บทที่ 39 น่าขายหน้า

เหยาซูมีสีหน้าอ่อนโยนแต่ท่าทีกลับเด็ดเดี่ยว “ญาติผู้พี่ทั้งสองคนไม่ได้ทำอะไรผิด เจ้าโกรธคนผิดแล้ว อีกอย่างพวกเขาเป็นคนที่เราสนิทที่สุด ท่านลุงที่กอดเจ้าเอาไว้ก็หวังดีเช่นกันใช่ไหม? สิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดและสิ่งที่เจ้าทำ ทำให้พวกเขารู้สึกโศกเศร้า ไม่ควรขอโทษหรอกหรือ?”

ญาติผู้พี่ทั้งสองคนรู้ว่าอาจื้อนั้นมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง เห็นท่าทางไม่สบายใจของญาติผู้น้องก็รีบช่วยพูดทันที “ท่านอา พวกเราไม่ได้เป็นอะไรมาก! เมื่อครู่พวกเราอ่อนแอเองที่ไม่สามารถหยุดคนพวกนั้นได้ ทำให้พวกเขาทุบตีน้องชาย…”

อาจื้อเดินไปข้างหน้าราวกับตัดสินใจบางอย่าง และกล่าวอย่างจริงใจว่า “พี่ใหญ่ พี่รอง เมื่อครู่ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรพูดเช่นนั้น ข้ารู้ว่าพวกท่านทุกคนมีเจตนาดีต่อข้า แต่เมื่อครู่ข้าอยู่ในอารมณ์โกรธ ข้าขอโทษ”

ครานี้กลับเป็นญาติผู้พี่ของเขาทั้งสองที่รู้สึกไม่สบายใจแทน

เหยาซูเตือนเขาอีกครั้งว่า “แล้วท่านลุงล่ะ?”

ในเมื่อเปิดปากเป็นตามอย่างที่คิด ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปที่จะเอ่ยคำขอโทษ

อาจื้อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเหยาเฟิง “ท่านลุง ข้าผิดไปแล้ว ข้าหวังว่าท่านจะยกโทษให้ข้า”

ตระกูลเหยามีแต่คนใจร้อน แต่ไม่เคยเห็นใครที่ทำอะไรผิดมาแล้วก้มหัวยอมรับมาก่อน

แม้แต่ญาติผู้พี่ทั้งสองคนของอาจื้อ แม้ทำผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง ถูกสั่งสอนมาก็หลายครั้งเช่นกัน แต่พวกเขาก็ยังคงดื้อดึงและยากที่จะยอมรับความผิด

ยิ่งไปกว่านั้นอาจื้อมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงมาก ท่าทางขอโทษอย่างจริงใจเช่นนี้ เพราะคิดว่าตนเองทำไม่ถูกจริง ๆ

เหยาเฟิงยิ่งมองยิ่งชอบหลานชายตัวน้อยคนนี้ เขาลูบหัวแล้วพูดว่า

“ลุงไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน พวกเราจะไปสนเรื่องเล็กน้อยนี้ได้อย่างไร”

เหยาเฉาเห็นดังนั้นก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “ลุงใหญ่ของเจ้าเก่งที่สุด วันหลังให้เขาสอนเจ้าดีหรือไม่ วันหน้าเวลาทะเลาะกับใครอีก จะได้ไม่ถูกรังแก!”

เหยาเฟิงพยักหน้า

ต้าหลางได้ยินดังนั้น เขาจึงรบเร้าพ่อของเขาเป็นเวลานาน แต่เหยาเฟิงไม่ยอมที่จะสอนเขา “ท่านพ่อ ข้าเองก็ต้องเรียนรู้เช่นกัน”

เอ้อหลางรีบเอ่ยขึ้น “ยังมีข้าด้วย อย่าลืมข้า!”

เหยาเฉาจับลูกตัวเองด้วยมือข้างเดียวแล้วพูดวาจาที่ทำร้ายจิตใจว่า “ยังต้องการเรียนวิชาหมัด วิชาเท้าอีกหรือ! ปกติก็ชอบก่อเรื่องอยู่แล้ว ข้าแทบอยากจะเอาโซ่มาจับพวกเจ้าทั้งสองคนไว้…”

เด็กทั้งสองคนพยายามดิ้นรน แต่ถูกเหยาเฉาจับหลังคอเสื้อไว้แน่นจนดิ้นไม่หลุด

อาจื้อหัวเราะ ในใจรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เสื้อผ้าชุดใหม่ที่ท่านแม่ทำให้มันฉีกขาดและสกปรกหมดแล้ว!

หลังจากนั้นพี่สะใภ้ทั้งสองก็เดินกลับมาพร้อมน้ำร้อนและยา แม่เฒ่าเหยาวางอาซือลง และสั่งเด็กน้อยให้กะเทาะถั่วลิสงเล่นไปกับท่านตา ก่อนสั่งให้เหยาซูไปหยิบเสื้อผ้าใหม่ให้ลูก

พี่สะใภ้ทั้งสองช่วยแม่เฒ่าเหยาทายาให้กับอาจื้อ…

เหยาเฉาเดินตามเหยาซูออกจากห้อง

ดวงอาทิตย์ใกล้จะขึ้นถึงจุดสูงสุดแล้ว ตระกูลเหยาได้เตรียมอาหารเอาไว้ แต่วันนี้เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ทุกคนไม่มีอารมณ์ที่จะเข้าไปยังห้องครัว

หากเด็กทะเลาะกันปกติคงไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องให้คิด แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นกับอาจื้อและอาซือ หลายเดือนที่ผ่านมาเหยาเฉารู้ว่าหลานชายและหลานสาวของเขาเป็นเด็กเชื่อฟัง และรู้ความมากที่สุด จะไม่ขัดแย้งกับใครง่าย ๆ ต่อมากลับได้ยินลูกกับหลานเล่าถึงสาเหตุและผลของเรื่องนี้ ก็เข้าใจได้ว่าเด็กทั้งสองคนได้รับความไม่เป็นธรรม

“เหยาซู เจ้าคิดอย่างไร?”

ทันทีที่เหยาซูออกจากเรือน นางก็เห็นพี่ชายคนรองของนางเดินตามมาติด ๆ เขาลดเสียงลงและพูดด้วยอารมณ์ซับซ้อน แต่เขาก็พยายามพูดด้วยน้ำเสียงชวนตลก

“พี่รอง ท่านกำลังทำอะไร?”

เหยาเฉากระแอมไอเบา ๆ ก่อนที่จะเดินเข้าไปยังห้องตะวันออกกับเหยาซู เอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ “ข้าแค่กลัวว่าจะมีใครได้ยินเข้า”

เหยาซูส่ายหน้าถอนหายใจ “พี่สะใภ้รองพูดให้ฟังทุกวัน ครั้งแรกที่เจอกับท่าน วันนั้นท่านราวกับเทพบุตรลงมาช่วยชีวิต ข้ารู้สึกว่าไม่มีบุรุษคนใดในโลกที่สง่าผ่าเผยแบบพี่รองอีกแล้ว แต่พออยู่ด้วยกันถึงรู้ว่าคนเราไม่อาจดูแค่ภายนอกได้…”

มุมปากของเหยาเฉายกขึ้น “หากเห็นขนมแล้วไม่ลองชิมจะรู้ได้อย่างไรว่ามันไส้อะไร?”

ริมฝีปากของเหยาซูก็ยกขึ้นเช่นกัน สองพี่น้องทำท่าทางราวกับเป็นคู่หูหนึ่งเดียวกัน

“เหยาซู ต้าเป่าและเอ้อเป่าของเราถูกรังแกเช่นนี้ จะให้ข้าไปทวงคืนความยุติธรรมของพวกเขาหรือไม่”

เหยาซูหยิบเสื้อผ้าที่สะอาดออกมาจากตู้และยิ้มให้กับเหยาเฉา “พี่ใหญ่และพี่รองรักหลาน เด็กทั้งสองคนรู้ดี แต่เรื่องในวันนี้ข้าที่เป็นแม่ควรจะแก้ไขเรื่องนี้เอง”

เหยาเฉาหัวเราะร่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าน้องสาวของข้าคนนี้เหมือนข้า อยากทำอะไรก็ทำทุกอย่าง ทว่าความคับข้องใจปล่อยให้ผ่านไปไม่ได้! หากเป็นท่านพ่อกับท่านแม่พูดคงจะบอกว่าเป็นแค่การทะเลาะของเด็ก ๆ อย่าได้ถือสาพวกเขาเลย”

เหยาซูถือผ้านุ่มไว้ในมือแต่หัวใจของนางกับแข็งกระด้างขึ้น นางขมวดคิ้วและกล่าวด้วยความรังเกียจว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้น? ยามเป็นเด็กเราควรสอนสั่งพวกเขาให้รู้แต่สิ่งที่ดี เด็กก็เหมือนผ้าขาว แต่ทำไมเด็กคนนั้นถึงช่างพูดจาออกมาได้ชั่วร้ายเพียงนี้”

นั่งคิดไปคิดมาก็พูดหยอกล้อว่า “พี่รองท่านคิดจะไปหาเด็กอ้วนที่ก่อเรื่องเมื่อครู่ใช่หรือไม่? แต่ว่าถูกห้ามไว้เสียก่อน?”

เหยาเฉากระแอมเบา ๆ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

ในตอนที่เหยาเฟิงพาต้าหลางและเอ้อหลางกลับมาบ้าน หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเด็กทั้งสองคน ใบหน้าของเหยาเฉาดำคล้ำขึ้นทันที เขาพับแขนเสื้อเตรียมจะออกไปหาครอบครัวของเจ้าอ้วนนั่น

แต่พี่สะใภ้ใหญ่ก็รั้งเขาเอาไว้ “เจ้าโตเป็นชายฉกรรจ์แถมยังเป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีเกียรติของจวนผู้ตรวจการ แต่เจ้าจะไปรังแกเด็กอายุแปดเก้าขวบ จะไม่ขายหน้าเกินไปหรือ?”

……………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พี่รองไม่ควรไปหาเรื่องเด็กนะคะ ควรไปหาเรื่องผู้ใหญ่ที่เป็นคนเสี้ยมเจ้าเด็กอ้วนนั่น

ไหหม่า(海馬)