ตอนที่ 121 แม่สาวน้อยผู้ใจดีมีเมตตา ตอนที่ 122 ถูกเหยียบย่ำ

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 121 แม่สาวน้อยผู้ใจดีมีเมตตา

แน่นอนว่าหลี่ซานก็ไม่มีทางยอมถูกเล่นงานโดยง่าย

“นางชั่วช้าหน้าไม่อาย เจ้ากล้าต่อยผู้ชายหรือ? ข้าจะฉีกเจ้าเป็นเสี่ยงๆ!” หลี่ซานวางมาดข่มขู่ และไม่ลืมส่งเสียงคำรามอีกด้วยเล็กน้อย

น่าเสียดาย หลังกำปั้นของซ่งอิงตะบันเข้ามา คำพูดที่วางมาดบาตรใหญ่นั้นก็พลันหายไปในชั่วพริบตา หลงเหลือเพียงความรู้สึกปวดร้าวกระดูกทั่วทั้งเรือนร่าง ครั้นหนังตาร้อนผ่าว หยาดน้ำตาก็ไหลรินลงมาอย่างอดไม่ได้

ที่บุตรชายเขาเอาแต่พูดก่อนหน้านี้ว่าซ่งอิงทุบตีเขา หรือว่าจะเป็นความจริง!

ทำไมนางเด็กสาวสารเลวผู้นี้จึงมีพละกำลังมหาศาลเพียงนี้?!

แรกเริ่มหลี่ซานยังยกมือขึ้นต่อสู้เอาคืนอยู่เล็กน้อย แต่ไม่ทันไร ก็กุมศีรษะคุกเข่าอยู่บนพื้นเสียแล้ว และเมื่อผ่านไปอีกครู่หนึ่ง คนทั้งคนถึงกับสลบไป

“ทักษะการชกต่อยห่วยแตกขนาดนี้ยังริอาจออกมาเป็นขโมยอีก เหอะ!” ซ่งอิงเตะเข้าไปหนึ่งทีอย่างดูถูก

แต่คนผู้นี้หมดสติไปแล้ว…ควรจัดการอย่างไร

เรียกคนมา หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ทางการ? จะทำเช่นนั้นมิได้โดยเด็ดขาด ในบ้านนางไม่มีบุรุษแม้แต่คนเดียว มีเพียงภูตโสมคนหนึ่งซึ่งเป็นเด็กน้อยตัวกระจ้อย ขืนไอ้สารเลวผู้นี้กลับคำ เอ่ยพูดว่านางล่อลวงเขามา ต่อให้ไม่มีคนเชื่อ ฟังดูก็น่าสะอิดสะเอียดเช่นกัน

จะฆ่าให้ตายไปเสียเลย?

ซ่งอิงคิดคำนวณในสมองถึงความเสี่ยงของการฆ่าคน ท้ายที่สุดคิดว่า…ไม่มีความจำเป็นต้องทำให้ชีวิตอันงดงามของตนเองแปดเปื้อนเพื่อสวะคนหนึ่ง โดยเฉพาะได้ยินว่าขุนนางในแถบเมืองยงแห่งนี้ตงฉินอย่างยิ่ง คดีความทั่วไปก็ไม่เท่าไร แต่หากเกี่ยวข้องกับคดีความที่ถึงแก่ชีวิต จะต้องเข้มงวดเสียยิ่งกว่าเข้มงวดแน่นอน นางกับตระกูลหลี่มีความแค้นต่อกันอยู่เป็นทุนเดิม เมื่อเกิดเรื่องกับหลี่ซาน คงหลีกเลี่ยงได้ยากที่จะเคลือบแคลงในตัวนาง

อีกทั้งตอนที่หลี่ซานออกจากบ้านมา ก็ไม่แน่เช่นกันว่าหลิวซื่อจะไม่รู้

ดังนั้นคนผู้นี้…จะฆ่าให้ตายไม่ได้

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซ่งอิงคิดว่าตนเองดูใจร้ายไปหน่อย ชีวิตก่อนหน้านี้ของนางก็เป็นแค่นักวิจัยธรรมดาๆ และไม่เคยฆ่าคนมาก่อน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในขณะนี้ จะพินิจพิจารณาไปถึงความเป็นไปได้ในการลงมือสังหารคน!

ทั้งที่นางเป็นสาวน้อยชาวนาที่จิตใจบริสุทธิ์ดีงามคนหนึ่งนี่?!

ซ่งอิงทอดถอนใจ มองดูสีสันท้องนภาด้านนอก

ยามนี้ก็เพิ่งเป็นเวลาเที่ยงคืน กลางดึกดื่นบริเวณโดยรอบไร้ผู้คน ท่ามกลางชนบทเต็มไปด้วยความมืดมิด มีเพียงแสงสว่างของจันทราที่ช่วยให้มองเห็นไกลสุดสามฝีก้าว ความมืดมิดยามราตรีและสายลมพาดผ่าน เป็นช่วงเวลาดีสำหรับการกระทำเรื่องชั่วช้า ก็ไม่แปลกที่หลี่ซานจะเลือกลงมือในเวลาเช่นนี้

ซ่งอิงลากคนออกไปจากลานบ้าน

ค่อยๆ ย่างก้าวเดิมมุ่งไปบนขุนเขา

ภูเขาลูกนี้มีหลุมกับดักซ่อนอยู่ ซึ่งทั้งหมดทำสัญลักษณ์เอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านพลั้งพลาดตกลงไป แน่นอนว่าบรรดาชาวชนบทต่างก็มีระเบียบปฏิบัติที่ว่า หลุมกับดักของคนอื่นจะทำการขยับเขยื้อนสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ มิเช่นนั้นจะถูกสหายทุกคนดูหมิ่น ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องสร้างความขัดแย้งเพื่อผลประโยชน์อันน้อยนิด พานให้ต่างฝ่ายต่างไม่พึงพอใจกัน

เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น ซ่งอิงจึงไม่แตะต้องหลุมกับดักที่ตีนเขา

พรานล่าสัตว์ของหมู่บ้านซิ่งฮวาพวกเขาแม้มีไม่น้อย แต่ล้วนไม่ค่อยเชี่ยวชาญ ดังนั้นจะไม่เข้าไปในบริเวณที่ลึกเกินไป พื้นที่ที่เข้าไปด้านในลึกยิ่งขึ้น ว่ากันว่ามีเพียงสามีในนามผู้นั้นของนางและพ่อสามีที่เคยเข้าไป

ซ่งอิงเดินไปเดินมา ท้ายที่สุดหาหลุมกับดักเก่าๆ ได้จุดหนึ่ง ไม่พูดพร่ำทำเพลง โยนคนเขาลงไป

จะดวงแข็งปีนป่ายเอาชีวิตรอดขึ้นมาได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาชีวิตของเขาแล้ว

โชคไม่ดี ก็ตายอยู่ด้านใน ซึ่งนั่นก็เป็นตัวเขาเองที่ไม่ดูตาม้าตาเรือเลือกปีนขึ้นเขามากลางดึก หากโชคดี…

ถูกช่วยชีวิตรอดก็ไม่เป็นไร เพราะใครจะกล้าเชื่อว่า นาง ซ่งอิง หญิงสาวผู้บอบบางคนหนึ่ง จะลากบุรุษตัวใหญ่คนหนึ่งเอามาโยนทิ้งในหลุมกับดักที่อยู่บริเวณป่าลึกบนเขาได้กลางดึกกลางดื่นเช่นนี้?

หลังซ่งอิงโยนลงไป ส่งผลให้หลี่ซานรู้สึกเจ็บปวดจนได้สติขึ้นมา

“แหกปากไปเถอะ ต่อให้ท่านตะโกนจนกล่องเสียงแตกก็ไม่มีคนมาช่วยท่านเช่นกัน” ซ่งอิงฉีกยิ้ม มองลงไปรู้สึกเวทนาเล็กน้อย

หลี่ซานรู้สึกหวาดกลัวตัวสั่นเทา “เจ้า…เจ้ารีบช่วยข้าออกไปเดี๋ยวนี้! ข้าเป็นบิดาของหลี่จิ้นเป่า! ไยเจ้าจึงกล้าปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงนี้ ข้าเป็นคนที่เกือบจะได้เป็นพ่อสามีเจ้าอยู่แล้วนะ!”

ซ่งอิงกลอกตามองบนใส่หลี่ซาน

ฮ่าๆ

หลี่จิ้นเป่าเป็นหนุ่มเนื้อหอมหรือไร? คิดว่านางพิศวาสนักหรือ

ซ่งอิงคร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับหลี่ซาน เดินมุ่งหน้ากลับไปตามทางเดิม

เสียงของหลี่ซานที่อยู่ด้านหลังค่อยๆ เบาลงด้วยเช่นกัน

เพียงแต่หลังเดินไปไประยะหนึ่ง ซ่งอิงได้ยินเสียงบางอย่าง

สัตว์ป่า?

เป็นไปไม่ได้กระมัง? จะดวงดีขนาดนี้เชียวหรือ มีอาหารป่าส่งมาให้ถึงที่เลยหรือ?!

นางในตอนนี้พละกำลังมหาศาล ตราบใดที่เป็นเพียงหมูป่ากลุ่มหนึ่ง นางคิดว่า…จัดการได้สบายๆ!

ตอนที่ 122 ถูกเหยียบย่ำ

ความมั่นใจในตัวเองที่พลุ่งพล่านขึ้นมาฉับพลันขับไล่ความรู้สึกหวาดกลัวขนลุกขนชันนั้นออกไปจนหมดสิ้น ดวงตาคู่หนึ่งคอยกวาดมองทั่วสารทิศ

ไม่รู้ว่าสาเหตุเพราะกินผลไม้จากช่องว่างระหว่างมิตินั่นเข้าไปหรือไม่ ท่ามกลางความมืดสลัวเช่นนี้ นางกลับมองระยะไกลอย่างสิบยี่สิบเมตรได้อย่างชัดแจ๋ว

บริเวณสี่ด้าน เงียบสงัด

มีก็แต่เงาดำห้าหกตัวที่ยืนอยู่ตรงนั้น มองไปชวนสะพรึงเล็กน้อย!

คงไม่ใช่ผีหรอกกระมัง?

ขนาดภูตยังมีเลย หากจะมีผีอีกด้วยก็ไม่น่าประหลาดนี่?!

ซ่งอิงชักรู้สึกลนลานวิตกกังวล นางไม่ค่อยชอบสิ่งที่ลอยไปลอยมาประเภทนี้…โดยเฉพาะยังอยู่ในสภาพแวดล้อยเช่นนี้อีกด้วย

ทว่าสัมผัสได้ถึงลักษณะที่ว่า ‘ผี’ เหล่านี้พร้อมใจกันเพ่งเล็งมา ซ่งอิงคิดว่าความเป็นไปได้ที่จะเป็นผีไม่ค่อยมากนัก พวกเขาล้วนลอยไม่ได้ แล้วจะเป็นผีได้อย่างไรล่ะ!

หัวขโมย!

นาทีนี้ ในสมองซ่งอิงพลันปรากฏคำนี้แวบเข้ามา

ความคิดนี้เพิ่งบังเกิด ก็เห็นหนึ่งคนในนั้นโบกไม้โบกมือ ในวินาทีถัดมา คิดไม่ถึงว่าบริเวณรอบๆ จะทยอยออกมากันอีกนับไม่ถ้วน เต็มไปด้วยความมืดมิด เสียงดังกรอบแกรบทิ่มแทงแก้วหู ลองนับจำนวนดูคราวๆ อย่างน้อยก็สามสิบสี่สิบ?

คนของหัวขโมย…มีตั้งมากมายขนาดนี้เชียวหรือ!

ซ่งอิงกังวลใจเล็กน้อย

นางมีพละกำลังอันทรงพลัง…ถุย นางเพียงแค่พละกำลังมากหน่อยเท่านั้นเอง การต่อกรพ่อลูกจากตระกูลหลี่ไม่เป็นปัญหา แต่กรณีหัวขโมยเหล่านี้ พวกเขาจะต้องโหดเหี้ยมทารุณเกินเทียบชั้นไม่ได้อย่างแน่นอน ไม่แน่ว่ายังมีวรยุทธ์การต่อสู้อีกด้วย ลำพังนางที่มีทักษะการต่อสู้งูๆ ปลาๆ เกรงว่าจะเป็นการรนหาที่ตายเสียมากกว่า

จะทำอย่างไรดี?!

สัมผัสได้ถึงฝีก้าวของพวกเขาเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ซ่งอิงพลันฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ในสมอง

วันนี้มืดสลัว

ห่างออกไปสามถึงห้าฝีก้าว ยากเกินกว่าจะมองเห็นเงาคน หากไม่ใช่เพราะนางกินผลไม้ทรงพลังนั่นเข้าไป ก็คงมองไม่เห็นคนเหล่านั้นเช่นกัน

คนเหล่านี้ถือคบเพลิง ที่มองเห็นนาง เกรงว่าจะเป็นเพียงเงาทึบเลือนรางภายใต้แสงจันทร์ที่เห็นเพียงน้อยนิดเท่านั้น นอกจากนี้ตอนที่นางเพิ่งก้าวเดินเมื่อครู่ก็ไม่ได้ระมัดระวังกลบเสียงเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงทำให้พวกเขาจับทิศทางได้

หากพวกเขามีความมั่นใจ ยามนี้ก็คงไม่มองสำรวจดูอยู่ที่เดิมไม่เคลื่อนไหว

ดังนั้น คนเหล่านี้ไม่ถือว่ามองเห็นนางเลยด้วยซ้ำ!

นางรวดเร็วว่องไวและสายตาดี วิ่งหนีไปได้อย่างว่องไว แต่หากคนเหล่านี้คิดว่านางน่าสงสัย หรือไล่ตามไม่เลิก แล้วอาศัยจังหวะกลางดึกอันเงียบสงัดไร้ผู้คนเข้าโจมตีหมู่บ้านซิ่งฮวาจะทำอย่างไร?

ดังนั้นไม่เพียงแต่ลงเขาไม่ได้ แต่ยังต้องยื้อเวลากระทั่งฟ้าสว่างอีกด้วย หลังฟ้าสว่างแล้ว ชาวบ้านตื่นนอนกันแล้ว ในเมื่อเป็นโจร ก็จะไม่ลงเขาไปก่อเรื่องราวโดยง่ายได้ ถึงเวลานางค่อยคิดวิธีลงเขาไปแจ้งเจ้าหน้าที่ขุนนางจึงจะได้เรื่อง

แต่ปัญหาคือ นางจะยื้อเวลาถึงฟ้าส่างได้หรือไม่

ซ่งอิงเลียริมฝีปาก ถูมือ จะต้องทำได้ให้!

นางเป็นพระแม่มารี

ได้ช่วยชีวิตชาวบ้านจะเป็นหรือตายก็ไม่เสียดาย!

ไฉนนางจึงเป็นวีรสตรีถึงเพียงนี้นะ?

หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซ่งอิงปล่อยเรือนผมสยาย จากนั้น รีบย่อเข่าลงบนพื้น นำชุดตัวในสีขาวออกมาสวมทับเป็นตัวนอก จากนั้นลุกขึ้น ดูเป็นที่ดึงดูดสายตาขึ้นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด

เงาเรือนร่างชุดขาวและเรือนผมยาวสยายปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดสลัว…

เห็นได้ชัดว่าคนที่นำหน้าตกตะลึงทันที

จากนั้น ซ่งอิงเคลื่อนตัว

นางรวดเร็วมาก เพียงสองช่วงลมหายใจ แวบผ่านไป คิดไม่ถึงว่าจะมาหยุดอยู่ตรงข้างต้นไม้ใหญ่อีกด้านหนึ่ง

แน่นอน ซ่งอิงไม่ลืมแสดงอย่างสมบทบาทอีกด้วย ยามที่เคลื่อนไหว ท่าทีแข็งทื่อเล็กน้อย เท้าเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วขณะเดียวกันลำตัวยืดตรงดิ่ง ก็เหมือนร่างศพแข็งทื่อที่เคลื่อนที่ได้ มองดูแล้วชวนให้คนรู้สึกขนลุกขนชัน

“ฮ่า ฮ่าๆๆ…หลาย คน ดี จริง…มาสิ~ มาจับข้าสิ~” เมื่อซ่งอิงพูดจบ เปล่งเสียงตะโกนขึ้นมา

“มาสิ~ ตามข้ามาสิ…” พูดจบ ก็เปลี่ยนไปยังต้นไม้ใหญ่อีกต้น

ลักษณะในการเคลื่อนไหว ทำได้สมบูรณ์แบบเสียยิ่งอะไรดี

“พี่ พี่ใหญ่…ผี…”

“พี่ใหญ่…”

คนกลุ่มนั้นตื่นตูมเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด

ซ่งอิงอดเลื่อมใส่ในความฉกาจของตนเองไม่ได้

ชีวิตก่อนของนางเป็นคนที่สงบเยือกเย็นระดับไหนน่ะหรือ? ก็ต่อให้ชะตาชีวิตลำบากตั้งแต่เด็ก โชคก็ไม่ค่อยดีนัก แต่กลับมั่นคงแน่วแน่มาแต่ไหนแต่ไร เข้าเรียนตั้งหลายปีเพียงนั้น ในสายตาคนอื่นกลับเป็นผู้ที่อยู่ไกลเกินเอื้อม เป็นนักเรียนดีเด่นผู้มากพรสวรรค์ในสายตาผู้อื่น ใบหน้ากับศักดิ์ศรีอันมีเกียรติมาพร้อมกันเสมอ

แล้วบัดนี้ล่ะ?

ถูกนางเหยียบย่ำหมดแล้ว