ตอนที่ 115 ฆ่าให้เจ้าดู (1) ตอนที่ 116 ฆ่าให้เจ้าดู (2)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 115 ฆ่าให้เจ้าดู (1)

ตราบเท่าที่ฆ่าจวินเสี่ยนทิ้งไปเสีย จากนั้นความฮึกเหิมของจวนหลินอ๋องจะลดลงไปกว่าครึ่ง!

ไม่ว่าความสามารถของจวินอู๋เสียจะมากมายเพียงใด นางก็ยังเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ส่วนจวินชิงก็เป็นแค่คนพิการบนรถเข็นที่บัดนี้ทำได้เพียงต่อลมหายใจไปวันๆ เท่านั้น!

ขอเพียงแค่พวกเขาเริ่มตอบโต้ ก็จะไม่อนุญาตให้หันหลังกลับอีกต่อไป

ฮ่องเต้ทรงทราบถึงความสำคัญของเรื่องนี้ดี และแม้ว่าจวินอู๋เสียจะมีข้อสงสัยในใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ว่าเป็นฝีมือของราชวงศ์ แต่นางก็ไม่มีหลักฐาน และหากนางยังกล้ารั้นที่จะนำกองทัพรุ่ยหลินก่อกบฏ เมื่อถึงเวลานั้นพระองค์ก็จะมีข้ออ้างที่จะสังหารพวกเขาอย่างถูกต้อง เพื่อปราบปรามการก่อจลาจลของกองทัพรุ่ยหลิน ข้อหากบฏก็เพียงพอแล้วที่จะลบล้างกองทัพที่เป็นดั่งเสี้ยนหนามของพระองค์นี้ออกไปจากแผ่นดิน!

เหตุผลที่ฮ่องเต้ทรงหวาดระแวงจวนหลิงอ๋องหนักหนา เหตุผลหนึ่งก็เพราะความแข็งแกร่งของกองทัพรุ่ยหลิน ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลก็คือชื่อเสียงของกองทัพรุ่ยหลินในหมู่ประชาชนรัฐชีนั้นสูงส่งเกินไป แม้ว่าฮ่องเต้จะทรงมีเจตนาสลายกองทัพรุ่ยหลินมานานมากแล้ว แต่ก็ต้องแอบทำอย่างลับๆ เพื่อไม่ให้กระทบต่อภาพลักษณ์อันดีงามของพระองค์ในหมู่ประชาชนนั่นเอง

การยุบหรือสลายกองทัพหนึ่งที่สู้รบเพื่อประชาชนมาอย่างยาวนาน เสี่ยงต่อการถูกรุมประณามและสาปแช่ง

พระองค์ไม่ต้องการถูกประชาชนของพระองค์เองรังเกียจ

ในเมื่อแผนการไม่มีการปรับเปลี่ยนใดๆ ขณะที่ฮ่องเต้กำลังจะหันกลับไปเพื่อตรัสสั่งบางอย่างกับมั่วเซวี่ยนเฝ่ย ทหารของกองทัพรุ่ยหลินกลุ่มหนึ่งก็วิ่งเข้ามาจากทางทิศตะวันออก

ทหารของกองทัพรุ่ยหลินกลุ่มนั้น เข้ามารวมตัวกับพวกจวินอู๋เสียที่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูวัง คนที่เดินอยู่หน้าสุดของแถวคือแม่ทัพเอกแห่งกองทัพรุ่ยหลินหลงฉี เขาลากตัวคนผู้หนึ่งซึ่งถูกยัดอยู่ในกระสอบขนาดใหญ่มาด้วย ขณะที่เขากำลังเดินเข้าไปใกล้จวินอู๋เสีย ฝูงชนที่มุงดูอยู่ต่างก็เห็นว่ามีการดิ้นรนขัดขืนอย่างต่อเนื่องจากภายในกระสอบใบนั้น เสียงกรีดร้องราวกับสุกรโดนเชือดดังออกมาเป็นระยะๆ

เสียงร้องนี้เหตุไฉนถึงได้คุ้นหูนักนะ

ฮ่องเต้หรี่พระเนตรลงอย่างครุ่นคิด

“รายงานคุณหนูใหญ่ เราได้นำคนมาตามคำสั่งแล้วขอรับ” หลงฉีโยนกระสอบไปอีกด้านหนึ่ง ขณะที่ประสานมือและรายงานว่าภารกิจของเขาเสร็จสิ้นแล้ว

สัตว์ร้ายสีดำขนาดใหญ่ที่จวินอู๋เสียขี่มา เดินเยื้องย่างเข้าไปหากระสอบใบนั้นและตวัดกรงเล็บที่แหลมคมของมันลงบนกระสอบด้วยอาการรำคาญหนวกหู กระสอบเนื้อหยาบถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที และทันใดนั้นร่างกลมอ้วนฉุก็กลิ้งออกมาจากกระสอบด้วยสภาพทุลักทุเล

โคลนบนพื้นที่ปะปนไปด้วยโลหิต เปรอะเปื้อนเสื้อคลุมหรูหราของบุรุษอ้วนผู้นั้น เขาร้องไห้คร่ำครวญอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทามากเกินกว่าที่ลุกขึ้นยืนได้ ในขณะที่เขากำลังตั้งสติและพยายามจะหลบหนี เขาก็ถูกตบให้กลิ้งลงไปกับพื้นโดยกรงเล็บของสัตว์ร้ายสีดำอีกครั้ง ใบหน้าที่อ้วนท้วนของเขาถูกเหยียบย่ำจมลงไปโคลนที่น่าขยะแขยง เสียงกรีดร้องของเขาดังลั่นเกือบจะทะลุผ่านก้อนเมฆขึ้นไป

ผู้คนบนกำแพงวังหลวงจดจำตัวตนของอีกฝ่ายได้ในทันที!

“จวินอู๋เสีย! เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำเรื่องบ้าอะไรอยู่หา เหตุใดถึงได้จับตัวอู๋อ๋องมา!” พระพักตร์ของฮ่องเต้เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำถึงขีดสุด ที่แท้เสียงกรีดร้องที่พระองค์ทรงได้ยินเมื่อสักครู่แล้วรู้สึกว่าคุ้นหูเหลือเกิน ก็คือเสียงร้องของอู๋อ๋อง พระอนุชาของพระองค์นั่นเอง!

จวินอู๋เสียมองไปที่พระพักตร์ที่น่าเกลียดของฮ่องเต้และหยักยิ้มขึ้นจางๆ ดวงตาที่เย็นชาของนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้รู้สึกหนาวเหน็บ

ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสะท้อนลงมา จวินอู๋เสียที่กลับชาติมาเกิดใหม่แย้มยิ้มต่อหน้าผู้คนเป็นครั้งแรก ทว่ารอยยิ้มนี้มิเพียงแต่ล่อลวงชวนให้หลงใหล หรือว่างดงามราวกับจะกระชากดวงวิญญาณให้หลุดลอยออกจากร่าง แต่มันยังเป็นรอยยิ้มที่ประดุจดั่งปีศาจที่กำลังบดขยี้และทำลายดวงวิญญาณของผู้ที่เฝ้ามอง ทั้งขนลุกและน่าหวาดผวาในเวลาเดียวกัน ยิ่งประกอบกับพวกเขายืนอยู่บนพื้นที่ราบโล่งและมีลมหนาวเย็นพัดผ่านมา ก็ยิ่งทำให้ฟันของพวกเขากระทบกันอย่างหยุดไม่ได้

จวินอู๋เสียไม่ค่อยยิ้ม ไม่ว่าจะเป็นในชาตินี้หรือว่าชาติภพก่อนหน้า รอยยิ้มของนางจึงกล่าวได้ว่าเป็นดั่งสมบัติล้ำค่าก็ว่าได้!

แต่ทุกครั้งที่นางยิ้ม มันจะเหมือนกับการเปิดกล่องของแพนโดร่าที่พร้อมจะปลดปล่อยความตายและปีศาจร้ายออกมา

เคยมีคนผู้หนึ่งบรรยายถึงรอยยิ้มของจวินอู๋เสียว่า หนึ่งยิ้มงามล่มเมือง หนึ่งยิ้มคร่าวิญญาณ

รอยยิ้มของนางจะเบ่งบานเมื่อนางต้องการฆ่าเท่านั้น!

ในขณะที่ทุกคนยังคงหมกมุ่นอยู่กับรอยยิ้มที่ชวนให้มึนเมาของจวินอู๋เสีย เสียงหวานก็เปล่งออกมาจากปากของเด็กสาวอย่างเฉื่อยชาว่า “อู๋อ๋องสมรู้ร่วมคิดกับโจรชั่วและมีเจตนาร้ายต่อองค์ชายรอง จึงดำเนินการจับกุมในทันที!”

น้ำเสียงเย็นยะเยือกที่ขัดกับเสียงหวานๆ ราวกับน้ำแข็งที่ตกลงมาทำให้ฮ่องเต้ตื่นจากอาการสับสนในทันใด ดวงเนตรของพระองค์เบิกกว้าง ทอดพระเนตรไปที่จวินอู๋เสียและร้องตะโกนว่า “จวินอู๋เสีย! เจ้าอย่าได้…”

อ๊ากกก! เสียงกรีดร้องขัดจังหวะฮ่องเต้อีกครั้ง ครานี้อู๋อ๋องถูกกดลงไปใต้กรงเล็บของสัตว์ร้ายสีดำที่โจมตีมาอย่างรวดเร็วและโหดเหี้ยม คมเขี้ยวของเจ้าสัตว์ร้ายสีดำ กัดกระชากศีรษะของร่างอ้วนให้ขาดออกจากร่างทันที!

โลหิตสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ ศีรษะที่บัดนี้ไร้สิ่งใดเชื่อมต่อกลิ้งหลุนๆ ไปกับพื้นก่อนที่จะไปหยุดอยู่หน้ากำแพงวังหลวงที่ซึ่งฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ไม่ไกลนัก ดวงตาที่เบิกโพลง เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสยดสยองก่อนตาย จ้องขึ้นไปบนกำแพงวังหลวงตาค้าง

ท่านปู่ ผู้ใดก็ตามที่กล้ารังแกดูถูกท่าน อู๋เสียจะช่วยฆ่ามันให้เอง!

ตอนที่ 116 ฆ่าให้เจ้าดู (2)

รอยยิ้มบนมุมปากของจวินอู๋เสียเริ่มแปลกขึ้นเรื่อยๆ

การตัดศีรษะอู๋อ๋องต่อหน้าชาวเมืองนี้ การตายที่เรียกได้ว่าน่าอนาถเสียยิ่งกว่านักโทษในเรือนจำ ทำให้ในสายตาของชาวเมืองหลวง บัดนี้จวินอู๋เสียเป็นยิ่งกว่าปีศาจร้ายเสียอีก!

ช่างโหดเหี้ยมอะไรเช่นนี้!

ฮ่องเต้ตัวสั่นด้วยความกริ้วจัด แม้ว่าพระองค์จะไม่ได้ใกล้ชิดกับอู๋อ๋อง แต่อู๋อ๋องก็ยังคงเป็นเชื้อพระวงศ์ และเป็นพระเชษฐาในสายพระโลหิตแท้ๆ ของพระองค์ การที่จวินอู๋เสียสังหารอู๋อ๋องต่อหน้าพระองค์โดยปราศจากความยินยอมของพระองค์ ถือเป็นการดูหมิ่นอำนาจของฮ่องเต้ นี่เป็นการตบหน้าเขาชัดๆ!

รับสั่งของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้วว่าปรารถนาละเว้นชีวิตของอู๋อ๋อง แต่จวินอู๋เสียก็ยังคงละเลยและยังกล้าที่จะฆ่าเขา!

“จวินอู๋เสีย! เจ้ากล้าดียังไง!…” พระสุรเสียงของฮ่องเต้บัดนี้สั่นเครือไปหมด

จวินอู๋เสียยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า “ทูลฝ่าบาท จวนหลินอ๋องได้ทำการสืบสวนเชิงลึกเกี่ยวกับคดีลอบทำร้ายองค์ชายรองในวันนั้นแล้ว พบว่าอู๋อ๋องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบทำร้ายองค์ชายรองจริง และยังเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีเจตนาร้ายต่อบัลลังก์ของพระองค์ หม่อมฉันจึงได้ทำการจับกุมตัวและประหารชีวิตตามกฎหมายเพคะ”

“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่” ฮ่องเต้ตรัสด้วยความกลัว พระองค์ไม่กล้าเดาสุ่มอีกต่อไปแล้วว่าจวินอู๋เสียจะมีแผนการขั้นต่อไปอย่างไร ความคิดธรรมดาๆ ไม่อาจนำมาประเมินเด็กสาวที่เสียสติอย่างนางได้

ยัยเด็กนี่มันสุนัขบ้าชัดๆ!

รอยยิ้มของจวินอู๋เสียเริ่มสดใสขึ้น และความหนาวเย็นดูเหมือนจะค่อยๆ ละลายและหายไปจากตัวนาง

“แน่นอน หม่อมฉันกำลังดำเนินการตามบัญชาของพระองค์อย่างเคร่งครัด”

พระฉวีของฮ่องเต้กระตุก

พระองค์สั่งให้นางสังหารอู๋อ๋องเมื่อไหร่กัน!

“หลงฉี!” จวินอู๋เสียเรียก

“ข้าน้อยอยู่นี่ขอรับ!”

“ไปนำตัวใต้เท้าเว่ย ใต้เท้าซั่งกวน ใต้เท้าสวี…” จวินอู๋เสียเอ่ยนามขุนนางอื่นๆ อีกนับสิบรายชื่อติดต่อกัน ใต้เท้าจวนต่างๆ เหล่านี้ คือคนที่นางจะนำมาเป็นเหยื่อ เชือดให้บุรุษในชุดมังกรที่ยืนอยู่บนกำแพงวังหลวงผู้นั้นดู ดังนั้นนางจึงไม่ได้ใช้คำว่า ‘เชิญ’ แต่ใช้คำว่า ‘นำตัวมา’ แทน

ฝูงชนฮือฮาทุกครั้งที่จวินอู๋เสียประกาศรายชื่อขุนนางแต่ละคนออกมา

คืนนี้นางจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดรอดพ้น!

“จวินอู๋เสีย! พอได้แล้ว! ใต้เท้าเหล่านี้ที่เจ้าประกาศรายชื่อออกมาล้วนแต่เป็นขุนนางชั้นสูงในราชสำนักทั้งสิ้น เจ้าก็ได้ประหารอู๋อ๋องไปแล้ว เรื่องนี้ก็สมควรจบลงเสียที!” ฮ่องเต้ต่อให้โง่ปานใด บัดนี้ก็ตระหนักได้แล้วว่าสาเหตุที่จวินอู๋เสียฆ่าอู๋อ๋องต่อหน้าพระองค์นั้น ที่แท้มันคือการเปิดม่านแสดงการ ‘แก้แค้น’ ให้พระองค์ดูนั่นเอง

จวินอู๋เสียกำลังแสดงให้พระองค์เห็นถึงการโต้กลับของจวนหลินอ๋องต่อเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนี้!

แต่เดิมรับสั่งที่ให้จวนหลินอ๋องไปตรวจสอบผู้ที่ลอบปองร้ายองค์ชายรอง ก็เพื่อจงใจทำให้จวินเสี่ยนยากลำบาก แต่พระองค์ไม่เคยคิดเลยว่าคำสั่งเท็จเช่นเดียวกันนี้จะถูกนำกลับมาใช้เพื่อทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องยากสำหรับพระองค์เอง

ภายใต้ข้อแก้ตัวอย่างสมเหตุสมผลในการดำเนินการตามราชโองการของฮ่องเต้ แม้ว่าใจจริงฮ่องเต้จะไม่ยินยอมและเต็มใจเพียงใด ต่อหน้าชาวเมืองพระองค์ก็ไม่อาจไล่จวินอู๋เสียและกองทัพรุ่ยหลินให้ออกไปได้

แต่ว่าการจะปล่อยนางให้สร้างปัญหาต่อไปเช่นนี้ เมืองหลวงคงได้ถูกย้อมด้วยเลือดไม่ช้าก็เร็ว!

“ฝ่าบาท” จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ฮ่องเต้ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าข้นขลัก “คนเหล่านี้มีเจตนาคิดร้ายต่อเชื้อพระวงศ์ และมันก็สมเหตุสมผลแล้วที่จะลงโทษพวกเขา อีกอย่างมิใช่ว่าก่อนหน้านี้พระองค์เคยตรัสไว้หรอกหรือเพคะว่า จวนหลินอ๋องมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการลงโทษผู้กระทำความผิดตามแต่ที่เห็นสมควร” คำพูดเหล่านี้เป็นเนื้อหาในบทสนทนาระหว่างจวินชิงและจวินเสี่ยน ขณะที่จวินอู๋เสียได้ยินเข้าโดยบังเอิญ

แม้แต่สองพ่อสกุลจวิน ก็คิดไม่ถึงว่าคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของพวกเขาจะถูกจวินอู๋เสียนำมาใช้เช่นนี้

ความกริ้วของฮ่องเต้วิ่งไปถึงพระเกศาของพระองค์ คำพูดของจวินอู๋เสียทำให้พระองค์สะอึกจนพูดไม่ออก

พระวรกายอันสูงส่งสั่นจนเกือบจะล้มครืนลงไป

เข้าใจแล้ว! บัดนี้พระองค์เข้าใจทุกอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว!

เหตุผลที่กองทัพรุ่ยหลินบุกเข้ามาในเมืองหลวงอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ เหตุผลที่นางปลุกระดมชาวเมืองให้ลุกขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นถึงเหตุการณ์วุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้น จวินอู๋เสียรู้ดีว่าฮ่องเต้ทรงห่วงใยชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของพระองค์ในสายตาของชาวเมืองมากที่สุด ดังนั้นการที่มีฝูงชนอยู่เป็นจำนวนมาก จะกดดันให้ฮ่องเต้ไม่สามารถจัดการกับจวินอู๋เสียได้โดยไม่กระทบต่อความรู้สึกของชาวเมือง และด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จที่จวนหลินอ๋องได้รับมาจากการลงโทษกลุ่มผู้กระทำความผิด จวินอู๋เสียจะสามารถใช้อำนาจดังกล่าวภายใต้พระราชโองการของฮ่องเต้ เพื่อขจัดภัยคุกคามต่อจวนหลินอ๋องและลงโทษพวกเขาตามแต่ที่นางปรารถนาได้!

เว้นเสียแต่ว่าฮ่องเต้จะมีหลักฐานที่จะนำมาหักล้างว่าขุนนางเหล่านั้นมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นพระองค์ก็ทำได้เพียงเบิกพระเนตรมองดูขุนนางของพระองค์ถูกจวินอู๋เสียตัดศีรษะต่อไป!

แต่ฮ่องเต้จะไปเอาหลักฐานมาจากไหนเล่า ซากศพที่นอนเกลื่อนอยู่บนพื้นเหล่านั้น คือเหล่ามือสังหารที่ถูกส่งไปยังจวนหลินอ๋อง มันคือความจริงซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหักล้างได้ และพระองค์ก็ไม่สามารถกลืนคำพูดของพระองค์ในตอนนี้ได้ ว่าองค์ชายรองมิได้ถูกโจมตีโดยกลุ่มคนแต่เป็นคนเพียงคนเดียว! มั่วเซวี่ยนเฝ่ยป่าวประกาศออกไปว่าเขาถูกโจมตีโดยกลุ่มคนด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรกคือต้องการช่วยตัวเองให้พ้นจากความอัปยศอดสู ส่วนประการที่สองคือจงใจทำให้จวินเสี่ยนประสบกับความลำบากในการสืบสวนคดีของเขา

ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมรับต่อหน้าชาวเมืองว่าศพที่กองพะเนินอยู่หน้ากำแพงวังหลวงนั้น เป็นกลุ่มคนชุดดำที่ทางราชวงศ์ส่งไปเพื่อฆ่าล้างสกุลจวิน!