”คุณชาย พวกเรามาจากเมืองหลวง ตามหาคน ให้พวกเราเข้าไปพักดื่มน้ำชาสักหน่อยได้ไหม เงินทองย่อมไม่เอาเปรียบคุณชาย” หนึ่งในบ่าวเห็นว่าคนมาเปิดประตูครั้งนี้เป็นชายหนุ่มท่าทางสุขุมเย็นชา จึงยิ้มกล่าวเอาใจ พร้อมกับควักก้อนเงินออกมาจากแขนเสื้อ เขาเชื่อว่าคนตรงหน้าต้องรีบเชิญพวกตนเข้าไปพักด้านในอย่างเกรงใจแน่นอน พ่อบ้านใหญ่กับแม่นมอายุขนาดนี้ ยืนตากแดดแรงเช่นนี้ จะทนไหวได้อย่างไร!
นับประสาอันใดกับการที่เงินก้อนใหญ่นะ หมู่บ้านยากจนเช่นนี้ ค่าใช้จ่ายในปีหนึ่งของแต่ละคนอย่างมากก็เท่ากับเงินก้อนนี้กระมัง เรื่องดีเช่นนี้ เขาไม่เชื่อว่าชายที่ดูโดดเด่นไม่เหมือนชาวนาแต่เหมือนกับเจ้านายมากกว่าผู้นี้จะปฏิเสธ
“ขออภัย ที่นี่ไม่ใช่ร้านน้ำชา ทุกท่านเชิญกลับไปได้ ด้วยรถม้าเทียมสี่ตัว ข้าว่าไม่นานก็จะถึงตัวเมืองที่เจริญรุ่งเรือง มีทุกอย่างครบครัน” หลินซือเย่าพิงอยู่หน้าประตู สีหน้าไร้อารมณ์ไล่แขก เทียบกับคำปฏิเสธซือถูอวิ๋นก่อนหน้านี้แล้ว ฟังดูยิ่งกว่าเสียอีก
“คุณชาย” บ่าวส่งเสียงเรียกอีก แต่พอเห็นกระแสเย็นเยียบรอบกายหลินซือเย่าแผ่ซ่านออกมา ก็รู้สึกได้ถึงความกดดันต้องถอยร่นกลับไปยืนข้างชายชรา
“แค่ก แค่ก…” ชายชรากระแอมไอ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ หันกลับไปมองหญิงชราที่ถูกแสงแดดร้อนแรงสาดส่องจนแทบไม่ไหวแล้ว ส่ายหน้ากล่าวว่า “กลับไปหาที่พักในเมืองก่อนเถอะ” มีเวลาไม่มาก ไม่รู้ว่าจะทันก่อนหน้า…ท่านอ๋องจะเร่งเดินทางมาหาคุณหนูสี่เจอหรือไม่…
“แต่ว่า…” หญิงชราได้ยินก็เหลือบมองไปทางเหลียงอาน เขาไม่ใช่ว่าร้อนใจยิ่งกว่าตนเองหรือ ทำไมจึงได้…หญิงชราแทบจะหมดแรงเป็นลมล้มลงแล้ว กำลังหลบแดดอยู่ข้างกำแพง
“ไม่ต้องพูดต่อแล้ว ร่างกายเจ้าทนไม่ไหวแล้ว” นับประสาอันใดกับในใจชายชราแอบคาดเดาได้แล้ว ข่าวลับที่ได้มาก็ยังไม่แน่ ในบ้านนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นคุณหนูสี่จวนอ๋องจิ้งจริง พวกเขาเดินทางมาไม่ได้หลับไม่ได้นอนด้วยความหวัง กลัวว่าจะสูญเปล่า
“อาเย่า…พวกเขา…” ซูสุ่ยเลี่ยนตามออกมาด้านหลังหลินซือเย่า มองไปยังหลายคนที่ยืนอยู่ริมกำแพง หลินซือเย่าแอบสบถด่า “ควรตาย” ก่อนที่จะปิดประตูได้ยินเสียงสนทนาของสองคนก็ชะงักฝีเท้า ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นเข้าพอดี
“คุณหนูสี่!” หญิงรับใช้ร้องตกใจ
“คุณหนูสี่!” ชายรับใช้สะอื้น
“คุณหนูสี่…” หญิงและชายชราสองคนสบตากันแล้วก็ดีใจมาก แทบไม่อยากจะเชื่อ
เผชิญหน้ากับคุณหนูสี่จวนอ๋องจิ้งที่ไม่เห็นมาปีครึ่งกำลังตั้งครรภ์หกเดือน ไม่อาจไม่กล่าวว่าสายตาพวกเขาจะตกใจเพียงใด ความคิดมากมายประดังขึ้นมามุ่งตรงไปทางหลินซือเย่า ซูสุ่ยเลี่ยนขัดขึ้น
“พวกเจ้า…จำคนผิดแล้วกระมัง…” ซูสุ่ยเลี่ยนรีบหันกลับไปมองหลินซือเย่า ก่อนจะหันกลับมามองอีกฝ่าย ตามมาด้วยอึกอักกล่าวออกมา ในใจแอบคิดว่าน่าจะเป็นไปได้มาก ก่อนหน้านี้นางก็คือคุณหนูสี่ที่อีกฝ่ายกล่าวออกมา โอ สวรรค์ หลบไปหลบมาอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้าเร็วเพียงนี้หรือ
“คุณหนูสี่…จำบ่าวไม่ได้แล้วหรือ” หญิงชราตัวสั่นเทิ้ม สาวใช้สองคนข้างกายรีบเข้าประคองเดินไปตรงหน้าซูสุ่ยเลี่ยน
ซูสุ่ยเลี่ยนส่ายหน้า “ท่านยายจำคนผิดแล้ว ข้าไม่ใช่คุณหนูสี่ที่พวกท่านเรียกกัน ข้าชื่อซูสุ่ยเลี่ยน ตอนนี้คือฮูหยินหลิน” นางยิ้มตอบ แม้ว่าในใจแอบรู้สึกผิดต่อเจ้าของร่างเดิม แต่ไม่ว่าอย่างไรไม่อาจเผยอาการประหม่าออกไป
“คนอื่นอาจจะจำผิด แต่บ่าวไม่มีทางจำผิด ท่านก็คือคุณหนูสี่จวนอ๋องจิ้ง บ่าวตามหาคุณหนูมานานถึงหนึ่งปีเต็มๆ” หญิงชราส่ายหน้าให้กับคำปฏิเสธของซูสุ่ยเลี่ยน หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ ยังมีไฝดำเม็ดหนึ่งที่ติ่งหูขวาตำแหน่งเดียวกับฉิงอี๋เหนียงมารดานาง
“ข้า…ข้าจำไม่ได้แล้ว…เรื่องเมื่อก่อน…” ซูสุ่ยเลี่ยนสองตาวูบสลดลง ในเมื่ออีกฝ่ายมั่นใจสถานะก่อนหน้าตนเช่นนี้ เช่นนั้นก็ควรเป็นคำกล่าวอ้างที่ดีที่สุดกระมัง แสร้งทำความจำเสื่อม?
“เด็กน้อยน่าสงสาร” หญิงชราเริ่มน้ำตารื้น ควักผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมออกมาซับน้ำตา “ปีครึ่งมานี้ ลำบากคุณหนูแล้ว”
“แค่ก…” หญิงชรากระแอมไอดังขึ้น คุณหนูสี่อยู่ในบ้านนี้จริงก็วางใจ หญิงชราคุยอยู่กับซูสุ่ยเลี่ยน ก่อนหันมาขมวดคิ้วมองหลินซือเย่าเสนอขึ้นว่า “แค่ก…คุณชาย เข้าไปคุยข้างในได้ไหม ข้าว่าคุณหนูสี่ทนตากแดดแรงเช่นนี้ไม่ไหว”
หลินซือเย่าสะกดอารมณ์ลง ยกมือไปคว้าซูสุ่ยเลี่ยนที่ท้องโตอุ้ยอ้ายมาประคองเดินเข้าไปด้านใน ไม่เอ่ยปากเชื้อเชิญพวกเขา แต่ก็ไม่ได้ปิดประตูใส่หน้าพวกเขา
นี่คือ…มารยาทต้อนรับแขก? หญิงชราสบตากับชายชรา ในใจยิ้มเฝื่อน
“ทุกท่าน…เข้าไปดื่มน้ำชากันก่อน ลานด้านในเล็ก รถม้าน่าจะต้องจอดด้านนอกแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนที่ถูกหลินซือเย่าประคองเดินเข้าไป หันมาเชื้อเชิญน้ำเสียงอ่อนโยน ในเมื่ออีกฝ่ายเชื่อว่านางก็คือคุณหนูสี่ของพวกเขา ตอนเที่ยงแดดแรงเช่นนี้ คงไม่อาจปฏิเสธไม่ต้อนรับพวกเขากระมัง
……
สี่คนนั่งเผชิญหน้ากันอยู่บนโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็ก
สำหรับซือถูอวิ๋น ตั้งแต่ตอนที่พวกจวนอ๋องจิ้งเข้ามา ก็ไปเอาหมั่นโถวข้าวโพดสองสามลูกรีบไปดูงานสร้างบ้านที่ด้านหลังทันที แม้ว่าไม่เข้าใจว่าพี่สาวคนสวยทำไมจึงได้ไปเกี่ยวข้องกับจวนอ๋องจิ้งได้ แต่ก่อนที่อาจารย์ลุงจะระเบิดอารมณ์ออกมา เขาว่ารีบหลบไปก่อนดีกว่า ชีวิตน้อยๆ นี้สำคัญไม่น้อย ไม่ใช่หรือ?!
“คุณหนูสี่ บ่าวกับพ่อบ้านอานเสียมารยาทแล้ว มานั่งร่วมโต๊ะกับคุณหนูสี่…” หญิงชราโบกมือให้สาวใช้ข้างกายสองคนถอยไป มองซูสุ่ยเลี่ยนด้วยสายตาเมตตา
“ทั้งสองท่านอย่าได้เกรงใจ สถานะคุณหนูสี่ที่พวกท่านกล่าวถึง ข้าจำไม่ได้สักนิด แต่ว่าทั้งสองท่านเดินทางมาไกลจากเมืองหลวงเฟิงเฉิง เดินทางมากันยากลำบากแล้ว…”
ซูสุ่ยเลี่ยนรินน้ำชาให้พวกเขาสองคน พลางกล่าวอ่อนโยน
เมืองหลวงเฟิงเฉิง นางเคยดูจากแผ่นที่แผ่นดินต้าหุ้ย ห่างจากที่นี่หนึ่งพันสามร้อยลี้ รถเทียมม้าสี่ตัวลากวิ่งมาไม่หยุดพักค้างแรม อย่างน้อยก็ต้องสองคืน นับประสาอันใดกับการที่สองคนตรงหน้า คนหนึ่งเจ็ดสิบได้ อีกคนรวมกันก็ร่วมร้อย ลำบากพวกเขาแล้ว
“ความห่วงใยคุณหนูสี่ บ่าวน้อมรับไว้ด้วยใจ เพียงแต่ท่านอ๋อง…คุณหนูสี่ รับอาหารกลางวันแล้วตามบ่าวสองคนกลับไปพบท่านอ๋องเฒ่าได้ไหม” ชายชราอดร้อนใจไม่ได้ จึงถามออกมาตรงๆ
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็อึ้งไป เงยหน้ามองไปทางหลินซือเย่าข้างๆ เห็นเขาหน้าตาขมวดคิ้วอยู่ไม่คลาย ก็กล่าวว่า “พ่อบ้านอาน ท่านดูสภาพร่างกายข้า…” ท้องหกเดือนแล้ว เพราะว่าท้องแฝด เห็นชัดว่ายิ่งใหญ่กว่าปกติ
“อย่าแม้แต่จะคิด” หลินซือเย่ากล่าวน้ำเสียงคำรามออกมา ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังเหลียงอานตรงหน้า “นางใช่คนที่พวกเจ้าตามหาหรือไม่ ข้าไม่รู้ ที่ข้ารู้ก็คือนางคือภรรยาข้า ท้องนี้ลูกแฝด หากพวกเจ้าคิดเพื่อนางจริง ไม่ควรกล่าววาจาบัดซบเช่นนี้ออกมา”
“อาเย่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนเอื้อมมือไปจับหน้าตักหลินซือเย่าไว้ ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน ปลอบประโลมใจที่กำลังร้อนเป็นไฟและเป็นกังวลของเขา หันกลับไปมองเหลียงอานกับหญิงชรา ว่ากันว่าเป็นสาวใช้ที่ตามพระชายาเฒ่าออกเรือนมา
“ทั้งสองท่าน มีเรื่องด่วนหรือ” นางถามสิ่งที่คาดเดาในใจ ดูออกว่าคนตรงหน้าทั้งสองมีสถานะในจวนอ๋องไม่น้อย อย่างไรก็อายุมากแล้ว เดินทางรอนแรมมาไกลกันนานแล้ว จะทนไหวได้อย่างไร ทำไมจวนอ๋องจึงส่งพวกเขาสองคนมาตามหานาง อ้อ ไม่สิ ตามหาคุณหนูสี่พวกเขา?
“กล่าวกับคุณหนูอย่างไม่ปิดบัง หลังคุณหนูหายตัวไป ท่านอ๋องเฒ่าก็ล้มป่วย ไม่รู้ส่งสายออกตามหาร่องรอยคุณหนูสี่มากมายเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไร ตอนนี้อาการท่านอ๋องเฒ่าหนักขึ้นเรื่อยๆ ตอนไม่ได้สติก็มักเอาแต่เรียกชื่อคุณหนู พระชายาเฒ่ารู้ว่าท่านอ๋องเฒ่าคิดถึงคุณหนูมากจนล้มป่วยไม่อาจรักษาได้ ร่างกายก็ไม่อาจดีขึ้นได้ ต้นปีท่านอ๋องรับตำแหน่ง ก็คือพี่ชายคุณหนู พี่ชายร่วมบิดาต่างมารดา รับตำแหน่งอ๋องแทนท่านอ๋องเฒ่าที่ขอสละตำแหน่ง ท่านอ๋องก็ย่อมได้แต่ยอมรับตำแหน่ง ต้นปีพระชายาท่านอ๋องเซียงที่สนิทกับท่านอ๋องผ่านมาทางเมืองฝานลั่ว หยุดพักขอพรที่วัดครึ่งวัน บังเอิญได้พบกับคุณหนูเข้า พระชายาเฒ่ารีบส่งสายสืบมาสอบถามในเมืองฝานลั่วหลายเดือนมานี้ พอได้ที่อยู่แน่นอนแล้วก็รีบสั่งบ่าวและพ่อบ้านอานเดินทางมารับคุณหนูกลับ พระชายาเฒ่ามีวาจาฝากบ่าวมาบอกคุณหนูว่า ซวี่เอ๋อร์แต่ไรมาก็เป็นเด็กดีเชื่อฟัง คงไม่แค้นใจในเรื่องนี้นานนัก จวนอ๋องเป็นบ้านของซวี่เอ๋อร์ เที่ยวพอแล้วก็กลับบ้านได้แล้ว” ถ่ายทอดวาจาพระชายาเฒ่าจวนอ๋องจิ้งเสร็จ หญิงชราก็มองซูสุ่ยเลี่ยนด้วยความหวัง “คุณหนูสี่ เพราะเรื่องนี้ คุณหนูห้าจึงถูกพระชายาสั่งห้ามพูดจา ก่อนออกเรือนไม่ให้พูดจาอีก ถูกลงโทษไปแล้ว สำหรับฉิงอี๋เหนียงมารดาคุณหนูสี่…ป้ายวิญญาณก็ได้นำเข้าไปตั้งบูชาในศาลบรรพชนตระกูลเหลียงแล้ว ท่านอ๋องผู้เฒ่ากับพระชายาก็ยอมรับนางแล้ว คุณหนูสี่ คือว่า…”
“ข้าบอกแล้วว่า เรื่องก่อนหน้านี้ ข้าจำไม่ได้แล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนแอบขำพลางส่ายหน้า นางไม่ใช่แกล้งลืม แต่นางจำไม่ได้จริงๆ และก็อาจจะไม่มีความทรงจำนี้ตลอดไป
เพียงแต่พอได้ยินแม่นมเฒ่าเล่าเป็นห้วงๆ ตรงหน้าแล้ว ก็พอเข้าใจสาเหตุที่เจ้าของร่างคนก่อนแอบมาหลบคนเดียวบนเขาต้าซื่อ เหมือนมารดานางจากไป ป้ายวิญญาณมิได้เข้าไปอยู่ในศาลบรรพชนจวนอ๋อง ดังนั้นนางจึงไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นบุตรสาวนอกสมรสท่านอ๋อง? มิน่า…จึงได้ถูกวาจาคุณหนูห้าเสียดแทงใจ สุดท้ายเลือกเส้นทางหนีออกจากจวนอ๋อง ในความคิดคงไม่อยากให้ใครหาเจอ จึงหนีขึ้นไปหลบในป่าลึกบนเขาต้าซื่อ ร่างนี้จึงโดนนาง ‘ซูสุ่ยเลี่ยน’ ครอบครองหลังจากจากไป
ซูสุ่ยเลี่ยนแอบถอนหายใจ เหลียงเอินซวี่? เจ้าจะเหมือนข้าไหม ผลุบไปอยู่ที่เมืองซูโจว ยุคสาธารณรัฐจีนแทนข้า ใช้ชีวิตต่อ? จากนี้ไป เจ้าก็คือซูสุ่ยเลี่ยนคุณหนูใหญ่ตระกูลซูแห่งเมืองซูโจว ส่วนข้าก็คือเหลียงเอินซวี่คุณหนูสี่จวนอ๋องจิ้งแห่งเมืองหลวงแผ่นดินต้าหุ้ย…เช่นนี้ก็ดี ไม่ใช่หรือ
หากเป็นเช่นนี้จริง ก็หวังว่าเจ้าในอีกภพ จะหาชายที่รักและทะนุถนอมเจ้าได้เหมือนกับข้า จะดูแลท่านแม่ที่ลำบากเพื่อข้ามาค่อนชีวิตให้ดี ส่วนข้า คงทำได้เพียงเท่านี้…