ตอนที่ 102 ความรักของพ่อหวานเกินไป

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 102 ความรักของพ่อหวานเกินไป

มู่เถาเยายุ่งมากในวันนี้

เข้าเรียน ตรวจโรค จากนั้นยังต้องมานั่งชมการแข่งขันทักษะทางการแพทย์รอบคัดเลือกอีก

งานแข่งขันทักษะทางการแพทย์ระดับนานาชาติกำลังจะมาถึงในไม่ช้า และประเทศเหยียนหวงต้องคัดเลือกนักศึกษาห้าคนที่มีศักยภาพมากที่สุดเพื่อเข้าร่วมงาน

เมื่อมู่เถาเยากลับจากมหาวิทยาลัย ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดสนิท และคนตระกูลตี้ก็ทานอาหารเย็นกันเสร็จแล้ว

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากรอเธอ แต่มู่เถาเยาบอกว่าเธอจะไม่กลับมากินข้าว

เธอจงใจพูดแบบนั้นออกไป เพราะถ้าหากเธอไม่พูด พวกเขาคงรอจนกว่าเธอจะกลับถึงบ้านถึงจะยอมกินมื้อเย็น

ดังนั้นเมื่อเธอกลับถึงคฤหาสน์ตระกูลตี้และทุกคนรู้ว่าเธอยังไม่ได้ทานมื้อเย็น พวกเขาก็เป็นทุกข์อย่างมาก พ่อแก่ๆ และพี่ชายรีบบึ่งเข้าครัวทำมื้อเย็นแสนอร่อยให้ลูกสาวและน้องสาวของพวกเขา หมายมั่นปั้นมือว่าจะให้เธอกินจนอิ่มให้ได้

อืม หน้าตาดูไม่เลวจริงๆ ดูน่าอร่อยมาก

“เสี่ยวเยาเยา ลูกพักก่อนสักหน่อยไม่ได้เหรอ ปีนี้ลูกเพิ่งอายุแค่สิบแปดปีเองนะ ทำไมถึงได้ยุ่งขนาดนี้” เย่ว์หลั่งรู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังหลั่งเลือด

แม้ว่าเขาจะอยู่ที่นี่ แต่ก็มีเพียงแค่ช่วงเช้าและช่วงเย็นเท่านั้นที่เขาได้พบหน้าลูกสาว

“หลังจบงานแข่งขันนี้ก็ไม่ยุ่งแล้วค่ะ” ถึงตอนนั้นเธอจะเอาเวลาไปเรียนและทำวิจัย

มหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูคือศูนย์วิจัยทางการแพทย์ระดับโลกที่มีอุปกรณ์และเครื่องมือทันสมัยครบครัน สะดวกอย่างยิ่งสำหรับเธอในการทดลองทางวิทยาศาสตร์

นอกจากนี้ที่นี่ยังมีสมุนไพรสดๆ อยู่เต็มคลัง ยกเว้นสมุนไพรบางตัวที่หายากมากๆ โดยพื้นฐานแล้วที่นี่มีสำรองไว้ทั้งหมด

น่าเสียดายที่สมุนไพรพิษมีค่อนข้างน้อย

เธอกำลังคิดอยู่ว่าจะหาที่ดินสักผืนแล้วสร้างสถาบันวิจัยที่อุทิศชีวิตให้กับพิษโดยเฉพาะดีไหม

ใช้พิษต้านพิษ ก็สามารถรักษาโรคได้เหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่นยาพิษที่เก่าแก่ที่สุด…สารหนู ส่วนประกอบหลักของมันคืออาร์เซนิกไตรออกไซด์

แม้ว่าจะมีพิษสูง แต่ก็เป็นยาโบราณที่สามารถรักษาโรคและรักษาอาการบาดเจ็บได้

ในศตวรรษที่ผ่านมามีการใช้สารหนู คาโรเมลราส และพิษของคางคกเพื่อรักษาวัณโรคและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แต่สุดท้ายพวกมันก็ถูกเลิกการใช้ไปเพราะความเป็นพิษของพวกมัน

จนกระทั่งในปีหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบ ได้รับการยืนยันแล้วว่าสารหนูคือส่วนประกอบสำคัญในตัวยาสำหรับรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว และปัจจุบันก็ได้ถูกพัฒนาจนกลายมาเป็นหนึ่งในสสารมาตรฐานสำหรับการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดพรอมอีโรไซส์ติก (promyelocytic leukemia)

สิ่งที่เธอต้องทำคือการฝ่าฟันและรักษาโรคให้มากขึ้นด้วยวิธีผจญเพลิงด้วยไฟ

ดังนั้นเธอจึงต้องการห้องทดลองสำหรับการศึกษาพิษโดยเฉพาะ

อันที่จริงเขตป่าชั้นในด้านหลังหมู่บ้านเถาหยวนซานก็มีห้องทดลองขนาดเล็กของเธออยู่หลังหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่มันอยู่ไกลเกินไป

“ลูกรัก?” เย่ว์หลั่งเรียกมู่เถาเยาที่นั่งถือชามข้าวแล้วเหม่อลอยเบาๆ

“น้องสาว คิดอะไรอยู่เหรอ” เยว่จือเหิงยื่นมือไปโบกที่ด้านหน้าของมู่เถาเยา

“หืม อ้อ ขอโทษทีค่ะ พอดีหนูกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องการแข่งวันนี้อยู่” หวังว่าจะมีที่ดินดีๆ สักผืนที่เหมาะกับการใช้ศึกษาพิษของเธอ

ส่วนการแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าดูชมทีเดียว มีคนหนึ่งที่เธอสนใจแต่ก็ยังต้องรอดูกันต่อไป

เย่ว์จือเหิงถาม “น้องสาว น้องจะเข้าร่วมการแข่งขันด้วยหรือเปล่า”

“ไม่ค่ะ ฉันไม่เข้าร่วม นักศึกษาที่เหมาะสมถูกเลือกไว้ครบแล้ว”

มีนักศึกษาสามคนจากมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตู คนหนึ่งจากมหาวิทยาลัยแพทย์เมืองหลวง และอีกคนมาจากโรงเรียนแพทย์ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักในเมืองแถบชายแดน

มู่เถาเยายอมรับว่าเธอค่อนข้างสนใจเด็กนักเรียนสาวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานคนนั้นมาก

เย่ว์หลั่งพูดอย่างเอาใจใส่ว่า “เสี่ยวเยาเยา ลูกกินข้าวก่อน พวกเราไม่รบกวนลูกแล้ว”

“…ได้ค่ะ”

เธอไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขารบกวน แต่เธอแค่หิวจริงๆ

คุณพ่อและพี่ชายนั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะอาหาร มองดูเธอกำลังใช้ตะเกียบคีบกับข้าวด้วยสายตาคาดหวัง

มู่เถาเยาคีบซี่โครงหมูชิ้นหนึ่งเข้าปากของเธอ ร่างเล็กกระตุกไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยายามเคี้ยวต่อโดยไม่ให้หน้าเปลี่ยนสี

สองใบหน้าหล่อเหลามองมาที่เธอราวกับจะถามเธอว่าอร่อยไหม

มู่เถาเยาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดโดยฝืนมโนธรรมในใจไปว่า “…อร่อย…ค่ะ”

รสชาติไม่ได้แปลกพิลึกหรอก เพียงแต่ว่ามันหวานเกินไป หวานไปจนถึงเส้นเลือด…

สองใบหน้าหล่อเหลาฉีกยิ้มราวกับดอกไม้ที่กำลังแบ่งบานในสวน

มู่เถาเยารีบตักข้าวเข้าปาก

คราวนี้เปลี่ยนเป็นเมนูปลาแทน ส่วนซี่โครงหมู…ช่างมันเถอะ

แต่ทันทีที่ชิ้นปลาเข้าปากของเธอ ร่างเล็กก็ผงะอีกครั้ง

ยังคงหวาน! หวานสุดๆ ! หวานจนยากจะหาคำบรรยาย!

มู่เถาเยารู้สึกว่าเส้นขนทั่วร่างของเธอกำลังลุกเกรียว!

พวกเขาคิดว่าชีวิตของเธอนั้นขมขื่นมากใช่ไหม ถึงได้เติมความหวานให้กับเธอด้วยน้ำตาลแบบนี้?

รักของพ่อนี้มันช่าง…หวาน…เกิน…ไป…แล้ว

เย่ว์หลั่งรอจนกระทั่งมู่เถาเยาเกือบจะกินเสร็จ ถึงได้พูดขึ้นอีกครั้งว่า “เสี่ยวเยาเยา ลูกใกล้ได้ใบขับขี่มาหรือยัง พี่ชายลูกตั้งใจว่าจะส่งรถต้นแบบที่เขาคิดค้นมาให้ลูกใช้กับเครื่องบินอีกลำหนึ่ง ยังมีนักบินและคนขับรถอย่างละคน”

“พรุ่งนี้ก็จะได้สอบขับรถแล้วค่ะ แต่เรื่องคนขับรถพ่อไม่ต้องส่งมาหรอก หนูจะขับเอง”

มู่เถาเยารู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถปฏิเสธรถยนต์และเครื่องบินที่พวกเขาพัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อเย่ว์จืออิ๋งได้

เห็นพวกเขาปฏิบัติต่อเธออย่างระมัดระวังและจริงใจเช่นนี้ หัวใจที่แข็งดุจเหล็กของจักรพรรดินีมู่เถาเยาพลันก็ขมฝาด

จากนี้ไปเธอจะเป็นทั้งมู่เถาเยาและเย่ว์จืออิ๋งก็แล้วกัน!

เย่ว์หลั่งรีบพูดขึ้นทันทีว่า “เสี่ยวเยาเยา ลูกไม่ต้องคิดมากเรื่องสอบหรอกนะ มันง่ายนิดเดียว พรุ่งนี้พ่อไปส่งลูกสอบขับรถได้ไหม”

“ไม่…ได้ค่ะ” เมื่อเห็นว่าผู้เป็นพ่อกำลังจะงอแงอีกครั้ง มู่เถาเยาก็รีบเปลี่ยนคำพูด

เย่ว์หลั่งยิ้มกว้างจนราวกับจะทำให้สีสันทั้งหมดบนโลกนี้หายไป

“น้องสาว ถ้าอย่างนั้นรอน้องว่างแล้ว พี่ใหญ่จะสอนน้องขับเครื่องบินนะ”

“…ได้ค่ะ” คำว่า ‘ไม่’ พูดออกมาได้เพียงครึ่งเดียวก่อนจะถูกกลืนกลับลงไปอีกครั้ง

เพราะผู้เป็นพี่ชายก็กำลังจะร้องไห้เหมือนกัน!

มู่เถาเยาซึ่งคิดอยู่เสมอว่าหัวใจของเธอแข็งกล้าราวกับเหล็กเสียกิริยาเล็กน้อย

บุคลิกของสองคนนี้…ช่างไม่เข้ากับภาพลักษณ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นต่อหน้าโลกภายนอกเลย

ไหนล่ะคุณพ่อที่เย่อหยิ่งที่ใช้ลิ้นสามนิ้ว[1] ตอกหน้าเหล่าผู้มีอำนาจในการประชุมสุดยอดเกี่ยวกับปัญหาระหว่างประเทศ

แล้วไหนคือพี่ชายที่เชิดหน้าปฏิเสธราชา กษัตริย์ และนักการเมืองจากทั่วทุกมุมโลกที่ต้องการจะบังคับซื้อเครื่องบิน รถไฟความเร็วสูง และรถยนต์ต้นแบบที่เขาคิดค้นขึ้นด้วยพละกำลังอย่างถือดี

ตอนนี้เพียงแค่เธอหายใจแรงก็เรียกน้ำตาจากพวกเขาได้แล้วมั้ง

ปู่กับย่า ตากับยายที่มาก่อนหน้านี้ยังไม่ขี้แยขนาดนี้เลย!

สีหน้าของมู่เถาเยายากจะบรรยาย

เย่ว์หลั่งเตะขาลูกชายของเขาจากใต้โต๊ะและสั่งให้เขาลุกไปปอกผลไม้หลังอาหารมาให้น้องสาว

เย่ว์จือเหิงแม้จะไม่อยากห่างจากน้องสาวในตอนนี้ แต่เมื่อคิดว่าน้องสาวกำลังกินผลไม้ที่เขาปอกให้กับมืออย่างเอร็ดอร่อย เขาก็ลุกและเดินไปที่ครัวอย่างเต็มใจ

ในห้องครัว ร่างสูงล้างและปอกผลนมหมาป่าที่มู่เถาเยาชื่นชอบอย่างคล่องแคล่ว และรีบกลับไปที่ห้องอาหาร

“น้องสาว กับข้าวยังเหลือเต็มโต๊ะเลยนะ ทำไมไม่กินเพิ่มอีกสักหน่อยล่ะ”

“…มื้อเย็นกินมากไปไม่ดีต่อร่างกายค่ะ”

คำพูดนี้เป็นความจริง แต่เธอไม่ได้กลัวหากต้องกินมากจริงๆ

ด้วยวัยของเธอ ระบบการเผาผลาญในร่างกายจึงทำงานเร็วมาก กอปรกับเธอฝึกวรยุทธด้วย เธอจึงไม่กลัวแม้จะกินจนจุกไม่ว่าจะมื้ออาหารใดก็ตาม เธอสามารถย่อยพวกมันได้อย่างรวดเร็วทั้งหมด

และแม้ว่าเธอจะกวาดอาหารทั้งโต๊ะนี้ลงท้อง เพียงนั่งปรับลมหายใจสักสองสามอึดใจ พวกมันก็จะไม่ส่งผลเสียใดๆ ต่อร่างกายทั้งสิ้น

ปัญหาคือเธอไม่ต้องการกินมัน มันหวานเกินไป!

ยกเว้นข้าวสวยและซุป อาหารเกือบทั้งหมดบนโต๊ะนี้หวานหมด!

เย่ว์หลั่ง “ลูกรักของพ่อพูดถูก งั้นถ้าลูกไม่กินข้าวแล้วก็กินผลนมหมาป่าให้มากหน่อย ผลนมหมาป่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูงและดีต่อผิว เด็กผู้หญิงควรกินให้มาก”

“อื้ม”

มู่เถาเยาหยิบผลนมหมาป่าสีขาวขุ่นขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วกินมัน ดวงตาลูกกวางกลมโตของเธอหรี่ลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเธอชอบกินผลไม้ชนิดนี้มาก

สองพ่อลูกมองการแสดงออกบนใบหน้าเล็กๆ แล้วยิ้มตาม

“ลูกรักของพ่อ ผลไม้ในเผ่าเรายังมีอีกมากมายหลายชนิด ถ้าลูกชอบกินมัน พ่อจะให้คนส่งมาให้ลูกกินสดๆ ทุกวัน!”

นอกจากผลนมหมาป่านี้แล้ว ยังมีผลไม้เปลือกหนาบางชนิดที่สามารถเก็บไว้ได้นาน ส่วนผลไม้อื่นๆ ไม่ค่อยเหมาะที่จะวางทิ้งไว้นานๆ นัก

ดังนั้นหากต้องการกินมันแบบสดๆ ก็มีแต่ต้องจัดส่งมาทุกวัน

“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ แค่ผลนมหมาป่าก็พอแล้ว”

และจะยิ่งดีกว่านี้หากเขาเปลี่ยนคำเรียกที่ว่า ‘ลูกรัก’ นั่นได้!

เธอไม่ชินที่จะฟังคำเรียกน่าขนลุกแบบนี้จริงๆ

ตั้งแต่เด็กจนโตยังไม่เคยมีใครเรียกเธอแบบนี้เลยโอเคไหม!

ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตที่แล้วหรือชีวิตนี้ เกือบทุกคนเรียกเธอว่าเสี่ยวเยาเยา

อย่างไรก็ตาม น้าเล็กอวิ๋นเคยเรียกเธอด้วยคำเรียกนี้สองสามครั้งตอนที่เขายังต้องการรับเธอไปเป็นลูกสาวบุญธรรม

บางทีนี่อาจเป็นคำเรียกคลาสสิกที่พวกคุณพ่อชอบใช้เรียกลูกสาวละมั้ง?

[1] ลิ้นสามนิ้ว เป็นสำนวนจีน ใช้เพื่อยกย่องความสามารถในเชิงวาทะศิลป์หรือผู้ที่มีผีปากเป็นเลิศ