อินกองรีบใช้เคล็ดวายุหลบหนีในพริบตาที่ราชาชนเถื่อนกำลังจะถึงตัว อาจรอดออกมาได้อย่างหวุดหวิดแต่ก็มิได้ไร้รอยขีดข่วน บริเวณที่ราชาชนเถื่อนใช้กระบองฟาดลงมาแตกเป็นหลุม
สิ่งที่น่ายำเกรงคือนี่มิใช่ทักษะพิเศษ เป็นเพียงการฟาดกระบองด้วยพละกำลังล้วนล้วนแต่ปรากฏผลที่เหนือสามัญสำนึก
ราชาชนเถื่อนเห็นว่าการโจมตีพลาดเป้า เขาชำเลืองขึ้นมองหาเหยื่อที่หลบหนีออกไปก่อนแสยะยิ้ม
“ใช้ได้”
ถ้อยคำสั้นห้วนที่แฝงด้วยความพึงพอใจ
แน่นอนวิชากายแกร่งเป็นพื้นฐานของชนเถื่อนทุกตน ประสิทธิภาพที่แต่ละตนสามารถแสดงออกมาได้ย่อมต่างกันไป ในกรณีนี้ผิวหนังทั่วร่างราชาชนเถื่อนเปลี่ยนเป็นเกล็ด ดูผิวเผินอาจธรรมดาแต่อินกองรู้สึกราวกับประชันภูเขาสูงชัน
ภูเขาที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง
ลางสังหรณ์ของอินกองบ่งบอกเขา…
ราชาชนเถื่อน… มิใช่อาชาแห่งรณการ ทว่าไอพลังที่แผ่ออกมากลับมหาศาล
หากเปรียบเทียบเรียกได้ว่าคล้ายคลึงกับมือหอกที่อินกองปะทะในซากปราสาทธันเดอร์ดูม
‘สาวกแห่งรณการ’
อินกองพึมพำ แต่เสียงที่ออกมากลับเป็นเสียงของสตรีชุดขาว
ในที่สุดอินกองก็เข้าใจ อาชาแห่งรณการได้แต่งตั้งราชาชนเถื่อนเป็นสาวกพร้อมมอบพลังบางส่วน หมายความว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์คือรณการมิใช่อาสัญ
และพ ลังบางส่วนนั้นก็คือธงแห่งรณการ
อินกองชำเลืองมองราชาชนเถื่อนหลังจากวิเคราะห์ข้อมูลเสร็จสิ้น ด้วยเหตุผลบางประการราชาเคราโตสยืนจ้องมองเขาโดยมิได้บุกเข้าโจมตี
เมื่ออ้างอิงจากในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า ราชาเคราโตสมีพละกำลังเทียบเท่าระดับพลเอก เมื่อเสริมพลังจากรณการเข้าไปยิ่งทรงพลังมากขึ้น
การปะทะโดยตรงกับราชาชนเถื่อนในสถานการณ์ที่ถูกชนเถื่อนล้อมรอบจึงเรียกว่าสิ้นคิด อินกองควรล่าถอยเพื่อให้กำลังเสริมสามารถสนับสนุนได้
อินกองใช้เคล็ดวายุตามด้วยทักษะชั่วพริบตาอีกครั้ง
ฝุ่นควันสีน้ำเงินกระจายตัวออก อินกองเคลื่อนย้ายตำแหน่งชั่วพริบตาสมชื่อตามที่คาดคิด เว้นเสียว่าทันทีที่เขาปรากฏตรงเป้าหมายก็ถูกกระแทกด้วยบางอย่างในทันที
อินกองกรีดร้องออกมา แน่นอนว่าบางสิ่งที่ฟาดใส่เขาก็คือกระบองของราชาเคราโตส!
การโจมตีพลาดเป้าไปเพียงเล็กน้อย
ราชาเคราโตสมิได้ปริปากอะไร ถึงกระนั้นอินกองก็อ่านสีหน้าของเขาได้ ‘ครั้งหน้าไม่พลาดแน่’
หนึ่งสิ่งที่ราชาเคราโตสไม่รับรู้คือ นั่นเป็นการใช้ทักษะชั่วพริบตาครั้งสุดท้ายของอินกอง
ครบ 3 ครั้งแล้ว ของวิเศษต้องใช้เวลาสะสมพลังใหม่
ย้อนกลับไปเมื่อตอนอินกองเรียกใช้ทักษะชั่วพริบตา ราชาเคราโตสก็พุ่งตัวในทันที เขาโจมตีไปยังบริเวณที่ว่างเปล่าราวกับคาดเดาได้ว่าศัตรูจะต้องมาปรากฏกายตรงนี้
เหตุผลมีสองประการ
หนึ่ง ราชาเคราโตสรับรู้จากสมุนของเขาว่าศัตรูสามารถบินและเคลื่อนย้ายกระทันหันได้ แม้จะไม่เห็นด้วยตาแต่เขาก็คาดเดาและนับรวมวิธีการต่อสู้ศัตรู
ประโยชน์จากการเคลื่อนย้ายฉับพลับคือการย่นระยะเวลาและการปรากฏตัวในบริเวณที่เหนือความคาดหมาย หากทว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไปจริงหรือ? ไม่มีนัยยะสำคัญในจุดหมายจริงหรือ?
เมื่ออยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ ทางเลือกที่ดีที่สุดย่อมเป็นการล่าถอย
ราชาชนเถื่อนรับรู้ว่าศัตรูไม่ใช่ประเภทบ้าบิ่น เขามั่นใจว่าศัตรูตนนี้ต้องเลือกถอยไปตั้งหลัก
เมื่อจะตั้งหลักก็ต้องใกล้กำลังเสริมฝ่ายตนเอง ยิ่งใกล้เท่าไรยิ่งดี
ทันทีที่ร่างเจ้าชายฉัตรกลายเป็นฝุ่นควัน ราชาเคราโตสก็มองหาตำแหน่งที่ตรงตามปัจจัยพร้อมพุ่งทะยานเข้าโจมตีใส่จุดนั้น
เหตุผลอีกประการก็คือพลังแห่งรณการ
อินกองรับรู้ถึงพลังของรณการที่แฝงในราชาเคราโตสฉันใด ราชาเคราโตสก็รับรู้ถึงพลังแห่งอาณัติที่แฝงในตัวเจ้าชายฉัตรฉันนั้น
ผลที่ปรากฏอาจคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อยเนื่องจากเป็นครั้งแรก แต่ราชาเคราโตสมั่นใจว่าครั้งต่อไปเขาสามารถเล็งจบชีวิตศัตรูได้แน่นอน
เคล้ง!
กลับมา ณ ปัจจุบัน ราชาเคราโตสเข้าโจมตีใส่ศัตรูที่เสียหลัก
อินกองเค้นลมปราณปัดป้องทิศทางการโจมตีราชาชนเถื่อน การปะทะของพลังทั้งสองเกิดแรงระเบิด ลดพลังทำลายจากการโจมตีของราชาชนเถื่อนลงได้
ถึงกระนั้นการโจมตีจากราชาชนเถื่อนก็ยังคงแฝงพลังทำลายที่มากโขอยู่
อินกองกระเด็นกระแทกพื้นอีกครั้งจากการปะทะ
อินกองหายใจไม่ออก สายตาพร่ามัว แขนขาไร้เรี่ยวแรง สมองไม่สามารถแยกประสาทซ้ายขวาได้
stun!
“ย่าฮ์!”
ราชาชนเถื่อนร้องคำรามกระโจนเข้าจู้โจมศัตรูที่ไร้ทางต่อกร
เคล้ง!
โล่ไวท์อีเกิ้ลบินกลับมาปัดป้องการโจมตีไว้ได้อย่างทันท่วงที ทว่าด้วยพลังของราชาเคราโตสทำให้คลื่นพลังบางส่วนยังส่งผ่านกระแทกไปยังอินกอง เขากระอักเลือดออกมา
ราชาชนเถื่อนหัวเราะ
เคล้ง!
การโจมตีครั้งที่สามเป็นการฟาดจากข้างบนลงมา ไวท์อีเกิ้ลยังคงพยายามปกป้องเจ้านายแต่จากทิศทางการโจมตีทำให้มันถูกปัดกระเด็นลงกับพื้น สภาพของโล่ดูไม่สู้ดีนัก มีรอยแตกใหญ่ในบริเวณที่รับการโจมตี
ราชาชนเถื่อนมองโล่ที่แน่นิ่งไม่ขยับพลางง้างกระบองของเขาเตรียมจัดการอุปสรรค
การโจมตีครั้งที่สี่
อินกองขยับตัวไม่ได้ เขาจึงพยายามส่งลมปราณที่หลงเหลืออยู่ไปยังโล่ไวท์อีเกิ้ล!
‘ขอบเขตสัมบูรณ์!’
ทักษะพิเศษของโล่ชีวาตม์ สามารถปัดป้องการโจมตีในอาณาบริเวณล้อมรอบตัวโล่
ทันทีที่กระบองของราชาเคราโตสฟาดใส่โล่ไวท์อีเกิ้ล แขนของเขาก็ถูกพลังบางอย่างบิดเบือนในมุมที่สุดพิสดาร เขาฟาดกระบองใส่ตัวเอง
‘นาย… ท่าน… ’
เสียงเรียกจากกรีนวินด์ขาดหาย แน่นอนว่ากรีนวินด์ในตอนนี้ใช้โล่ไวท์อีเกิ้ลเป็นที่สิงสถิต ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโล่ย้อมส่งผลกระทบต่อนางโดยตรง มิหนำซ้ำอินกองยังเรียกใช้ทักษะพิเศษของตัวโล่อีก
ผลที่เกิดช่างน่าอัศจรรย์สมชื่อทักษะพิเศษ แต่ก็แลกมาด้วยภาระกับตัวผู้ใช้ ในกรณีนี้อินกองสูญเสียทั้งลมปราณและกำลังใจ ทั้งหัวของเขาขาวโพลน การเค้นลมปราณฉับพลันส่งให้หลอดเลือดฉีกขาด ชีพจรของอินกองเริ่มติดขัด
ลมปราณแตกซ่าน/ธาตุไฟแตก
แม้จะรอดตายมาได้แต่สถานการณ์ก็เข้าขั้นวิกฤติ อินกองไม่เหลือเรี่ยวแรงขยับแขนขา แม้แต่เปลือกตาก็เริ่มหนักขึ้นทุกที
สภาพของอินกองตอนนี้ไม่ต่างจากเพราโตสเมื่อครู่
ราชาชนเถื่อนตีลังกลับตัวกลางอากาศขณะกระเด็นเพื่อลงตั้งท่า เขาชำเลืองมองเจ้าชายฉัตรแล้วมองแขนที่บิดงอของตน ราชาเคราโตสหัวเราะก่อนใช้แขนอีกข้างบิดจัดแขนข้างที่บิดงอให้เข้าที่
เรียกว่าราวกับปีศาจ จะด้วยพละกำลังที่เหนือแวนเดล การหาจุดหมายของทักษะชั่วพริบตา พลังใจที่สามารถเอาชนะความเจ็บปวดบิดจัดข้อกระดูก
ราชาเคราโตสชำเลืองมองมายังร่างเจ้าชายฉัตรอีกครั้ง ก่อนจะเบนความสนใจไปอีกทิศ
“ฉัตร!”
เสียงเรียกขานจากเคทลินหมายความว่านางเข้าใกล้อินกอง และหมายถึงพันธะระหว่างแก่นในตัวทั้งสอง
เคทลินกับคัปลานและเหล่าไลแคนโทรปจำนวนหนึ่งจัดทัพบุกฝ่าชนเถื่อนเข้ามา เพราโตสมองว่าเป็นการกระทำพลีชีพสิ้นคิดจึงปล่อยผ่านไป เขาพุ่งความสนใจรับมือกองกำลังที่เหลือ
ราชาเคราโตสหัวเราะให้กับผู้ท้าชิงรายใหม่ เหล่าไลแคนโทรปเค้นลมปราณกระโจนทะยานเข้าจู่โจม
ตูม!
กระบองถูกเหวี่ยงฟาดส่งไลแคนโทรปสามตนล้มลงกองกับพื้น เหล่าชนเถื่อนที่อยู่ใกล้เคียงเข้าโอบล้อมรอบด้านเป็นรั้ว ชมการแสดงแสนยานุภาพของผู้นำพวกตน
ถึงกระนั้นก็ไม่อาจบอกได้ว่าชนเถื่อนเหล่านี้จะเลือกเป็นเพียงผู้ชมอีกนานเพียงใด ด้านแวนเดลก็อยู่ห่างออกไป กำลังเสริมที่เหลือก็ปะทะกับเหล่าชนเถื่อนภายนอก
อินกองกระอักเลือดอีกครั้ง ด้วยสภาพร่างกายที่บอบช้ำของเขาตอนนี้ การกระตุ้นจากพันธะระหว่างแก่นจันทรากับบริวารส่งผลเสียมากกว่าผลดี
ทว่าอินกองยอมทนต่อความเจ็บปวด ความสามารถของราชาชเคราโตสสูงกว่าเคทลินมาก หากเขาไม่กระตุ้นพันธะแน่นอนว่าย่อมทำให้เคทลินเสี่ยงตาย
‘นา… ท่า… !’
เสียงกรีนวินด์เบาบางลง อินกองพยายามรวบรวมพลังใจเรียกน้ำยาฟื้นฟูออกจากช่องเก็บของ ในระหว่างนี้ไลแคนโทรปที่ล้มทั้งสามต่างจากไปด้วยน้ำมือของราชาเคราโตสเรียบร้อย
อินกองพยายามพักฟื้นร่างกายตนเองเท่าที่ทำได้เริ่มจากชีพจร แม้เคทลินจะไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก แต่นางเริ่มร้อนรนเมื่อเหล่าไลแคนโทรปทยอยล้มตายอย่างไร้ทางสู้
อินกองสงบสติทำใจให้เย็นลง
แน่นอนว่าการทิ้งเคทลินกับเหล่าไลแคนโทรปเพื่อหลบหนีไม่อยู่ในตัวเลือกแม้แต่น้อย เขาต้องมองหาหนทางช่วยทั้งตนเองและพรรคพวก
ปัญหาก็คือวิธีการ
เขาไม่เพียงต้องหลบรอดเพื่อเรียกขวัญกำลังใจทหาร แต่ต้องเอาชนะราชาเคราโตสเพื่อลดความฮึกเหิมของเหล่าชนเถื่อนอีกด้วย
สภาพร่างกายอินกองตอนนี้เรียกได้ว่ายับเยิน แม้จะฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้ในระดับหนึ่งแต่ชีพจรก็ยังสับสน
เขาต้องการบางอย่างที่นอกเหนือไปจากนี้ อะไรที่จะเพิ่มพลังในการต่อสู้แม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม
อินกองครุ่นคิดหาปัจจัยที่จะสามารถช่วยเขาได้ หลายอย่างผุดขึ้นมาในหัว
พลังจิต พลังเวท รัศมีเทพ
พลังแฝงทั้งสามอย่างนี้ของอินกองไม่อยู่ในระดับเดียวกับลมปราณ พลังเหล่านี้ไม่เพียงพอใช้สู้กับราชาชนเถื่อนได้
จำนวนไลแคนโทรปที่เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พันธะระหว่างแก่นจันทรากับบริวารถูกเค้นมากขึ้น ส่งผลให้เขากระอักเลือดอีกครั้ง
“… า… !”
กรีนวินด์พยายามส่งเสียงร้องอย่างเป็นห่วง นางปรากฏกายเนื้อเข้าสวมกอดอินกอง สภาพของนางย่ำแย่ไม่ต่างจากอินกองมากนัก ดวงตาทั้งสองเอ่อล้นด้วยน้ำตา
กรีนวินด์…
เทพารักษ์แห่งที่ราบอินคา ผู้ก่อกำเนิดจากเศษเสี้ยวของพยานอันเคล
ราวกับฟ้าผ่าลงมาจุดประกายให้กับอินกอง
‘พยานอันเคล’
แก่นมังกรของนาง…
อินกองได้ซึมซับพลังเวทจากแก่นมังกรของพยานอันเคล ผลที่เกิดขึ้นแปรสภาพร่างกายของเขาเป็นร่างมังกรจำแลง
อ้างอิงจาก Ch.48 งับ
แม้มังกรบรรพกาลจะมีพลังเทียงเคียงเทพเจ้า แต่พลังที่อินกองรับมาเป็นเพียงจากเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งเท่านั้น
ถึงกระนั้นนี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขาตอนนี้ อินกองเรียกใช้ทักษะโลหิตมังกร กระตุ้นพลังของสายเลือดมังกรที่อยู่ในตัว
ทันใดนั้นเอง
กรีนวินด์ใช้มือจับแก้มทั้งสองของอินกองให้มองตรงมาที่นาง นางยิ้มออกมาทั้งน้ำตา รอยยิ้มที่ดูศักดิ์สิทธิ์เฉกเช่นครั้งแรกที่อินกองพบกับนาง
“ข้ายอมตกภายใต้อาณัติของเจ้าอย่างสิ้นเชิง รับพลังของข้าไปเถิด อาชาแห่งอาณัติ”
เสียงกระซิบของกรีนวินด์/พยานอันเคล ก่อนนางจะจูบเข้าที่ริมฝีปากของอินกอง
กายเนื้อของกรีนวินด์ค่อยจางลง กลายเป็นสายลม
ลงทัณฑ์ ศิโรราบ ปกครอง…
พลังของมังกรบรรพกาล พยานอันเคล
แม้อินกองจะดูดซับพลังเวทจากเศษเสี้ยวแก่นมังกรของอันเคล แต่เขาก็ไม่สามารถดึงพลังทั้งหมดมาใช้ได้ ทว่าอันเคลในตอนนี้ยอมตกอยู่ในอาณัติของเขาอย่างสิ้นเชิง พลังเวทของนางในตัวอินกองก็แผ่พุ่งเข้ามารวมตัวกัน
แสงสว่างสีเขียวส่องออกมาจากดวงตาและรอยแผลทั่วร่าง แสงจากพลังเวทที่เอ่อล้นฉีกเนื้อสร้างบาดแผลเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีแสงแผดออกมามากขึ้น ความเจ็บปวดจนแทบทำให้สติหลุดลอย
super seiy… gandharva!
ภายในร่างของอินกองแสงเหล่านี้หลอมรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนชิ้นส่วนที่มีในเฉพาะเหล่ามังกร…
หัวใจของเหล่ามังกรที่เรียกกันว่า แก่นมังกร!
แรกเริ่มเดิมทีมีเพียงหัวใจของร่างคนธรรพ์เป็นสิ่งขับเคลื่อนพลังชีวิต ต่อมาก็แก่นจันทราช่วย
และในตอนนี้ก็มีแก่นมังกรเพิ่มมาอีกหนึ่ง แก่นมังกรช่วยขับเคลื่อนพลังแฝงจากสายเลือดมังกร ในตอนนี้แม้แต่พลังเวทของเขาก็แฝงไปด้วยไอพลังมังกร
[คุณสามารถควบคุมพลังของอันเคลได้อย่างสมบูรณ์]
[ทักษะ กายาชาตรี ได้รับการเสริมประสิทธิภาพ]
[ทักษะ กายาชาตรี เสริมคุณสมบัติ แก่นมังกร]
[เพิ่มระดับขั้น มังกรจำแลง]
[เพิ่มระดับขั้นทักษะ วิชาควบคุมธรรมชาติ]
[เพิ่มระดับขั้นทักษะ วิชาควบคุมธรรมชาติ]
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]
เสียงของสตรีชุดขาวดังขึ้นในหัวของอินกองเช่นเคย แสงสีขาวจากการเพิ่มระดับเลเวลลุกโชนออกจากร่างฟื้นฟูพลังชีวิตและบาดแผล
พลังแห่งอาณัติแผ่ขยายออกมามากขึ้นจากการเพิ่มระดับเลเวล
อินกองมองสำรวจโดยรอบ เศษร่างไร้ชีวิตของเหล่าไลแคนโทรป กระจัดกระจายไปทั่ว ก่อนสายตาเขาจะไปหยุดที่เคทลิน สภาพของนางย่ำแย่จนเรียกได้ว่าเป็นก้อนเลือดเสียมากกว่า
แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับอินกองดึงความสนใจของราชาเคราโตสมาที่เขา ทั้งสองประสานตากัน อินกองตะโกนร้องออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
“แก่นทั้งห้า ทำงาน!”
ลมปราณพวยพุ่งออกมาดุจระเบิด แฝงไปด้วยพลังแห่งมังกรบรรพกาล