ตอนที่ 125 ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ ตอนที่ 126 เป็นคนดีมีคุณธรรมสุดๆ

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 125 ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ

ซ่งอิงเอ่ยคำพูดนี้จบลง แน่นอนว่าฮั่วซื่อเซี่ยงยังคงไม่เชื่อ

ซ่งอิงเข้าใจดีเช่นกันว่า คำพูดนี้ไม่มีน้ำหนักมากพอให้เชื่อถือ

ด้วยเหตุนี้นางจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ดอกฉุยจ่างฮวาเรียกอีกอย่างว่าเจี่ยถานฮวา ตรงกันข้ามกับดอกถานฮวา[1] มันจะเบ่งบานตอนกลางวันและหุบตอนกลางคืน ดังนั้นจึงอาศัยช่วงเวลาก่อนที่มันจะเบ่งบานเคลื่อนย้ายเอากลับบ้าน จะทำให้ดอกของมันได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย ครอบครัวข้าน้อยฐานะยากจนแร้นแค้น จึงต้องลำบากกว่าคนอื่นเขาหน่อย ช่วงฤดูกาลเช่นปัจจุบันนี้ ดอกไม้สีสันที่งดงามมีไม่มากนัก ฉุยจ่างฮวาสีแดงสด มีอยู่ท่ามกลางขุนเขาจำนวนไม่มาก ดังนั้นจำเป็นต้องแอบมาเก็บ มิเช่นนั้นหากถูกผู้อื่นค้นพบ ก็จะไม่เหลือส่วนของข้าน้อยแล้วเจ้าค่ะ”

คำพูดนี้ถือว่าสมเหตุสมผล

“เมื่อครู่นี้เจ้า…ทำอะไรกับหัวขโมยกลุ่มนั้น?” ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นธรรมดาที่ฮั่วซื่อเซี่ยงต้องเอ่ยปากแทนผู้เป็นนาย ไม่ให้สิ้นเปลืองวาจา

“เผอิญเจอโจรกะทันหัน กลัวพวกเขาไปก่อกวนทำให้ชาวบ้านตื่นตระหนก จึงทำได้เพียงแสร้งเป็นเช่นนี้เพื่อดึงดูดความสนใจพวกโจรให้มุ่งไปยังทิศทางตรงข้าม…ข้าฝีก้าวรวดเร็ว สายตาดี และมีความคุ้นเคยบริเวณรอบๆ นี้อย่างยิ่ง ดังนั้นจึง…หลอกล่อได้อยู่พักหนึ่งเจ้าค่ะ” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครั้งอย่างเนิบช้า

บนศีรษะนางยังมีใบไม้ติดอยู่ บนเท้าก็มีดินโคลนไม่น้อยเช่นกัน

ต้องเป็นความจริงอย่างแน่แท้

“เจ้าเป็นสตรีคนหนึ่ง ไฉนฝีเท้าจึงรวดเร็วขนาดนี้?” ฮั่วซื่อเซี่ยงกล่าวขึ้นครั้ง

ซ่งอิงเพิ่งเตรียมเอ่ยปาก ก็ได้ยินฮั่วเจ้ายวนกล่าว “คงเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ”

เท่าที่เขารู้ บรรพบุรุษเหยียนผิงโหวรุ่นแรกอย่างเหล่า[2]โหวเหยียเป็นผู้ที่พละกำลังเหลือล้น จึงขึ้นดำรงตำแหน่งขุนนางชั้นสูงได้ทั้งที่จากเดิมเป็นเพียงชาวบ้านชนบทธรรมดา

ฮั่วซื่อเซี่ยงนิ่งอึ้งไป

“อาศัยช่วงที่ฟ้ายังไม่สว่างรีบกลับไปเถิด มิฉะนั้นจะชื่อเสียงเสียหายเอาได้” ฮั่วเจ้ายวนครุ่นคิด ก่อนเอ่ยพูด

คนผู้นี้ก็น่าสงสารเช่นกัน

คุณหนูใหญ่แห่งจวนโหวที่เพียบพร้อมคนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะตกต่ำถึงขั้นนี้

ถือได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่คุ้นเคยเช่นกัน แม้ว่านางจะไม่เคยเห็นเขาเลยสักครั้งก็ตาม แต่…บรรพบุรุษเก่าแก่ของเหยียนผิงโหวก็เป็นวีรบุรุษผู้หนึ่ง ลูกหลานรุ่นหลังน่าเวทน่าเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องตำหนิอย่างรุนแรงเกินไปเช่นกัน

“ขอบคุณต้าเหรินมากเจ้าค่ะ” ซ่งอิงตกตะลึงในความใจกว้างที่มาอย่างคาดไม่ถึงไปชั่วครู่ “เช่นนั้น…ข้าน้อยขอตัวลานะเจ้าคะ?”

คนผู้นี้มองดูแม้หล่อเหลา แต่เรือนร่างสูงใหญ่กำยำและดูเย็นชาน่าดูเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นบุรุษหนุ่มที่มีความละเอียดอ่อนเสียด้วย?

ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นขุนนางตำแหน่งอะไร

“รอเดี๋ยว” ฮั่วเจ้ายวนเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง ท้ายที่สุดคลำบริเวณเอวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหยิบเงินออกมาสองตำลึงเงิน “นี่คือรางวัลสำหรับน้ำพักน้ำแรง เจ้าหลอกล่อพวกเขาตั้งนานขนาดนี้ ช่วยเบาแรงข้าไปไม่น้อยทีเดียว”

เงินรางวัลสองตำลึงเงิน?

“…” ซ่งอิงตะลึงงันเล็กน้อย

สองตำลึงเงิน ไม่น้อยไปหน่อยหรือ

ไม่ใช่ว่านางไม่รู้จักพอ เพียงแต่…นี่จะตระหนี่ถี่เหนียวไปหน่อยหรือไม่ ในฐานะขุนนางผู้เป็นหัวหน้าใหญ่ อย่างน้อยก็ต้องตบรางวัลสักสิบตำลึงเงินสิ?

แน่นอนละว่า มีรางวัลให้ก็ไม่เลวแล้ว นางก็แค่ประหลาดใจ คนผู้นี้ไม่เคยรับสินบนอะไรใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นจะใช้ชีวิตแบบนี้ได้อย่างไรล่ะ?

อีกทั้ง…สองตำลึงเงินนี้เขาก็ล้วงหาอยู่นานพอตัว นางมีเหตุผลมากพอที่จะสงสัยว่า ใต้เท้าท่านนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวพกเงินมาแค่นี้!

ในชั่วขณะนี้ ซ่งอิงเผยแววตาประหลาดออกมา

ฮั่วเจ้ายวนมีทีท่าไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง “ก็เหมาะสมกับผลงานที่ทำแล้ว อย่าได้คิดอะไรไปเองเรื่อยเปื่อย”

อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ว่า คุณหนูซ่งผู้นี้กำลังดูถูกว่ามันน้อยไปหน่อย

“มิได้คิดไปเรื่อยเปื่อยนะเจ้าคะ! ชาวบ้านอย่างพวกเรา ปีหนึ่งก็เก็บเงินได้แค่เจ็ดแปดตำลึงเงินเท่านั้น เงินสองตำลึงเงินจากต้าเหรินจึงช่วยข้าน้อยได้มากเลย!” เสียที่ไหนกัน…

แต่ตอนนี้ต้องประจบสอพลอเข้าไว้

แววตาฮั่วเจ้ายวนเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ยากจนขนาดนี้เชียวหรือ?

ปีหนึ่งเก็บหอมรอมริบได้เพียงเจ็ดแปดตำลึงเงิน?

นึกถึงตอนที่คุณหนูใหญ่อยู่จวนโหว เกรงว่าลำพังรังนกหนึ่งถ้วยก็ไม่ใช่ราคาแค่นี้แล้วกระมัง?

น่าสงสารกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก

เอาเถอะ

“ซื่อเซี่ยง” ฮั่วเจ้ายวนกล่าว

“ขอรับ” ฮั่วซื่อเซี่ยงขานรับทันควัน

“พกเงินมาด้วยหรือไม่” ฮั่วเจ้ายวนกล่าวขึ้นอีกครั้ง

“…” ฮั่วซื่อเซี่ยงนิ่งอึ้งชั่วขณะ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก “เงิน? พก…พกมาขอรับ?”

“มีเท่าไรก็เอาให้นางทั้งหมด” ฮั่วเจ้ายวนเอ่ยปากขึ้นอีกครา “ปล่อยให้หัวขโมยหลุดออกมารบกวนชาวบ้านถือเป็นความผิดพลาดของข้า สมควรให้ค่าปลอบขวัญสักหน่อยจึงจะถูก”

ตอนที่ 126 เป็นคนดีมีคุณธรรมสุดๆ

แม้ว่าราตรีมืดมิด มีเพียงแสงไฟจากคบเพลิงสาดแสงให้เห็นรำไร ซ่งอิงก็มองออกว่า ใต้เท้าท่านนี้ท่าทางยามพูดจานั้นเคร่งขรึมจริงจังไม่น้อย

ทรงเสน่ห์มากเชียวละ

แน่นอนว่า ซ่งอิงได้แต่แอบชื่นชมอยู่ในก้นบึงดวงใจเท่านั้น

อย่างไรเสีย ใต้เท้าที่รู้จักสงสารราษฎร แล้วยังเป็นฝ่ายควักเงินออกมาให้ประเภทนี้ จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีมากมายแต่อย่างใด

“ข้าน้อยมิได้ตกใจกลัวหรอกเจ้าค่ะ ฉะนั้นเงินค่าปลอบขวัญนี้ช่างเถอะเจ้าค่ะ จะให้รับเงินของต้าเหรินได้อย่างไรกันล่ะเจ้าคะ” ซ่งอิงปฏิเสธทันที

นางเป็นผู้มีเกียรติมากพอ จึงไม่ต้องการเงินของคนดี

ต่อให้แค่สองตำลึงเงินก็ยังรู้สึกลวกมือ แล้วนับประสาอะไรกับหัวหน้าขุนนางท่านนี้ที่มองดูแล้วตระหนี่ถี่เหนียวถึงเพียงนี้ จะต้องเป็นขุนนางน้ำดีที่ไม่รับสินบนเป็นแน่ ชีวิตของตัวเองแต่ละวันยังจำเป็นต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดมัธยัสถ์อยู่เลย…

ครั้นคิดได้เช่นนี้ ซ่งอิงก็ยิ่งมั่นใจ

ใต้เท้าท่านนี้จะต้องยากจนมากเป็นแน่

พบเจอนางที่มีส่วนน่าสงสัยขนาดนี้บนเขา ถูกนางร้องทุกข์ใส่ไม่กี่ประโยคก็ควักเงินให้แล้ว เช่นนั้นโดยปกติแต่ละวันพบเจอราษฎรคนอื่นๆ ล่ะ? จะต้องโปรยเงินเต็มพื้น ให้คนอื่นเก็บเอาไปได้ตามอำเภอใจอย่างแน่นอน ช่างเป็นคนดีมีคุณธรรมสุดๆ คนหนึ่ง!

“ความกล้าหาญของเจ้าน่าชื่นชม เพื่อความปลอดภัยของชาวบ้านถึงขั้นยอมสละชีวิตหลอกล่อพวกมัน แล้วเราจะไม่ให้รางวัลได้อย่างไร เจ้ารับเอาไว้เถอะ” ฮั่วเจ้ายวนเอ่ยพูดอย่างเรียบง่าย

“ต้าเหริน ข้าน้อยไม่ได้พกเงินมามากมายเท่าใดเช่นกัน มีเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้นขอรับ…” ฮั่วซื่อเซี่ยงกล่าว

ออกมาปฏิบัติหน้าที่ จะพกทรัพย์สินมามากมายได้ที่ไหนกันล่ะ?

เกิดตายไปแล้วถูกศัตรูค้นตัว เช่นนั้นไม่ยิ่งถูกคนอื่นเอาเปรียบไปใหญ่หรือ

ฮั่วเจ้ายวนขมวดคิ้วเล็กน้อย

ห้าตำลึงเงินเอง น้อยไปหน่อย

ซ่งอิงรู้สึกละอายใจเล็กน้อยเช่นกัน เมื่อครู่ตอนที่ตนรับเงินสองตำลึงเงินมาไว้ กลับแสดงออกสีหน้าเปิดเผยเกินไป คงทำร้ายจิตใจของหัวหน้าขุนนางผู้ใสสะอาดท่านนี้แล้วเป็นแน่ ดังนั้นยามนี้ นางจะทำเหมือนเมื่อครู่นั้นไม่ได้แล้วเด็ดขาด!

ดังนั้น ในวินาทีถัดมา ซ่งอิงแสดงออกอย่างสมจริงสมจัง ดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองเงินนั้นอย่างโหยหา ลักษณะจริงจังคล้ายว่า…ข้าไม่เคยเห็นเงินที่จำนวนมากขนาดนี้มาก่อนเลย!

คนเขาต้องการมอบเงินให้จงได้ ขืนนางยังไม่รับ…ก็จะดูไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยน่ะสิ?

รับเอาไว้ก็ได้ อย่างมากหลังกลับไปก็นำไปบริจาคให้หมู่บ้านเพื่อนำไปซื้อเสื้อผ้าให้เด็กกำพร้าในหมู่บ้านก็ย่อมได้

แม้จะเห็นว่าหมู่บ้านสงบสุขและค่อนข้างเจริญกว่าหมู่บ้านอื่นๆ แต่ตามจริงเทียบกับในตัวเมือง ก็ยังถือว่ายากจน เด็กๆ ที่กำพร้าบิดามารดาในหมู่บ้านมีหลายคนเช่นกัน ในเมื่อยุคสมัยนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้มากมายเหลือเกิน ขึ้นเขาไปก็มีความเป็นไปได้ว่าจะพลัดตกลงมาเสียชีวิต หรือเป็นไข้หวัดจากความหนาวเย็นทีก็เป็นไปได้ว่าอาจเอาชีวิตไม่รอด…

อากัปกิริยาของซ่งอิงยามนี้แสดงออกอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมายิ่งนัก

อย่างไรก็ตาม นางไม่รู้ว่าฮั่วเจ้ายวนรู้ฐานะตัวตนของนางเป็นอย่างดี

บัดนี้เห็นนาง ‘ตื่นเต้น’ กับเงินห้าตำลึงเงินเช่นนี้ สองคำว่า ‘สงสาร’ ในใจก็ยิ่งหนักอึ้ง เสมือนกับได้สลักอยู่บนหน้าผากของซ่งอิงในขณะนี้อย่างไรอย่างนั้น

มองดูนางแวบสายตาหนึ่ง ก็คิดว่าแม่นางผู้นี้น่าเวทนาเหลือเกิน

“กลับไปใช้ชีวิตให้สุขสบาย หากมีปัญหาอะไรก็ไปบอกกล่าวทางด้านที่ว่าการอำเภอนั่น ข้าแซ่ฮั่ว เจ้าบอกกล่าวแซ่ของข้า เดี๋ยวจะมีช่วยเจ้าจัดการให้อย่างแน่นอน” ฮั่วเจ้ายวนกล่าวขึ้นอีกครั้ง

เมื่อพูดจบ ก็พบคนกลุ่มใหญ่แยกย้ายไปพร้อมศพที่จัดการเรียบร้อยแล้ว

ซ่งอิงมองเงาแผ่นหลังของคนกลุ่มนั้น อดทอดถอนใจไม่ได้

ใต้เท้าท่านนี้ จะต้องเป็นบิดานักปราชญ์ที่ได้มาตราฐานคนหนึ่งอย่างแน่แท้!

ก็จริง บนโลกนี้ ผู้เป็นขุนนางล้วนเป็นนักปราชญ์ผู้ที่เติบโตมากับตำราหนังสือซึ่งเรียนรู้มารยาท ความเป็นธรรม และความรู้จักละอายใจ ความนึกคิดในใจลึกล้ำยากเกินหยั่งถึง เป็นธรรมดาที่จะทรงคุณธรรมและใจกว้างไร้ที่เปรียบ

ซ่งอิงไม่กล้าเดินเอ้อระเหยอยู่บนเขาอีกแล้วเช่นกัน อาศัยจังหวะที่ท้องฟ้ายังไม่สว่างเร่งกลับบ้าน

นำไส้บ๊ะจ่างขนไปยังบ้านซ่ง จากนั้นนอนงีบไปหนึ่งชั่วยาม หลังตื่นขึ้นมา กินอะไรรองท้องอย่างเรียบง่าย แล้วจึงนำเงินไปบริจาค นอกจากนั้นยังควักส่วนของตนเองสมทบไปอีกสามตำลึงเงินด้วย

“บริจาคเงิน? ยาโถวอา ลำพังตัวเจ้าเองดำรงชีพก็ต้องประหยัดอดออมอย่างยิ่ง เจ้าคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนหน่อยเถิด แม้ว่าเจ้ามีน้ำใจ ข้าเองก็ซาบซึ้งใจมาก แต่คนเราก็ต้องดูแลตนเองให้ได้ดีก่อน จึงค่อยไปคำนึงถึงผู้อื่น” หัวหน้าหมู่บ้านซ่งอึ้งทึ่งอย่างมาก

สิบตำลึงเงิน ไม่ใช่น้อยๆ เลยนี่

แม้ว่าจะไม่มากเท่ากับที่ฮั่วหรงส่งมาให้ แต่พวกเขาระดับครอบครัวชาวนาธรรมดาๆ ไม่แน่ว่าสู่ขอภรรยาทั้งทีก็ยังไม่ใช้เงินมากขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ!

ซ่งอิงไม่ได้จิตใจดีมีเมตตาโดยบริสุทธิ์ใจ หากแต่เพราะคำนึงถึงเรื่องหนึ่งด้วยก็เท่านั้นเอง

———————-

[1] ดอกถานฮวา (昙花) มีอีกฉายาหนึ่งว่า “ดอกไม้แห่งรัตติกาล” เพราะจะเบ่งบานและส่งกลิ่นหอมเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น ดอกถานฮวาดูภายนอกเหมือนดอกไม้สีขาวธรรมดา ไม่น่าดึงดูด แต่เมื่อเบ่งบานจะส่งกลิ่นหอมมาก และจะบานเพียงครั้งเดียวในตอนกลางคืน เมื่อรุ่งเช้าจะเฉาและไม่บานอีก ต้องรอดอกใหม่บานเท่านั้น

[2] เหล่า (老) ในที่นี้คือคำเรียกผู้อาวุโสแสดงถึงการให้ความเคารพ ในที่นี้หมายถึงท่านโหวผู้อาวุโส