ตอนที่ 117 ฆ่าให้เจ้าดู (3)
ความจริงเหล่านี้พระองค์จะกล้าเปิดเผยออกไปได้อย่างไรกัน จะให้ชาวเมืองรู้เห็นถึงด้านที่เลวร้ายของพระองค์ไม่ได้เป็นอันขาด!
ต้องรู้ไว้ก่อนว่าตำแหน่งของกองทัพรุ่ยหลินและจวนหลินอ๋องในใจของประชาชนนั้นสูงแค่ไหน ทั้งสองเป็นที่เคารพรักของประชาชนเสมอมา หากพวกเขารู้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขามีเจตนาหมายกวาดล้างทั้งกองทัพรุ่ยหลินและจวนหลินอ๋องให้สิ้นซาก ไม่รอให้จวนหลินอ๋องสิ้นไปหรอก พระองค์นี่แหละที่จะถูกดึงลงจากบัลลังก์มังกรเสียก่อน! ดังนั้นแล้วพระองค์จึงยังต้องกล้ำกลืนฝืนทนอยู่เช่นนี้ พระองค์จะไม่ยอมแบกรับเสียงดูถูกและความเกลียดชังจากประชาชนของพระองค์เป็นแน่!
พระองค์ไม่กล้า! ไม่กล้าจริงๆ!
อย่าว่าแต่ประชาชนเลย หากพระองค์สารภาพความจริงออกไปตอนนี้ กองทัพรุ่ยหลินที่ปิดล้อมกำแพงวังหลวงอยู่ คงได้บุกเข้ามาแล้วลากตัวพระองค์ลงไปสำเร็จโทษต่อหน้าชาวเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะมีชื่อเสียงให้ต้องรักษา ฮ่องเต้จึงทำได้เพียงกัดพระทนต์ด้วยความฝืนกลั้น เหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ไม่กล้าล่วงเกินกองทัพรุ่ยหลินนับแสนนายในเวลานี้จริงๆ!
ตราบเท่าที่จวินอู๋เสียกล้าออกคำสั่ง กองทัพรุ่ยหลินทั้งหมดก็พร้อมที่จะบุกเข้ามาแล้วบั่นพระเศียรของพระองค์ให้หลุดจากร่าง
“หลงฉี! เจ้ายังไม่รีบไปดำเนินการอีก!” จวินอู๋เสียปรายตามองฮ่องเต้ด้วยความรังเกียจ เมื่อนางนึกถึงสิ่งที่ฮ่องเต้และมั่วเซวี่ยนเฝ่ยได้กระทำร่วมกัน นางก็รู้ได้ทันทีว่าฮ่องเต้เป็นประเภทรักตัวกลัวตาย ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของพระองค์เองยิ่งกว่าข้าราชบริพารใต้การปกครอง เป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น!
คืนนี้นางจะลองทดสอบดูว่าฮ่องเต้จะสามารถทนได้ถึงขั้นไหนกัน
จุดประสงค์ของการสังหารหมู่ขุนนาง ก่อการจลาจลในเมืองหลวงในค่ำคืนนี้ ทั้งหมดก็เพื่อบีบบังคับให้ฮ่องเต้ส่งตัวจวินเสี่ยนกลับคืนมา จวินอู๋เสียหรี่ตาลงด้วยความเย็นชา หากฮ่องเต้ยังกล้าเพิกเฉยดื้อรั้นต่อไป นางก็ไม่รังเกียจหากจะต้องล้างเมืองหลวงแห่งนี้ด้วยเลือด!
หรือต่อให้ต้องถึงขั้นปลงพระชนม์
นางก็กล้าทำตราบที่ได้ตัวจวินเสี่ยนกลับคืนมา!
หลงฉีนำกำลังทหารบุกไปยังจวนต่างๆ นับสิบเพื่อจับกุมตัวขุนนางตามรายชื่อที่จวินอู๋เสียได้กล่าวออกมา บริเวณรอบๆ จวนขุนนาง เนื่องจากถูกกองทัพรุ่ยหลินล้อมเอาไว้หมดแล้ว พวกเขาจึงไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีไหนไปได้
นี่เป็นอีกหนึ่งคำสั่งที่จวินอู๋เสียได้ให้ไว้ก่อนที่พวกเขาจะเคลื่อนพลออกจากจวนหลินอ๋อง
ฮ่องเต้ได้แต่มองตามแผ่นหลังของหลงฉีที่จากไป พระองค์กริ้วกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้มาก แต่เพราะอุบายของจวินอู๋เสีย พระองค์จึงเปรียบเสมือนขึ้นขี่หลังเสือแล้วลงยาก หมดหนทางที่จะคัดค้านได้
พระองค์ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสกุลจวินจะยังมีบุตรหลานที่เยือกเย็นและเป็นอันตรายถึงขั้นนี้อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นคนคนนั้นยังเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่เคยเดินตามหลังมั่วเซวี่ยนเฝ่ยต้อยๆ ราวกับลูกสุนัขตัวน้อยผู้ซื่อสัตย์อีกด้วย
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับคุณหนูใหญ่สกุลจวิน ช่างทำให้ผู้คนประหลาดใจจริงๆ
ผู้ที่แปลกใจที่สุดคงจะหนีไม่พ้นมั่วเซวี่ยนเฝ่ยซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของฮ่องเต้ การกระทำของจวินอู๋เสียในค่ำคืนนี้ ภาพที่นางตัดศีรษะของอู๋อ๋องอย่างโหดเหี้ยม ได้ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ในหัวใจของเขาตลอดชีวิต เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่านางจะมีความสามารถร้ายกาจดั่งเช่นที่เห็น และถ้าหากนางรู้ว่าแผนการลอบสังหารในค่ำคืนนี้เกี่ยวข้องกับเขาด้วยล่ะก็…
อ่า…มั่วเซวี่ยนเฝ่ยไม่กล้าคิดอีกต่อไป!
ในอดีตจวินอู๋เสียเป็นเพียงตัวเกะกะน่ารำคาญ ทว่าวันนี้นางกลับกลายเป็นตัวตนที่ทำให้เขาต้องเผชิญกับฝันร้ายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แผ่นหลังของเขาเย็นยะเยือก
ผู้คนที่อยู่บนกำแพงวังหลวง ทำได้เพียงชมการแสดงที่มีจวินอู๋เสียเป็นผู้กำกับอย่างต่อเนื่อง หญิงสาวสะบัดมือลงไปครั้งหนึ่ง กองทัพรุ่ยหลินภายใต้การสั่งการของนางก็เคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงท่ามกลางสายลมหนาวยามราตรี กองทัพที่น่าเกรงขามและองอาจมั่นคงดุจดั่งภูเขา ได้บดบังทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวงทั้งหมด พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างมีแบบแผนและเต็มไปด้วยกำลัง ทำให้กำแพงวังที่สูงยิ่งกว่าสิ่งปลูกสร้างใดในเมืองหลวงยามนี้ดูต่ำต้อยลงในพริบตา
คืนนี้พวกเขาต่างได้ประจักษ์ถึงความน่าสะพรึงกลัวของกองทัพรุ่ยหลินแล้ว!
มองดูทะเลคบเพลิงที่สว่างไสวไปทั่วทั้งเมืองหลวง และฝุ่นที่ตลบขึ้นจากกีบม้าจำนวนมากที่ควบขี่ไปยังจวนที่พักของขุนนางต่างๆ
เห็นได้ชัดว่าอากาศในค่ำคืนนี้หนาวเย็นเป็นอย่างมาก แต่ฮ่องเต้กับมั่วเซวี่ยนเฝ่ยกลับร้อนรุ่มเหมือนดั่งว่าพวกเขาถูกจับยัดใส่ในเตาหลอม แผ่นหลังของพวกเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
มั่วเฉี่ยนยวนยืนอยู่ทางด้านหลังของฝูงชน เฝ้าดูเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและพยายามหักห้ามใจตัวเองเพื่อไม่ให้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ล่วงเกินสวรรค์ล่วงเกินได้ แต่อย่าได้ล่วงเกินจวินอู๋เสียเป็นอันขาด!
เขาล่ะสงสารเสด็จพ่อและเจ้าน้องชายของเขาจริงๆ ที่เลือกไปหาเรื่องจวินอู๋เสีย
พวกเขาน่าจะรู้นะว่าไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับจวนหลินอ๋องอย่างเด็ดขาด แต่มันก็สายเกินกว่าที่จะแก้ไขแล้ว
มันสายเกินไปแล้วจริงๆ!
ตอนที่ 118 ฆ่าให้เจ้าดู (4)
มันเป็นช่วงเวลาที่ชาวเมืองหลวงจะจดจำไปชั่วชีวิตว่าได้มีขุนนางชั้นสูงและเหล่าแม่ทัพนายกองจำนวนมากที่มักจะทำตัวเย่อหยิ่งเสมอ ถูกลากตัวออกมาจากจวนที่พักของพวกเขาเอง พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนสะอื้นไห้ราวกับสุนัขที่ตายไปแล้วโดยฝีมือของกองทัพรุ่ยหลิน
อันธพาลในคราบขุนนางที่มักจะรังแกชาวบ้านเป็นประจำ ไม่อาจต้านทานเรี่ยวแรงอันมหาศาลจากทหารกองทัพรุ่ยหลินได้ พวกเขาฆ่าทุกคนที่พยายามจะขัดขวางภารกิจที่พวกเขาได้รับมอบหมายมา
เลือดสีแดงสดและกลิ่นอายของความตายปกคลุมไปทั่วเมืองหลวง บรรดาขุนนางและแม่ทัพนายกองที่พยายามต่อสู้ดิ้นรน ล้วนถูกกองทัพรุ่ยหลินจัดการให้อยู่ในสภาพสะบักสะบอมก่อนที่พวกเขาจะถูกลากออกมาจากจวนที่พักของพวกเขา ร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิต ทิ้งรอยเลือดเป็นทางยาวบนพื้นจนถึงหน้ากำแพงวังหลวง เป็นภาพที่ดูน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง
อะไรคือการเอาแต่ใจ! อะไรคือการใช้อำนาจข่มขู่ยืนอยู่เหนือผู้มีอำนาจ!
พวกเขาล้วนได้ประจักษ์แล้วในคืนนี้!
สิ่งที่กองทัพรุ่ยหลินทำ ได้เปลี่ยนความเข้าใจใหม่และฝังทัศนคติที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเกี่ยวกับสองคำนี้ไว้ในหัวใจของทุกคน
แม้แต่ฮ่องเต้ ก็ยังไม่กล้าที่จะใช้วิธีการโหดร้ายเช่นนี้กับขุนนางชั้นสูงมากมาย ทว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญต่อกองทัพรุ่ยหลิน ในสายตาของพวกเขา คำอ้อนวอนและคำขอร้องจากผู้ที่ถูกจับกุมไม่ได้มีค่าอะไรเลย พวกเขาสนเพียงแต่คำสั่งของจวินอู๋เสียอย่างเดียวเท่านั้น
เมื่อได้รับคำสั่งแล้ว กองทัพรุ่ยหลินก็พร้อมแลกชีวิตของพวกเขาเพื่อทำหน้าที่ให้สำเร็จ!
ทหารรักษาการณ์ธรรมดา ไม่สามารถหยุดยั้งการรุกรานของกองทัพรุ่ยหลินได้แม้แต่น้อย การสังหารเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและลุกลามไปทั่วเมืองหลวง
ขุนนางชั้นสูงทีละคนๆ ถูกกองทัพรุ่ยหลินจับมัดและโยนขึ้นหลังม้า แล้วลากตัวออกมาจากจวนกลางดึก
พวกเขาไม่เคยคิดฝันว่าขุนนางชั้นสูงเช่นพวกตน จะถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายและป่าเถื่อนเช่นนี้ในสักวันหนึ่ง
ชื่อเสียงความดุร้ายของกองทัพรุ่ยหลินที่แข็งแกร่งที่สุดของรัฐชี ช่างสมคำร่ำลือ ขอเพียงแค่พวกเขาลงมือ แม้แต่บุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดยังต้องหลั่งน้ำตาร่ำไห้
จวินอู๋เสียยืนนิ่งขณะที่อยู่หน้าประตูวังหลวง สายลมเย็นในยามราตรีพัดมาจากทางด้านหลังของนาง เด็กสาวปรายตามองขึ้นไปยังฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนกำแพงวัง
ฝุ่นคลุ้งตลบขึ้นมา ขณะที่ทหารควบม้าวิ่งเข้ามาหยุดอยู่ข้างๆ จวินอู๋เสีย เสียงร้องแหลมที่คล้ายสุกรถูกเชือดก็ดังขึ้นก่อนที่เขาจะถูกโยนลงไปที่พื้นข้างๆ เสี่ยวเฮยไม่ต่างกับเดรัจฉาน
ฮ่องเต้ทรงจำตัวตนของบุรุษผู้นั้นได้ในพริบตาว่าเขาคือบิดาของกุ้ยเฟย พระมารดาแท้ๆ ผู้ให้กำเนิดองค์ชายรอง! ก่อนที่ตระกูลของอดีตฮองเฮาจะตกต่ำและล่มสลายไป บุรุษผู้นี้ก็ได้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ยิ่งแล้ว ยิ่งหลังจากการผลัดเปลี่ยนอำนาจในวังหลัง เขาก็ยิ่งมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการช่วยฮ่องเต้วางแผนโค่นล้มจวนหลินอ๋อง เรียกได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีจวนหลินอ๋องไม่น้อยไปกว่าอู๋อ๋องที่ตกตายไปอย่างน่าอนาถก่อนหน้านี้เลย
เมื่อเห็นผู้เป็นตาแท้ๆ ของเขาได้รับการปฏิบัติจากกองทัพรุ่ยหลินเช่นนี้ มั่วเซวี่ยนเฝ่ยก็ตาแดงก่ำ ตะโกนออกไปทันทีด้วยความโกรธแค้นว่า “จวินอู๋เสีย! นังผู้หญิงบ้า! เจ้าปล่อยท่านตาของข้าเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าเลิกบ้าสักทีจะได้หรือไม่ รู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่!”
จวินอู๋เสียเสียสติไปแล้ว! นางบ้าไปแล้ว! กล้าดีอย่างไรถึงจับตัวพระสัสสุระของฮ่องเต้มาเช่นนี้ นี่นางใจกล้าถึงขั้นไหนกัน!
จวินอู๋เสียไม่ยี่หระต่อเสียงของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยแม้แต่น้อย ทำเพียงเลิกคิ้วมองเขาเบาๆ ก่อนจะกวาดสายตาและมองไปที่มั่วเฉี่ยนยวนที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชน
มั่วเฉี่ยนยวนหัวใจกระตุก คล้ายกับเลือดลมถูกสูบฉีดไปทั่วร่าง โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ทั้งสองประสานสายตากันท่ามกลางความมืดมิด
“ฆ่า!” จวินอู๋เสียสั่งโดยไม่ชายตาแลพระสัสสุระผู้นั้นสักนิด
“ไม่!” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยร้องตะโกนออกไปอย่างสุดเสียง
หลงฉียกดาบของเขาขึ้น คมดาบสีเงินยวงที่สะท้อนกับแสงจันทร์ฟันฉับลงไปบนร่างของผู้มีศักดิ์เป็นถึงพระสัสสุระของฮ่องเต้ จนร่างที่คุกเข่าอยู่บนพื้นขาดออกเป็นสองท่อน!
โลหิตสีแดงสดพุ่งกระฉูด กระเซ็นมาโดนอาภรณ์ของจวินอู๋เสีย
กลิ่นคาวเลือดอันน่าขยะแขยง ทำให้จวินอู๋เสียย่นคิ้วด้วยความรังเกียจ หยดเลือดอุ่นๆ ที่กระเด็นมาโดนชุดกระโปรงของนาง เป็นดังคำสาปร้ายที่ปลุกกระตุ้นความกระหายเลือดในกายนางให้ตื่นขึ้น
“เจ้ามันบ้า! เจ้ามันบ้าไปแล้ว! ใครก็ได้! ทหาร! ไปจับกุมจวินอู๋เสียมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ข้อหาสังหารขุนนางและเชื้อพระวงศ์คนสำคัญในที่สาธารณะ!” หลังจากได้เห็นผู้เป็นตาถูกตัดศีรษะและตายไปต่อหน้าต่อตา มั่วเซวี่ยนเฝ่ยก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง เขาชักดาบที่เหน็บอยู่ตรงเอวออกมาแล้วชี้ไปที่หน้าของจวินอู๋เสีย ดวงตาจ้องเขม็งไปที่นางอย่างดุร้าย
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดๆ จากเด็กสาว มีเพียงเสียงของสายลมหนาวยามราตรีที่ดังหวีดหวิวส่งมา
ฮ่องเต้ประทับอยู่บนกำแพงวังหลวงด้วยสายพระเนตรที่ว่างเปล่า ผู้คนที่ยืนอยู่บริเวณโดยรอบไม่มีใครกล้าส่งเสียงแม้แต่คนเดียว พวกเขาต่างจับจ้องไปที่จวินอู๋เสียด้วยสายตาที่สยดสยอง
ไม่เว้นแม้แต่กองทัพรุ่ยหลินภายใต้การนำของนาง พวกเขาก็ยังคงมองฉากที่เกิดขึ้นหน้าประตูวังด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน