บทที่ 86 เคาะประตู (ปลาย)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 86 เคาะประตู (ปลาย)

บทที่ 86 เคาะประตู (ปลาย)

แต่ลู่หยวนเพียงยิ้มเย้ยหยัน พวกเขาจะทำตัวแบบนี้ก็ช่าง ถ้ามีวินัยเสียอย่าง ย่อมมีความเชื่อฟังอยู่แล้ว!

เมื่อครู่นี้ เพียงพูดไม่กี่คำก็กดดันพวกเขาได้จนอยู่หมัดแล้ว คนแล้วคนเล่าเริ่มแสดงความจงรักภักดี

ลู่หยวนชำเลืองมองทุกคนที่นี่ จากนั้นถามว่า “ทำไมพวกท่านไม่พูดต่อล่ะ”

ทุกคนมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ผ่านไปหลายอึดใจ ผู้อาวุโสคนหนึ่งพลันลุกขึ้น ก้าวมาข้างหน้าแล้วตอบอย่างขุ่นเคืองว่า “ข้าถูกคนชั่วหวังเหิงหลอก! พวกข้าไม่ใช่คนที่เดินตามรอยวิถีมาร!”

คนที่เหลือตอบสนองคนแล้วคนเล่าเช่นกัน พวกเขาล้วนตามน้ำไปด้วย “ใช่แล้ว ๆ! ข้าไม่ใช่ผู้เดินตามรอยวิถีมาร ฟ้าดินเป็นพยาน!”

“พวกข้าไม่มีวันเชื่อฟังผู้ที่เดินตามวิถีมาร นายน้อยโปรดอย่าเข้าใจผิด”

ทุกคนแสดงความจงรักภักดีต่อลู่หยวน กล่าวเสียงดังสนั่น ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน

ลู่หยวนยื่นมือออกไป เป็นสัญญาณให้ทุกคนหยุด

“บุตรศักดิ์สิทธิ์เชื่อพวกท่านแล้ว”

ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนยิ้มให้ลู่หยวน “นายน้อยช่างปราดเปรื่องนัก!”

ชายหนุ่มเย้ยหยันว่า “ถึงข้าจะเชื่อ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกท่านจะไม่ใช่เสียหน่อย”

รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้อาวุโสแข็งทื่อ แต่ละคนลอบต่อว่าลู่หยวนในใจ

สารเลวคนนี้กล้าเล่นตุกติกกับพวกข้างั้นหรือ?!

ถึงแม้ในใจจะก่นด่า แต่พวกเขาต่างก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาใสซื่อ ดูจงรักภักดีมากยิ่งขึ้น

บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่พูดเรื่องนี้ต่อ เพียงกล่าวว่า “เพื่อแยกสำนักอักขระสวรรค์ออกจากมาร ต้องเข่นฆ่าคนของสำนักสาขาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้หมดภายในวันนี้ นับจากวันนี้ไป เรื่องของสำนักอักขระสวรรค์จะอยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยผู้คุมกฎและคณะ ส่วนหน่วยผู้คุมกฎและคณะจะต้องขึ้นตรงต่อท่านเจ้าสำนักใหญ่”

“ส่วนทรัพยากรที่เป็นของสำนัก ให้จัดสรรปันส่วนแบ่งกัน”

เมื่อกล่าวจบ ลู่หยวนก็เดินจากไป

เหลยโม่นำคนกลับสำนักงานคุมกฎ ต้องการรวบรวมคนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อทำลายสำนักสาขาตามคำสั่งของลู่หยวน

ผู้ที่ยังคงอยู่ตรงประตูสำนักใหญ่มีสีหน้าแตกต่างกันออกไป

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสรองคนของคณะก็ยืนขึ้น หันหลังแล้วถามฝูงชนว่า “พวกเราล้วนเป็นคนที่มีอายุยืนยาวถึงเพียงนี้ ควรเข้าใจความหมายของนายน้อยใช่หรือไม่?”

เมื่อคนที่เหลือได้ยินผู้อาวุโสรองของคณะพูดถึงลู่หยวน พวกเขาย่อมรู้สถานะเป็นอย่างดี

การลงมือของนายน้อย ทรงพลังยิ่งนัก

อำนาจตกมาอยู่ในมือของคณะ ผู้อาวุโสจำนวนมากที่มีสถานะสูงส่งถูกดึงไปอยู่ข้างเขาทันที ทรัพยากรของสำนักจะถูกแบ่งให้พวกเขาทั้งหมด

ผู้อาวุโสเหล่านี้หากไม่เป็นลูกน้องของอู่หมิงเสวี่ย ก็อยู่ฝั่งคณะผู้อาวุโส ทำให้ตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่เข้าไปสวามิภักดิ์ต่อลู่หยวน

หากติดตามนายน้อย ย่อมสามารถได้ชิ้นเนื้อส่วนแบ่ง ส่วนผู้ที่ขัดขืนเขา…

หลายคนจ้องมองหวังเหิง ใครจะคาดคิดว่าหวังเหิงคือผู้เดินตามรอยวิถีมาร

ทุกคนตะโกนพร้อมกันว่า “ข้าเข้าใจแล้วว่านายน้อยหมายความว่าอย่างไร”

ผู้อาวุโสรองพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “นายน้อยเป็นคนหนุ่มมีพรสวรรค์ ถึงอารมณ์ของเขาจะหุนหันพลันแล่นไปบ้าง แต่ก็มีภาพลักษณ์ของผู้ปกครองที่ดี ครั้งนี้ทุกคนห้ามมีความขัดแย้งกับนายน้อยอีก”

“วันนี้พอเท่านี้ก่อน ทุกท่านแยกย้าย”

ผู้อาวุโสรองเดินจากไปโดยเอามือไพล่หลัง ไม่อาจปกปิดรอยยิ้มบนใบหน้าได้

ทุกคนลอบกลอกตา หวังเหิงตายแล้ว คณะแตกแยก เจ้าที่เป็นผู้อาวุโสรองได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะอย่างนั้นครั้งนี้เลยเลือกช่วยลู่หยวนสินะ!

ทั้งที่ปกติเจ้าเป็นคนต่อว่าชายหนุ่มมากที่สุดแท้ ๆ!

ทุกคนกลับที่พักตัวเอง ครุ่นคิดสักพัก รู้สึกว่าไม่ได้เสียประโยชน์อะไร แถมพวกเขาได้อำนาจกับทรัพยากร นั่นไม่ใช่เรื่องแย่เลย ความไม่ชอบพอที่มีต่อลู่หยวนจึงไม่รุนแรงเท่าเดิมอีกต่อไป

ในห้องโถงของยอดเขาหลัก ใบหน้าของฉินอี่หานซีดเผือด ยันต์ของสำนักที่รอการรับรองกองอยู่บนชั้นหนังสือราวกับขุนเขา

นอกประตู มีผู้อาวุโสที่ยังคงส่งยันต์มาเพื่อรับการรับรอง

อีกด้าน ลู่หยวนกอดเทียนเม่ยเอ๋อร์ไว้ในอ้อมแขน พิงเก้าอี้พลางนอนหลับอย่างสบายอารมณ์

ฉินอี่หานเดือดดาลจนควันแทบออกหู

เดิมนางคิดว่าการเก็บตัวของเจ้าสำนักเป็นเรื่องที่เหมาะสม เมื่อหวังเหิงและสำนักสาขาถูกลบออกไปแล้ว นางก็ไม่ต้องมาจัดการเรื่องพวกนี้อีก

แต่คาดไม่ถึงว่าอู่หมิงเสวี่ยนึกครึ้มอะไรไม่ทราบ จึงเก็บตัวอีกครั้ง!

เรื่องของสำนักย่อมตกอยู่กับคุณชายลู่ หลังจากข่มขู่ ผู้อาวุโสเหล่านี้จึงให้ความเคารพ

พวกเขาจึงส่งเรื่องของสำนักให้ชายหนุ่มจัดการ

ถึงจะบอกว่าเหล่าผู้อาวุโสส่งเรื่องมาให้กับลู่หยวน แต่ความจริงพวกเขาล้วนส่งสมุดคัดลอกมาทีละส่วน เพื่อรอคำรับรองจากนางไม่ใช่หรือ?!

หลังจากอนุมัติแล้ว ผู้อาวุโสเหล่านี้ล้วนชื่นชมนายน้อยราวกับเป็นอัจฉริยะจากสวรรค์ ผู้จัดการเรื่องราวของสำนักได้อย่างเป็นระเบียบเพียงแค่ไม่กี่วัน

ส่วนนางผู้เป็นคนจัดการเรื่องเกือบทั้งหมด ได้แต่ถูกผู้อาวุโสจำนวนมากเร่งรัด

กรอด ๆ

ฉินอี่หานกัดฟันอย่างเดือดดาล

ตอนนี้ลู่หยวนพลันลืมตาขึ้น ชำเลืองมองมาทางนาง ถามด้วยความสงสัยว่า “เสียงอะไรน่ะ?”

ศิษย์พี่หญิงหยิบยันต์ใบต่อไปขึ้นมา ชำเลืองมองดูพลางตอบอย่างเกรี้ยวกราด “หนูตาย”

ชายหนุ่มอดที่จะหัวเราะไม่ได้ เขารู้ว่าหลายวันมานี้ฉินอี่หานเหนื่อยมาก จึงกล่าวว่า “เอาละ พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องจัดการเรื่องพวกนี้แล้ว”

ฉินอี่หานนิ่งไป รีบหันมามองบุตรศักดิ์สิทธิ์ทันที ดวงตางดงามเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “จริงหรือ?!”

“ข้าจะกล้าโกหกศิษย์พี่ได้อย่างไร พรุ่งนี้เก็บกวาดให้ดี อีกสองสามวัน เจ้าติดตามข้าไปตระกูลเสิ่น”

“ตระกูลเสิ่นหรือ?”

ฉินอี่หานขมวดคิ้ว จากนั้นครุ่นคิดบางอย่าง ถามว่า “ท่านอยากให้ข้าไปสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์หรือ?”

ลู่หยวนพยักหน้า “เส้นชีพจรวิญญาณของเจ้าได้รับความเสียหาย ดังนั้นอยู่สำนักอักขระสวรรค์ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก ไปสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์กับข้าเลยดีกว่า มีวิชายุทธ์อยู่ในนั้นมากมาย ย่อมต้องมีบางสิ่งที่เหมาะกับเจ้าแน่นอน”

คนฟังครุ่นคิดอย่างหนักก่อนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย มุมปากเผยรอยยิ้มออกมา

ตอนที่นางทำลายเส้นชีพจรวิญญาณด้วยตัวเอง นางตัดขาดเส้นทางที่จะรับพลังค่ายกลยันต์ แต่โชคดีที่ยังมีจิตใจอันงดงามกับเจตจำนงกระบี่อยู่ ทำให้ยังพอหาทางอื่นได้

สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์นี้นับเป็นสถานที่ที่ดี ผู้คนที่สอนสั่งล้วนเป็นยอดฝีมือสูงสุดในแผ่นดินหลัก วิชายุทธ์ที่ซ่อนเร้นอยู่ในนั้นก็เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

ที่นั่น… ความแข็งแกร่งของนางจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว

เมื่อศึกษาเรียบร้อย ก็จะเป็นวันที่นางได้กลับสู่ราชวงศ์อู๋ซวง!

ลู่หยวนพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามว่า “แหวนเก็บของของหวังเหิงคือสิ่งที่บุตรศักดิ์สิทธิ์มอบให้เจ้าเมื่อไม่กี่วันก่อน แถมเจ้าได้ไปค้นห้องของเขามาแล้ว ได้อะไรมาบ้าง”

“ข้าค้นทั้งนอกและในแล้ว ทำให้พบบางอย่างเข้า”

หลังจากกล่าวจบ ฉินอี่หานก็หยิบเศษผ้าออกมาก่อนส่งให้ชายหนุ่ม

คุณชายลู่รับมา เขาพบว่ามีร่องรอยของการถูกเผาอยู่โดยรอบ พร้อมลวดลายแปลกประหลาดอยู่ใจกลางเศษผ้า

ลวดลายนี้คุ้นตานัก ลู่หยวนนึกอยู่สักพักจึงจำได้

ลวดลายนี้เหมือนกับบนจี้หยกของฉินอี่หาน!

ผู้ฝึกกระบี่หญิงกล่าวว่า “ลวดลายนี้เป็นของราชวงศ์ เจ้าของเศษผ้านี้จะต้องเป็นสมาชิกจากตระกูลราชวงศ์ของข้า แต่ข้าไม่รู้ว่าหวังเหิงได้เศษผ้านี้มาได้อย่างไร”

“แต่มันต้องมีความหมายกับเขามากเป็นแน่ หาไม่แล้ว ทำไมต้องเก็บรักษาเศษผ้าไร้ประโยชน์ไว้ด้วย?”

คุณชายลู่พลิกเศษผ้าดูทั้งหน้าหลัง