บทที่ 128 – Time paradox

 

เมื่อโลกสีขาวโพลนนั้นปรากฏขึ้นต่อหน้ามิวแล้ว หลังจากผ่านไปชั่วครู่เดียวแสงสว่างก็วาบผ่านร่างกายของมิว

ส่งผลให้มิวหลุดมาจากห้องสีขาว.. เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งมิวก็ยืนอยู่ในโลกเขียวขจีที่มีเพียงสิงสาราสัตว์ที่อยู่รอบๆ

เธอเห็นเพียงความสงบสุขที่เขียวขจีเพียงเท่านั้น.. ด้านข้างมิวมีเทรต้าที่นอนไม่ได้สติอยู่บนพื้นหญ้า และไม่ใช่แต่เทรต้า

แต่ยังมีคนอีกหลายคนที่นอนไม่ได้สติอยู่ตรงนี้ ซึ่งแม้มิวจะไม่ค่อยรู้จัก แต่เธอก็เคยบางคนตอนศึกษาเกี่ยวกับโลกนี้อยู่บ้าง

บางคนก็เป็นคนที่มีอารยธรรมที่ทรงพลัง บางคนก็มีอันดับที่สูง.. ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นคนเก่งไม่ผิดแน่ ต่างพากันนอนหลับไม่ได้สติอยู่ในที่แห่งนี้

มิวมองทุกคนด้วยสีหน้าสับสนเล็กน้อย ยังไม่ทันได้ทำอะไรเบื้องหน้าของมิวก็มีการรวมตัวกันของแสงเกิดขึ้น

ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียว เพราะทันทีที่แสงรวมตัวกันมันก็กลายร่างเป็นร่างของเทพธิดาที่มิวเคยเจอ

เจ้าของหรือผู้ดูแลหอคอยแบบนี้ เทพธิดาสาวรู้สึกผิดไม่มากก็น้อย ทำให้เธอไม่สามารถมองหน้ามิวตรงๆ

“ทุกอย่างเป็นฝีมือเธอเหรอ?”

“ถ้าข้าปฏิเสธเจ้าจะเชื่อข้าไหมล่ะ สหาย”

“ก็คงอาจจะเชื่อและไม่เชื่อ”

“ข้าไม่ใช่คนกำหนดสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาหรอกนะ ข้าเพียงแค่รู้อนาคตบางอย่างจากคนคนนั้นเท่านั้น”

“…..”

มิวไม่ได้ตอบอีกฝ่าย พอพูดถึงเรื่องดังกล่าวมิวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบ แต่เธอก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้อย่างรวดเร็ว

แม้อยากจะโทษคนอื่นเต็มที่ขนาดไหน มิวก็รู้ตัวดีว่า… ทุกอย่างมันคือสิ่งที่มิวทำ หากตัดเรื่องที่ว่ามีใครควบคุมทุกอย่างไว้แต่แรก

ทุกอย่างมันก็คือความผิดของมิวนั่นแหละ ยิ่งขึ้นมาชั้นสูงๆ มิวยิ่งมั่นใจว่าการกระทำในอนาคตของตัวเองนั้นมีผลลัพธ์ให้เกิดสิ่งที่อยู่ในอดีต

“แล้ว.. การที่เธอโผล่ออกมาแบบนี้แสดงว่ามีเรื่องจะบอกใช่ไหม อยากจะพูดอะไรก็รีบๆ พูดมาฉันจะได้รีบจบหอคอยบ้าๆ นี่สักที”

“ที่ข้ามา..ในครั้งนี้ก็เพื่ออธิบายทุกอย่างที่สหายข้ายังค้างคาให้เข้าใจ”

“อธิบาย?”

“ใช่.. แต่ช่วยตกลงกับข้าก่อนเรื่องนี้ห้ามเอาไปบอกใครเด็ดขาด ไม่ว่าจะใครก็ตาม ทุกที่ทุกเวลา ‘พวกเขา’ มองพวกเราอยู่เสมอ.. หากเรื่องที่เจ้ารู้ความจริงละก็…”

“…..”

ดวงตาของเทพธิดามองมาที่มิว สายตาของเธอไม่ใช่สายตาของศัตรู เป็นสายตาของคนที่รู้สึกผิดอย่างแท้จริง

ทำไมมิวจะไม่เข้าใจ เพราะก่อนหน้านี้เธอก็ทำสีหน้าแบบนี้ ตอนที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ทุกคนบนโลกนี้ต้องตาย

แต่มิวก็แค่ไม่รู้จะโทษใคร.. แค่ตัวเธอคนเดียวมันไม่เพียงพอในการรับโทษที่ทำให้คนกี่แสนกี่ล้านต้องตาย

มันออกจะงี่เง่าไปนิด.. แต่หากความจริงที่ว่ามิวรู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังเดินไปตามที่มีคนควบคุมอยู่จริงๆ

ความคิดมากมายตีกันในหัวของมิวแต่เธอก็ถอนหายใจออกมา..

“ฉันเข้าใจแล้ว”

เมื่อได้ยินแบบนั้นเทพธิดาสาวก็ทำสีหน้าโล่งอก เหมือนกับว่าแค่เธอพูดคำพูดว่าจะบอกความจริงเมื่อครู่นี้ ก็ทำให้เธอตกที่นั่งลำบากแล้ว

“ก่อนอื่นข้าจะขอเอ่ยนามของข้าก่อนแล้วกัน.. นามของข้าคือ เลวิเนสต้า แต่เพราะเป็นเทพธิดาไร้นาม ข้าจึงไม่ควรขานนามตนเองต่อหน้าผู้อื่น”

“เข้าเรื่องดีกว่า จะเริ่มจากเรื่องไหนก่อนดีล่ะ.. เอาเป็นเรื่องของโลกนี้ก่อนดีมั้ย เรื่องของโลกที่ถูกปีศาจจิตมรณะรุกรานนี่น่ะ”

มิวไม่ได้ปฏิเสธดังนั้นเลวิเนสต้าจึงเรื่องอธิบายเรื่องของความจริงทุกอย่าง ซึ่งมิวก็พอรู้มาแล้วว่าในแต่ละชั้น ไม่ว่าจะหนึ่งถึงสิบ ทุกชั้นคือโลกเดียวกัน

และยิ่งขึ้นไปชั้นสูงเท่าไหร่เวลาของแต่ละชั้นจะยิ่งถูกย้อนกลับไปเรื่อยๆ ตามแต่ละชั้นที่ถูกกำหนดไว้แล้ว

“ปีศาจจิตมรณะ.. สหายข้าคงยังไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นมายังไงใช่ไหม ข้าเองก็ไม่อยากทำให้สหายรู้สึกผิดหรอกนะแต่..”

เธอหลบออกด้านข้างและชี้นิ้วไปยังจุดที่อยู่อีกด้านซึ่งตรงกันข้ามกับมิว ตรงนั้นมันมีร่างศพวางไว้อยู่ ศพนั้นเป็นร่างกายที่สร้างขึ้นจากไม้

และร่างกายของมันก็หยั่งลึกลงไปบนพื้น หากไม่สังเกตดีๆ จะเห็นว่าเป็นต้นไม้รูปร่างแปลกประหลาดเฉยๆ ด้วยซ้ำ

“เจ้านั่นก็คืออิกดร้า.. ที่เจ้าเคยช่วยศาสนจักรสร้างในตอนชั้น 9 และ..ตอนอยู่ชั้น 4 เจ้าเป็นคนส่งมันมาที่นี่”

“และเจ้านั่นมันก็วิวัฒนาการขึ้นมาจากพลังสามอย่าง..”

“ก่อนที่ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ เจ้าต้องโยนความคิดเกี่ยวกับความน่าจะเป็นออกไปให้หมดก่อน และทำความเข้าใจว่าบางสิ่งไม่จำเป็นต้องมีจุดเริ่มต้นหรือมีจุดสิ้นสุด”

เลวิเนสต้าพูดแบบนั้นกับมิว มิวก็แค่พยักหน้าตอบ.. จึงทำให้เธออธิบายสืบต่อไปว่า

“พลังอย่างแรกที่มันมีในร่างของพลัง Abyss พลังแปลกประหลาดที่ทำให้ทุกสรรพสิ่งในโลกนั้นกลายพันธุ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นสสาร พลังงานหรือแม้แต่สิ่งมีชีวิต”

“เจ้า Abyss นี่คือตัวแปรที่จะทำให้อีกสองพลังที่เหลือนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับที่คาดเดาไม่ได้”

“และพลังที่สองก็คือพลังอิกดราซิล.. พลังอิกดราซิลเริ่มแรกเดิมทีในโลกนี้ไม่มีของแบบนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้วพูดให้ถูกโลกนี้เดิมทีก็มีแค่เวทมนตร์กับวิชายุทธ์เท่านั้น พลังของออิกดราซิลนั้นไม่เคยมีจริงมาตั้งแต่แรก”

“แต่ทว่ามันก็มีขึ้นมาแล้ว.. มันมีมาจากอนาคตตอนที่เจ้าเป็นคนโจมตีมันและส่งมันมาในอดีต.. จนทำให้นักวิจัยของศาสนจักรอิกดราซิลได้รับชิ้นส่วนร่างกายมันไปเพื่อวิจัยสร้างร่างอิกดร้าขึ้นมาอีกที”

เมื่อได้ยินมาถึงจุดนี้มิวถึงกับกุมขมับพร้อมกับยกมือขึ้น

“เดี๋ยวนะๆ .. หมายความว่าไงนะ?”

“นั่นสินะ เข้าใจยากไปหน่อย.. เอาแบบนี้จินตนาการตามข้านะ ในอนาคตอีกหลายสิบปีข้างหน้าเจ้าจะไปส่งสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ชื่อว่าอิกดร้าย้อนเวลากลับไปในอดีต”

“อืม..แล้ว?”

“ซึ่งไอ้ตัวที่เจ้าส่งมาในอดีต ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเห็นว่ามันน่าสนใจเลยจับส่วนหนึ่งของมันมาสร้างเป็นตัวตนหนึ่งที่ชื่อว่าอิกดร้า”

“เข้าใจ”

“พอผ่านเวลาไปอีกหลายสิบปี.. เจ้าอิกดร้านั่นมันก็ต่อสู้กับเจ้า และเจ้าก็ส่งมันย้อนกลับมาในอดีตอีกที เป็นลูปที่ไม่มีวันจบสิ้น”

“หรือก็คือ.. ต้นกำเนิดของเจ้าอิกดร้านั่น..ก็คือตัวมันเอง ฉันเข้าใจถูกใช่ไหม?”

“ใช่แล้ว”

“อ้าว..แล้วใครเป็นคนเอาส่วนหนึ่งของอิกดร้าไปให้คนกลุ่มหนึ่งสร้างอิกดร้าขึ้นมาครั้งแรกสุดล่ะถ้าอย่างงั้น เพราะถ้าไม่มีอิกดร้าที่ย้อนเวลากลับมา ก็จะไม่มีอิกดร้าที่ถูกส่งย้อนกลับมาใช่ไหมล่ะ?”

ดวงตาของมิวเผยแววสับสนออกมา

“สหายข้า อย่างที่เคยบอกไปแต่แรกว่าโยนแนวคิดเรื่องเวลาแบบปกติทิ้งไปก่อน.. ว่าหนึ่งต้องสอง สองต้องไปสาม เพราะในโลกนี้ ในทุกสรรพสิ่งนี้..บางทีสามมันก็ไปบรรจบกับหนึ่งหรือสองได้”

“หรือก็คือ..จุดเริ่มต้นแบบนั้นไม่มีแต่แรกสหายข้า พวกเราทำได้แค่เดินอยู่ในวังวนแห่งห้วงเวลาที่ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดนี้”

“ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับมันหรือไม่ก็ตาม.. เพราะถ้าหากถามว่าจุดเริ่มต้นอยู่ที่ไหน คำตอบก็จะกลายเป็นว่า.. เจ้าอิกดร้านั่นไม่มีจริงตั้งแต่แรกใช่ไหม?”

“นี่แหละสหายข้าสิ่งที่เรียกว่า Time paradox น่ะ”

“นั่นสินะ ถ้าคนในโลกด้านอกของเจ้าจะเรียกเหตุการณ์นี้ประมาณว่า Bootstrap paradox ล่ะมั้ง”

มิวที่ฟังมาถึงจุดนี้ก็ได้แต่นิ่งเงียบ