ท่านอ๋องจิ้งและพระชายาจิ้งเฟยต้องการซื้อทั้งเมืองฝานฮัวเพื่อลูกสาว เหมาซื้อพื้นที่ภูเขาละแวกเมืองฝานฮัวทั้งหมด ข่าวนี้แพร่ไปทั่วเมืองฝานฮัว
“ผู้ใหญ่บ้าน ที่ท่านเพิ่งพูดมานั้นจริงหรือ”
ชาวบ้านสิบกว่าคนที่เดิมโมโหเดือดจัดคิดมาเอาเรื่องผู้ใหญ่บ้าน พอได้ยินวาจาผู้ใหญ่บ้าน ก็พากันนิ่งอึ้งเป็นไก่ไม้ไปทันที พวกได้สติเร็วก็อดเอ่ยถามย้ำไม่ได้ กลัวว่าตนเองฟังผิดไป
“แน่นอน คนเขาเป็นท่านอ๋องตัวจริงเสียงจริงแผ่นดินต้าหุ้ยเรา จะมาหลอกพวกเราทำไม” หวังเกิงฟาสูบกล้องยาสูบที่ไม่เคยห่างกายเขาสักวันคืน กล่าวสีหน้าจริงจัง
เมื่อวานตอนเขาฟังข้อเสนอท่านอ๋องกับพระชายาที่บ้านหลินจบ ก็อึ้งไปก่อนใครแล้ว
อึ้งมาตลอดทางถึงบ้าน ถูกภรรยาเขาบิดเนื้อที่น่องไปทีหนึ่งจึงได้สติ
นี่ควรเป็นวาสนาเมืองฝานฮัวกระมัง เขาคิดทั้งคืนจนนอนไม่หลับ พอฟ้าสาง ภรรยาเขาก็บอกว่า “ในเมื่อเป็นเรื่องดี มีอะไรให้ต้องกังวล เจ้าไปถามดู เงื่อนไขดีขนาดนี้ บ้านไหนไม่ยอม?”
ใช่เลย! เขาตบหน้าขาดังฉาด จากนั้นกินข้าวเช้าอย่างรวดเร็วแล้วก็รีบไปศาล กระจายข่าวออกไปว่าท่านอ๋องเมืองหลวงต้องการซื้อทั้งเมืองฝานฮัว หากมีข้อคิดเห็นให้มาหาเขาได้
ใช่สิ หากบ้านไหนไม่เห็นด้วย แน่นอนต้องส่งคนมาหาเขาแล้ว
“มีเรื่องดีๆ อย่างนี้ที่ไหนกัน ไม่ถือครองสัญญาที่ดินของแต่ละบ้าน ยังให้เงินแต่ละบ้านเพิ่มอีกยี่สิบตำลึง? นั่นยังเรียกว่าซื้อทั้งเมืองฝานฮัว?”
“ใช่สิ หรือว่าเขายอมจ่ายห้าร้อยตำลึง ซื้อเพียงแค่ที่รกร้างติดภูเขาพวกนั้น?”
“ใช่ ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าโดนหลอกไหมน่ะ พูดจาน่าฟัง ตอนเซ็นสัญญาต้องระวังว่าไม่เหมือนที่พูดนะ”
“ใช่ๆ ไม่อย่างนั้น มีใครที่ไหนจะจ่ายเงินก้อนโตเช่นนี้เพื่อซื้อที่รกร้างข้างภูเขา? ยังบอกว่าจะขยายถนนในหมู่บ้าน สร้างสำนักศึกษา สร้างสวนดอกไม้ จุ๊ๆ พูดจาได้น่าฟังนะ แต่ว่ากลัวว่าหลอกลวงน่ะสิ”
“ข้าก็รู้สึกนะ ผู้ใหญ่บ้าน เมืองฝานฮัวพวกเรามีที่นาดีนับพันหมู่ไม่สู้เมืองชิงเถียน และมีผลผลิตสัตว์น้ำไม่เหมือนเมืองลั่วสุ่ย ที่รกร้างพวกเราก็มีมากกว่าที่นาดี แม่น้ำมีแค่สายแคบๆ ผู้ใดอยากเอาเงินมาทุ่มเทให้เสียเปล่า ซื้อแล้วสร้างแต่บ้านหรือ”
“ถูกต้อง”
เอ๋? น้ำเสียงผู้ใหญ่บ้านเริ่มโมโหขึ้นมาตอนไหนกัน?
“บุตรสาวข้าไม่อยากไปจากเมืองฝานฮัว ดังนั้นคิดซื้อที่รกร้างรอบภูเขามาสร้างจวนตากอากาศประจำจวนอ๋อง พี่น้องทุกท่านยังมีคำถามอะไรสงสัยอีกไหม หรือว่ามีเงื่อนไขอะไรต้องการอีก ก็บอกมาทีเดียว ข้าย่อมทำให้ทุกท่านพอใจ”
ที่แท้ท่านอ๋องเหลียงเสวียนจิ้งกับเฟิงไฉ่อวิ้นภรรยาเขาไม่รู้มายืนอยู่หน้าประตูศาลเมืองฝานฮัวตอนไหน คิดว่าคงได้ยินที่พวกชาวบ้านเจ้าพากันพูดจาสงสัยกันคนละคำสองคำ
หวังเกิงฟาลุกขึ้นเชื้อเชิญพวกเขาเข้ามาในห้อง ลากม้านั่งยาวสองตัวมาให้พวกเขานั่ง
ศาลเดิมมีไว้เป็นที่ปรึกษาหารือ ในห้องมีสิ่งของประดับประดาตกแต่ง นอกจากโต๊ะแปดเซียนที่เป็นโต๊ะแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสนั่งได้ด้านละสองคนรวมแปดคน ที่เหลือย่อมเป็นม้านั่งยาวสี่ตัว
“นี่อย่างไร ท่านอ๋องและพระชายามาอธิบายความสงสัยให้ทุกคนด้วยตนเองแล้ว พวกเจ้ามีข้อสงสัยอะไรก็ถามออกมาได้เลย หากวันนี้มีโอกาสดีเช่นนี้แล้วไม่ถาม พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าของเมืองฝานฮัวก็คือจวนอ๋องจิ้งแล้ว”
หวังเกิงฟาเห็นคนที่เสนอทั้งสองคนมาถึงก็หันไปยิ้มให้กับทั้งสองแล้ว ก่อนเตือนให้ชาวบ้านที่กำลังอึ้งงุนงงได้สติกัน
“พวกเจ้าวางใจได้เลย ข้าซื้อเมืองฝานฮัว ก็เพื่อสะดวกต่อการปรับปรุงเมืองนี้ให้ดียิ่งขึ้น สำหรับชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเจ้า ข้ารับปากว่าจะไม่ข้องเกี่ยวอย่างเด็ดขาด พวกเจ้าอยากจะอยู่ต่อไป เช่นนั้นที่นาและบ้านก็ยังเป็นของพวกเจ้า นอกจากจะให้พวกเจ้าครั้งแรกยี่สิบตำลึงแล้ว จากนี้จวนอ๋องจิ้งจะเสียภาษีทุกปีให้ด้วย หากพวกเจ้าคิดจะย้ายออกจากเมืองฝานฮัว เช่นนั้นก็จะให้ราคาที่ดินหมู่ละยี่สิบตำลึง โอนสัญญาที่ดินเป็นของจวนอ๋องจิ้ง แน่นอนได้แต่โอนให้จวนอ๋องจิ้ง ห้ามแอบโอนให้ผู้อื่น เหอๆ…” เหลียงเสวียนจิ้งบอกเจตนารมณ์ของเขาเสร็จ ก็หันไปสบตากับเฟิงไฉ่อวิ้น ใจกว้างพอแล้วไหม คิดว่าเขาเป็นถึงอ๋องจิ้ง ต้องมาเจรจาเงื่อนไขเสียงอ่อนกับคนเหล่านี้ คิดแล้วก็รู้สึกอัดอั้นไม่น้อย
เฟิงไฉ่อวิ้นอมยิ้มยื่นมือไปกุมมือเขาไว้ บีบมือเขาเบาๆ ปลอบใจเขาที่ใกล้จะทนรำคาญไม่ไหวแล้ว
“ที่ท่านอ๋องพูดมาจริงหรือ หากพวกเราอยู่ที่นี่ต่อไปอีกหลายรุ่น ภาษีทุกปีก็ไม่ต้องรับภาระ ยังมีเงินยี่สิบตำลึงให้อีกด้วยหรือ” ฟางต้าเซิงที่พอจะใจกล้าก็ถามสิ่งที่ติดค้างในใจออกมาเสียงดังฟังชัด
“ถูกต้อง” เหลียงเสวียนจิ้งสบถเสียงใส่โดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง
“ท่านอ๋อง เช่นนั้นที่บ้านสองหมู่ ที่นาดีสี่หมู่ หากต้องการย้ายออกจากเมืองฝานฮัวก็ต้องจ่ายให้พวกเราร้อยยี่สิบตำลึงเงิน? ส่วนพวกเครื่องเรือนก็ย้ายไปได้ด้วยหรือ” นางตระกูลฮัวยิ้มร่าถามแทรกขึ้นทันที
พวกเขาทั้งบ้านอยากจะย้ายไปเสวยสุขในเมืองเป็นคนเมืองชีวิตสะดวกสบายกันนานแล้ว ตอนนี้มีโอกาสดีเช่นนี้ ย่อมต้องคว้าเอาไว้ให้มั่นแล้ว
“ถูกต้อง” เหลียงเสวียนจิ้งเริ่มทนรำคาญไม่ไหวแล้ว หากรู้อย่างนี้ก็จะพาเหล่าอานมาด้วยแล้ว เรื่องพวกนี้เหมาะกับพ่อบ้านอานที่ทนรำคาญได้ดีที่สุดมาจัดการแทน
“มีเรื่องดีเช่นนี้ด้วยหรือ”
“นั่นสิ แล้วจะย้ายหรือไม่ย้ายดี”
“ข้าว่าไม่ย้ายดีกว่า ยี่สิบตำลึงก็ไม่น้อยแล้ว ชีวิตนี้ไม่เคยมีเงินในมือมากขนาดนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าทุกปียังไม่ต้องไปเสียภาษีอีก…”
“ข้าก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน มีจวนอ๋องจิ้งคอยดูแล้ว วันหน้าก็ไม่ต้องกลัวพวกโจรมาโจมตีแล้ว”
“แต่ตระกูลฮัวนั่นได้ไปทีร้อยกว่าตำลึงเลยนะ…”
“เจ้าอิจฉา? เช่นนั้นเจ้าก็ย้ายไปสิ”
“ก็แค่พูดๆ เท่านั้นไหม…”
“ข้าว่าย้ายไปไม่คุ้ม ไม่ได้ยินท่านอ๋องว่าหรือ เขายังจะปรับปรุงก่อสร้างนะ ตอนนั้นไม่แน่เมืองฝานฮัวอาจเหมือนสวนดอกไม้ก็ได้”
“ใช่ๆ ยังมีสำนักศึกษาฝานฮัว ลูกหลานเราไม่แน่ก็จะมีโอกาสได้เข้าเรียนกันสักสองปี…”
“อืม ข้าว่าจะอยู่ต่อ…”
……
ทุกคนในห้องโถงใหญ่ศาลส่งเสียงหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันไม่หยุด
สุดท้ายผู้ใหญ่บ้านเห็นสีหน้าอ๋องจิ้งเริ่มเคร่งเครียดก็รู้ว่าเขาเริ่มทนรำคาญไม่ไหวแล้ว ด้วยนิสัยท่านอ๋อง จริงๆ ก็พอคาดเดาได้ ขอเพียงดูสีหน้าเขาก็พอรู้ได้แล้ว แต่กับหลินซือเย่าลูกเขยเขา ต่อให้หวังเกิงฟาดูก็ไม่รู้ว่าคิดอะไร นั่นเป็นบุคคลระดับน่ากลัวแท้จริง
“เอาละๆ ทุกคนกลับบ้านไปหารือกันก่อนแล้วกัน ตอนบ่ายยามเซินมาลงชื่อกับข้าที่นี่ หากเลยยามเซินยังไม่มาลงชื่อก็ถือว่าอยู่ต่อนะ” หวังเกิงฟาเคาะกล้องยาสูบลงกับโต๊ะแปดเซียน กล่าวกับทุกคน
พวกชาวบ้านพากันเฮโลกลับบ้านตนเองไปหาภรรยาและผู้อาวุโสในครอบครัวเพื่อหารือเรื่องนี้
“เหอๆ…ท่านอ๋อง พระชายา ทำไมถึงมากันที่นี่ อากาศตอนนี้จะเปลี่ยนก็เปลี่ยน ดูท่าหิมะใกล้ตกแล้ว”หวังเกิงฟาฉีกยิ้มเทน้ำชาร้อนที่เพิ่งชงให้เหลียงเสวียนจิ้งกับเฟิงไฉ่อวิ้นสองถ้วย
“ศาลนี่ก็ควรรื้อแล้วสร้างใหม่ได้แล้ว” เก่าเกินไปแล้ว เหลียงเสวียนจิ้งมองในห้องรอบหนึ่งแล้วก็ได้ข้อสรุปเช่นนี้
มองลานด้านนอกดูสะอาดสะอ้าน ไม่คิดว่าด้านในจะเก่าทรุดโทรมเช่นนี้
“ที่นี่เคยเกิดเพลิงไหม้ครั้งหนึ่ง หลังเกิดเรื่องก็ไม่ได้จัดการซ่อมแซม หนึ่งเพราะขาดแคลนเงินทอง สอง เพราะโอกาสหารือกันมีไม่มาก” หวังเกิงฟาพยักหน้ายอมรับพลางอธิบายกับเหลียงเสวียนจิ้ง
ชาวเมืองฝานฮัวก็ไม่ได้มาก ส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตสงบเงียบของตนเองไปวันๆ ไม่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวกัน อย่างมากก็มีปัญหาเพื่อนบ้านเล็กๆ น้อยๆ หากมีปัญหารุนแรงสะสมก็ย่อมให้เขาที่เป็นผู้ใหญ่บ้านออกหน้าไกล่เกลี่ย เรียกให้พวกเขามาคุยกันที่ศาล หลายสิบปีมานี้ก็มีไม่กี่ครั้ง
“หากท่านอ๋องต้องการสร้างศาลใหม่ พวกเราย่อมยินดี เหอๆ…” อย่างไรผู้ใหญ่บ้านก็ยังเป็นเขา หวังเกิงฟาย่อมยินดีที่จะได้นั่งอยู่ในศาลใหม่เอี่ยมวาววับแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน
……
เช้าวันหนึ่ง ผู้ใหญ่บ้านหวังเกิงฟาก็นำเรื่องที่เมื่อวานตรวจสอบกับซุนโหย่วเม่าถึงสภาพการครองที่นาและบ้านในหมู่บ้านรายงานต่อเหลียงเสวียนจิ้ง
เมืองฝานฮัวตอนนี้ทั้งหมดยี่สิบเก้าครัวเรือน มีเพียงสามครัวเรือนที่คิดจะย้ายออก หนึ่งในนั้นย่อมไม่ต้องพูดถึง ก็คือตระกูลฮัวที่อยากจะไปอยู่ในเมืองนานแล้ว อีกสองครัวเรือนก็คือแปดเก้าปีก่อนบ้านเกิดน้ำท่วมใหญ่จึงได้หนีรอนแรมกันมาตั้งรกรากที่นี่ ตอนนี้พอเห็นบ้านและที่นาแลกเป็นเงินได้เกือบร้อยตำลึง จึงตัดสินใจกลับบ้านเกิดไปสร้างบ้านใหม่ดีกว่า อย่างไรสุสานบรรพชนก็อยู่ที่นั่น วันเชงเม้งไปไหว้รำลึกย่อมสะดวกกว่า
“เช่นนั้นก็จัดการเช่นนี้แล้วกัน รอเอินไจ่มาก็เซ็นสัญญากันแล้วก็มอบเงิน ปีหน้าเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิก็ลงมือทำงานได้” เหลียงเสวียนจิ้งจิบชาหอมไปแล้วก็พยักหน้ากล่าว
ที่ต้องรอเอินไจ่มาจัดการก็เพราะว่าตราประทับจวนอ๋องจิ้งตอนนี้ให้ลูกชายคนโตเหลียงเอินไจ่เก็บไว้หมด
ด้วยชื่อเสียงจวนอ๋องจิ้งซื้อจวนพักตากอากาศสักแห่ง ปลอดภัยและง่ายกว่าเขาซื้อส่วนตัวเสียอีก
กฎหมายแผ่นดินต้าหุ้ยกำหนดให้อ๋องระดับหนึ่งมีสิทธิพิเศษ เลือกจวนตากอากาศได้หนึ่งหรือสองแห่ง แน่นอนว่าภาษีในพื้นที่จวนพักตากอากาศย่อมต้องเก็บกับจวนอ๋อง พื้นที่จวนพักตากอากาศห้ามเกินจวนอ๋อง หากวันใดจวนพักตากอากาศตั้งขึ้นแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของจวนอ๋อง บุกรุกจวนพักตากอากาศอ๋อง ก็เท่ากับบุกรุกจวนอ๋อง โทษหนักหนาสาหัสมาก
เหลียงเสวียนจิ้งก่อนหน้านี้ไม่เคยสร้างจวนพักตากอากาศ หนึ่งเพราะไม่มีเวลา สองเพราะไม่ว่างมาพักตากอากาศ
ตอนนี้ดีเลย ตามหาลูกสาวเดิมที่คิดว่าจากไปแล้วคืนมาได้ ยังได้ใจภรรยาที่เหินห่างกันไปสิบกว่าปีกลับมาอีก ยังได้ปลดภาระจากตำแหน่งอ๋องอีก ตอนนี้หน้าที่เพียงแค่ในนามไม่มีงานอะไรให้ทำ วันหน้าเขามีโอกาสได้อยู่ร่วมกันกับภรรยาและลูกสาวลูกเขยที่นี่แล้ว
จะว่าไปหากเหลียงเสวียนจิ้งแอบซื้อทั้งเมืองฝานฮัวก็ได้ แต่ลูกเขยเขาต้องไม่เห็นด้วยแน่ คิดว่าเขาใช้กำลังรังแกคนอ่อนแอกว่า
แม้ว่าเขาไม่เห็นว่าลูกเขยเขาจะอ่อนแอตรงไหน ดูก็รู้ว่าเป็นผู้มีวิทยายุทธบนแผ่นดินต้าหุ้ยที่หาได้ยากทำให้เหลียงเสวียนจิ้งไม่เชื่อว่าหลินซือเย่าเป็นพวกอ่อนแอไร้สามารถ ก็แค่มังกรที่ยังไม่ได้ผงาดเท่านั้น
ดังนั้นเขาต้องซื้อเมืองฝานฮัวแค่ในนามจวนอ๋องจิ้งแบบนี้ เพื่อเป็นวิธีปกป้องลูกสาว ลูกเขยจึงได้เห็นด้วยอย่างยินดี
เฮ้อ เหลียงเสวียนจิ้งส่ายหน้าอย่างเสียไม่ได้ เพื่อไม่ให้ผิดต่อลูกสาว สิบหกปีนี้ นิสัยเลือดร้อนของเขาก็เย็นลงมากแล้ว
ดีที่ที่นี่ห่างไกลพระเนตรพระกรรณ บรรดาสหายปากร้ายไม่รู้สถานการณ์ตอนนี้ของเขา รอให้เขากลับไปเมืองหลวง เขาสาบาน เขาจะต้องกลับไปเป็นท่านอ๋องทรงอำนาจคนเดิม ไม่ยอมให้พวกเขาหาเรื่องมาหัวเราะใส่เขาอย่างเด็ดขาด
โดยเฉพาะพระชายาเขาที่จัดการยากยิ่งกว่าตอนแต่งกันใหม่ๆ เสียอีก อยู่ที่นี่เขายอมให้นางทุกอย่าง ตามใจนาง รอกลับจวนอ๋องที่เมืองหลวง เขาจะต้องให้นางยอมก้มศีรษะรับผิดให้ได้ ไม่อย่างนั้น หน้าตาเขาคงเสียหายหมดสิ้นกันพอดี