “เด็กดี แม่เชื่อมั่นในตัวเจ้า”
แต่เหยาซูไม่ใช่คนเปราะบาง นางจับมือเด็กทั้งสองคนและพูดเสียงเบาว่า “ตอนนี้พวกเจ้ายังเล็ก ให้แม่เป็นคนปกป้องพวกเจ้าก่อนดีหรือไม่”
เด็กทั้งสองคนไม่ตอบ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน แม่เฒ่าเหยาเห็นบาดแผลบนใบหน้าของอาจื้อก็ปวดใจจนตัวสั่น
“นี่ไม่ใช่การทะเลาะกันแบบเด็ก ๆ อีกแล้ว! อาจวน เข้าไปในครัวเอาน้ำร้อนมาให้ข้า อาเว่ย ไปเอาเหล้าผสมยาที่อาเจ้าให้มาหนึ่งขวด”
ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนได้กลับมาถึงบ้านก่อน เปลี่ยนเสื้อผ้าจนสะอาดสะอ้านยังคงยืนอยู่ในโถงด้านหน้ามือเท้าทำอะไรไม่ถูก
เหยาเฉายังไม่เข้าใจเรื่องความขัดแย้งของเด็ก ๆ จึงเรียกลูกชายของเขา “ยืนโง่ทำไม ไม่เห็นน้องชายและน้องสาวที่เนื้อตัวบาดเจ็บและสกปรกงั้นหรือ? ไปเอาผ้าเช็ดหน้ามา!”
หญิงชราถลึงตาใส่ลูกชายคนรองของนาง “ไม่เห็นหรือไงว่าเอ้อหลางก็มีบาดแผลเช่นกัน เจ้าไปว่าลูกทำไม?”
เหยาเฟิงดึงเหยาเฉาที่ตั้งใจจะไปเอาผ้าชุบน้ำมา กดให้เขานั่งลงกับเก้าอี้แล้วพูดด้วยอาการปวดหัวว่า “นั่งเฉย ๆ ไป พี่สะใภ้ของเจ้ากำลังไปเอามาแล้ว”
เหยาซูพาลูกทั้งสองเข้าไปในห้อง นางปล่อยมืออาจื้อ ย่อตัวลงมองตาเขา “ต้าเป่า ควรขอโทษญาติผู้พี่ทั้งสองคนกับท่านลุงของเจ้าดีหรือไม่”
อาจื้อก้มหน้าลงด้วยใบหน้าแดงก่ำและไม่พูดไม่จา
…………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
โดนเยาะเย้ยตั้งแต่ยังเล็กแบบนี้ก็ไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมในนิยายต้นฉบับน้อง ๆ ถึงได้กลายเป็นตัวร้าย เด็กก็คือผืนผ้าใบที่ผู้ใหญ่วาดนะคะ
ไหหม่า(海馬)