บทที่ 105 เขาจะรักและทนุถนอมนาง
อาอินก็รีบเอ่ยขึ้นมาเช่นกัน “ข้าก็คิดถึงท่านพ่อ!”
ส่วนเผยจี้ฉือคิดว่าไม่เหมาะที่จะแย่งน้อง ๆ ที่ยังเด็กพูด เขาจึงกุมมือของเผยยวนเอาไว้เงียบ ๆ “ท่านพ่อ ตอนนี้ท่านรู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง ร่างกายเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ?”
“ทำไม ไม่มั่นใจในตัวพ่ออย่างนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเหมือนในอดีตของเผยยวน เผยจี้ฉือจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
จริงสิ เมื่อก่อนท่านพ่อก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไร หรือต่อให้ฟ้าจะถล่มลงมา เขาก็มักจะพูดว่าไม่เป็นอะไรพร้อมรอยยิ้มเสมอ
เห็นดังนั้นจี้จือฮวนจึงไม่อยู่รบกวนช่วงเวลาพร้อมหน้าพร้อมตาของพวกเขาพ่อลูกอีก นางเลือกที่จะเดินออกไปจากห้องเงียบ ๆ คนเดียว
เผยยวนมองตามนางไปโดยไม่รู้ตัว อาชิงก็รีบเอ่ยขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านโชคดีมากเลยนะขอรับ หลับไปหนึ่งตื่นอยู่ดี ๆ ก็ได้ภรรยามาหนึ่งคน”
อาอินเองก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่เจ้าค่ะ ท่านแม่ทำอาหารเป็น และยังหาเงินเก่งอีกด้วย วรยุทธ์ก็ไม่เลว เมื่อก่อนพวกเรามักจะกังวลเวลาที่ท่านอยู่ในค่ายทหารทั้งวัน พวกเราจะไม่มีคนคอยดูแล แต่ต่อไปพวกเราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีกแล้ว”
ทว่าเผยยวนถึงกับยิ้มไม่ออก เมื่อครู่นางยังบอกเขาว่าหากหายดีแล้วให้รีบไปหย่ากันอยู่เลย
แต่เมื่อเห็นอาอินที่ขี้ระแวงมาตั้งแต่เด็กเทิดทูนนางเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าช่วงที่ผ่านมานางดีกับพวกเขามากเพียงใด
ตอนที่เขาตื่นขึ้นมา ก็ได้พิจารณาดูที่พักในตอนนี้อย่างละเอียด เมื่อนึกถึงตอนแรกที่เด็กทั้งสามคนพาเขามาหาสถานที่หลบภัยเช่นที่นี่อย่างลำบากยากเย็น ต้องอดมื้อกินมื้อ ในใจของเผยยวนก็รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
เดิมทีเขาก็กล่าวโทษจี้จือฮวน ตั้งแต่ที่เขาได้สติสตรีผู้นี้ก็ชี้หน้าต่อว่าเขาว่าเป็นซากศพต่อหน้าเด็ก ๆ เสียเงินรักษาไปก็เปล่าประโยชน์ ทั้งยังทุบตีและด่าทอเด็ก ๆ ไม่ให้พวกเขากินข้าว ทั้งยังจะให้คนพาเด็ก ๆ ไปขายแลกเงินอีกด้วย
อาอินกับอาชิงโมโหนางจนร้องไห้ออกมา ก่อนเอาเรื่องของจี้จือฮวนมาบอกเล่าแก่เขาที่ข้างหู
แต่อยู่มาวันหนึ่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
เด็ก ๆ มักจะบอกเล่าเรื่องราวว่าวันนี้ได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง น้ำเสียงก็เหมือนมีความสุขมากขึ้นด้วย
จี้จือฮวนผู้นี้คงจะไม่ใช่จี้จือฮวนคนก่อนหน้านี้เป็นแน่
ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงไปได้มากเพียงนี้ ต่อให้ตอนนั้นเขาจะไม่ได้เห็นนางคนเดิมด้วยตาตัวเองก็ตาม
“พวกเจ้ารีบไปช่วยท่านแม่ทำข้าวเช้าเถอะ ข้าขอคุยเป็นเพื่อนท่านพ่อสักประเดี๋ยว”
อาอินเข้าใจได้ในทันทีว่าคงเป็นเรื่องที่ตนอยู่ฟังด้วยไม่ได้ นางจึงลากอาชิงพร้อมกับเมี้ยวเมี้ยวตัวน้อยที่ตีลังกาอยู่บนเตียงออกมาด้วย
ภายในห้องเงียบลง เผยจี้ฉือหยิบหมอนนุ่ม ๆ สอดไว้ที่ข้างหลังให้เผยยวน “ท่านพ่อ ข้ามีบางเรื่องจะพูดกับท่านขอรับ”
เผยยวนเองก็มีเรื่องที่จะถามเขาเช่นกัน
อาอินกับอาชิงอายุยังน้อย มีหลายเรื่องที่พวกเขายังไม่เข้าใจ ส่วนอาฉือหลังจากที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น ตั้งแต่วันที่รับเขามาอยู่ด้วย เขาก็ไม่เหมือนคนรุ่นราวคราวเดียวกันอีก
เผยยวนปฏิบัติต่ออาฉือเหมือนสหายคนหนึ่ง
“เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่ข้าสลบไปให้ฟังที เหตุใดพวกเจ้าถึงระเหเร่ร่อนมาอยู่ที่นี่ได้”
ทรัพย์สินส่วนตัวของเผยยวนกล่าวได้ว่าร่ำรวยจนเหลือกินเหลือใช้ อาศัยแค่รางวัลจากชัยชนะตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็มีมากมายกว่าสมบัติในท้องพระคลังเสียอีก ก่อนที่เขาจะเข้าค่ายทหารและรับการแต่งตั้งเป็นหย่งกวานโหว เขายังเป็นบุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอกของซิ่นอู๋โหวอีกด้วย ความมั่งคั่งที่รวมกันต่อให้ลูกทั้งสามคนจะกินล้างกินผลาญ เอาเงินออกมาโปรยเล่น ก็ไม่มีทางใช้หมด
เผยยวนจำได้เพียงว่าในวันที่ตนเองสลบไป เป็นวันที่มีงานเลี้ยงฉลอง
ตอนที่เขากลับมาที่จวน ท่านแม่ของเขา ท่านหญิงซ่างหยาง เซี่ยฉงฟางเป็นคนนำชาแก้เมาค้างมาให้เขาด้วยตัวเอง
ตั้งแต่เด็กเซี่ยฉงฟางก็รังเกียจเขามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกครั้งที่ท่านพ่อทำดีกับเขา เซี่ยฉงฟางภายนอกอาจจะดูยินดี แต่ลับหลังเมื่อท่านพ่อไม่อยู่ก็จะลงโทษสั่งให้เขาคุกเข่าและใช้แส้ฟาด ความสัมพันธ์ของสองแม่ลูกจึงระหองระแหงมาโดยตลอด
ดังนั้นเมื่อเซี่ยฉงฟางยอมลดตัวมาทำดีด้วย เผยยวนจึงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก หลังจากให้องครักษ์ข้างกายทดสอบพิษแล้ว เขาจึงดื่มชาแก้เมาค้างชามนั้นจนหมด
ทว่าหลังจากนั้นก็เหมือนตกลงไปในหุบเหวก็มิปาน ทุกอย่างดูสับสนวุ่นวาย
เมื่อได้สติอีกครั้ง ก็เป็นตอนที่มาอยู่ที่นี่นานมากแล้ว
เขาสงสัยว่าเซี่ยฉงฟางมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงอยากให้เผยจี้ฉือเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เขาฟัง
…
ที่แท้หลังจากที่เขาสลบไป เด็กทั้งสามคนก็ถูกคนของจวนบังคับขึ้นรถม้าเก่า ๆ ส่งตัวออกจากเมืองหลวงในคืนนั้น มาที่ตำบลเล็ก ๆ แห่งนี้
โดยอ้างว่าเขาป่วย จะให้ลูก ๆ ทั้งสามพาเขาไปพักผ่อนอย่างสงบ จนกระทั่งจี้จือฮวนถูกส่งตัวมาด้วย บอกว่าเป็นการแต่งงานพระราชทานจากฝ่าบาท
และหลังจากที่จี้จือฮวนมาอยู่ที่นี่ นางก็เคยพยายามหนีอยู่หลายครั้ง แต่ถูกคนที่ตอนนั้นยังจับตามองพวกเขาอยู่พบเข้า จึงหิ้วกลับมาและเกือบจะหักขาของจี้จือฮวนทิ้งอีกด้วย
เมื่อไม่มีทางเลือก จี้จือฮวนจึงพาพวกเขามาที่หมู่บ้านตระกูลเฉิน ภายใต้การจับตามองของคนเหล่านั้น และใช้เงินก้อนสุดท้ายที่มีอยู่เพียงน้อยนิดซื้อบ้านที่ทรุดโทรมหลังนี้
หลังจากอาศัยอยู่ในหมู่บ้านตระกูลเฉิน เมื่อเห็นว่าพวกเขามีชีวิตที่น่าสังเวชจริง ๆ และแพทย์วินิจฉัยว่าเผยยวนจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินสามเดือน คนที่จับตามองพวกเขาจึงได้เลิกราไป
“หลังจากที่ข้าแน่ใจว่าพวกเขาไปแล้ว ก็เริ่มออกตามหาลูกน้องของท่านเมื่อก่อน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรพวกเขาก็ไม่เคยมาตามหาท่านเลย ข้าอยากกระจายข่าวออกไปว่าเทพสงครามเผยยวนอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเฉิน แต่ก็ไม่มีใครเชื่อข้า ข่าวนี้ก็เลยไม่ได้รับความสนใจและไม่เป็นที่พูดถึง
ยังดี ที่ท่านแม่คนนี้รู้เรื่องการแพทย์ หากไม่ใช่เพราะนางบอกว่าสามารถรักษาท่านให้หายได้อย่างแน่นอน ข้าก็แทบจะละทิ้งความหวังไปแล้ว”
เผยจี้ฉือนึกถึงช่วงเวลาที่มืดมนในตอนนั้นแล้ว แต่ก็นึกดีใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ที่เขายังอดทนมาได้ หากว่าเขาเลิกล้มไปเสียก่อนไหนเลยจะมีวันที่ดีเช่นวันนี้?
แม้จะไม่ได้มีฐานะสูงศักดิ์ และมีคนคอยรับใช้เหมือนเมื่อก่อน แต่อย่างน้อยครอบครัวของพวกเขาก็ยังมีสุขภาพที่แข็งแรง และยังอยู่กันครบ
เผยยวนเข้าใจแล้วว่าตอนที่เขาสลบไปนั้น มีบางครั้งที่สติของเขาจะสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน เพียงแต่ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงเท่านั้น แม้แต่จะคว้าบางสิ่งก็ยังทำไม่ได้ ทว่าเมื่อคืนนี้พลังที่สะสมมาเป็นเวลานานกลับไหลวนไปทั่วร่าง ความรู้สึกเมื่อยล้าก็พลันหายไปทันที
ต้องเป็นเพราะการรักษาของจี้จือฮวนอย่างแน่นอน และรับรู้ได้ว่านางคอยดูแลเขามาโดยตลอด
การถูกบังคับให้แต่งงานกับเขาที่นอนเป็นผัก นางต้องไม่เต็มใจเป็นแน่ แต่คนแปลกหน้ากลับปฏิบัติต่อเขาดีเพียงนี้ แล้วแม่ผู้ให้กำเนิดของเขาเล่า?
เขาที่อยู่ในจวนซิ่นอู๋โหว อยู่ดี ๆ ก็หายตัวไปเช่นนี้ เซี่ยฉงฟางจะไม่รู้อย่างนั้นหรือ?
เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับนางอย่างแน่นอน เขาคิดว่าตลอดหลายปีมานี้ การที่เขาไม่ได้อยู่ที่จวนโหว แต่เลือกไปประจำการอยู่ที่ซีเป่ย และไปอยู่จวนอื่นที่ด้านนอก ไม่อยู่ขวางหูขวางตานาง ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกของพวกเขาจะดีขึ้นมาบ้าง
แต่คิดไม่ถึงว่าเซี่ยฉงฟางก็ยังอยากจะให้เขาตายอยู่ดี
และมีคนไม่น้อยที่อยากได้กองทัพเกราะเหล็กของเขา ในเมื่อลูกน้องคนสนิทยังไม่สามารถตามหาพวกเขาได้ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาอาจเจอกับเหตุไม่คาดฝัน และไม่สามารถมาตามหาเขาได้
“ตราพยัคฆ์ของกองทัพเกราะเหล็กยังอยู่หรือไม่?”
เผยจี้ฉือดวงตาเป็นประกาย “อยู่ขอรับ ข้าซ่อนมันไว้อย่างดี แต่ว่า…กองทัพเกราะเหล็กไม่อยู่แล้ว พวกเขาถูกตระกูลอื่น ๆ แบ่งไปหมดแล้วขอรับ”
เผยยวนคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นขอเพียงมีใครสักคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ แม้จะเป็นที่ทุรกันดารอย่างหมู่บ้านตระกูลเฉินก็จะไม่มีใครมาตามหาเลยอย่างนั้นหรือ??
คิดว่าเขา เผยยวนตายแล้วจริง ๆ อย่างนั้นหรือ ถึงมารังแกภรรยาและลูก ๆ ของเขาได้ตามอำเภอใจ?
เผยยวนขบกรามแน่น “ข้ารู้แล้ว ช่วงที่ผ่านมาลำบากเจ้าแล้ว”
เผยจี้ฉือเช็ดน้ำตาก่อนจะเอ่ยออกมา “ไม่ลำบากขอรับ เห็นท่านฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ทุกอย่างล้วนคุ้มค่าแล้ว”
เผยยวนกอดเผยจี้ฉือไว้ในอ้อมแขน นับว่าสวรรค์เมตตาเขาไม่น้อยแล้ว แม้เขาจะไม่เคยสัมผัสถึงความรักของแม่ แต่อย่างน้อยเขาก็มีลูกที่ดีมาก ๆ ถึงสามคน
เผยยวนมองไปนอกหน้าต่าง ฟังเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวของอาชิง ฟังเสียงบ่นของอาอินบ่นที่อาชิงที่สะบัดน้ำไปทั่ว แววตาก็เปล่งประกายขึ้นมาเล็กน้อย
ยังมีอีกคนหนึ่ง คนที่ต่อไปเขาจะต้องพยายามทำดีด้วย
ชีวิตของสตรีที่ผ่านการหย่าร้างแย่ยิ่งกว่าตอนนี้เป็นร้อยเท่า ทุกคนในโลกนี้ก็จะสามารถเหยียบย่ำนางได้ จี้จือฮวนมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อเขาและเด็ก ๆ เขาในฐานะที่เป็นบุรุษคนหนึ่ง ดังนั้นจะต้องปกป้องพวกเขาให้ดี
แน่นอนว่าถ้าไม่ถูกไล่ออก…ก็จะดีที่สุด
ส่วนคนที่รังแกและทำร้ายเขาเหล่านั้น เขาจะค่อย ๆ จัดการทีละคน