บทที่ 129 – ปีศาจจึงถือกำเนิดขึ้น

 

เลวิเนสต้ายังอธิบายต่อถึงความจริงที่ว่าสาเหตุที่ทำไมโลกนี้ถึงมีแนวคิดเรื่องอิกดราซิลขึ้นมา.. มันเกิดขึ้นหลังจากนี้ได้ไม่นานนัก

อิกดราซิลนั้นเชื่อมต่อกับต้นไม้ทุกต้นบนโลก และในกลางโลกนี้มีสวนอีเดนดำรงอยู่.. ซึ่งนั่นเป็นเรื่องเสริมเติมแต่งขึ้นมา

แต่ความจริงแล้วที่แห่งนี้.. แม้มิวจะไม่รู้เรื่องสวนอีเดน แต่ที่แห่งนี้ก็เหมือนกับสวนอีเดนที่โบราณสถานนั้นจำลองขึ้นมาไม่มีผิด

ใช่แล้ว.. เจ้าอิกดร้านี่มันได้เชื่อมต่อกับโลกทุกอย่างในที่แห่งนี้ และในระหว่างที่ถูกส่งมาที่นี่ด้วยพลังของมิวนั้นทำให้ตัวของมันต้องอาศัยพลังจากธรรมชาติในที่แห่งนี้ดำรงอยู่ต่อไปได้

ซึ่งพลัง Abyss ที่อยู่ในร่างกายของมันก็ยังอยู่เลยทำให้มันวิวัฒนาการ เพราะมันเชื่อมต่อกับต้นไม้เพื่อซึมซับพลังธรรมชาติ เพื่อซึมซับพลังจากโลกนี้

ทำให้แนวคิดเรื่องอิกดราซิลถือกำเนิดขึ้นมา.. พูดให้ถูกคือพลัง Abyss ได้แทรกแซงเข้ากับร่างกายของอิกดร้าที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติของโลกนี้

ส่งผลให้ต้นไม้ทุกต้นนั้นเชื่อมต่อเข้ากับอิกดร้าและกลายเป็นเรื่องเล่าของศาสนจักรอิกดราซิลขึ้นมานั่นเอง

และก็เพราะแบบนั้นเองตัวของอิกดร้าถึงได้สามารถสื่อสารกับธรรมชาติได้ ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

เพราะพลัง Abyss ได้วิวัฒนาการตัวตน การดำรงอยู่ของมันให้กลายเป็นเหมือนโลกใบนี้ขึ้นมาแล้วนั่นเอง

หากถามว่าแล้วคนธรรมดาใช้พลังของอิกดร้ากันได้อย่างไร.. เรื่องนั้นมันเกี่ยวข้องกับพลังอย่างที่สามของอิกดร้าอยู่ส่วนหนึ่ง

“พลังอย่างที่สามที่อยู่ในตัวของอิกดร้าก็คือ.. ไม่สิ.. ก่อนอื่นเลยเจ้าคิดว่าเวลาคืออะไร?”

พอโดนถามแบบนั้นมิวก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน เพราะคนเรารู้ดีว่าเวลานั้นคือการเดินไปข้างหน้า

แต่นั่นคงไม่ใช่คำตอบที่แท้จริงสักเท่าไหร่ ดังนั้นเมื่อมีคำถามจริงๆ จังๆ ว่าเวลาคืออะไร มิวจึงไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร

“เวลาก็คือเหตุและผล”

“เวลาเป็นสิ่งที่ช่วยอธิบายซึ่งสิ่งที่เรียกว่าต้นเหตุและผลลัพธ์สหายข้า.. หากข้าพูดออกไปเป็นต้นเหตุ ผลลัพธ์ก็คือการที่เจ้าได้ยิน”

“นั่นหมายความว่าระยะห่างระหว่างนี้ก็คือเวลาของข้าใช่ไหม? ในตอนนั้นแหละดาบของเจ้าได้โจมตีใส่อิกดร้า”

“และอิกดร้าก็สัมผัสกับโลก.. ซึ่งโลกนี้ก็กำลังสัมผัสกับพลัง Abyss เดิมทีแล้วมันก็เป็นไปไม่ได้หรอกนะ”

“แต่ว่า.. เหตุและผลที่ถูกตัดออกในระหว่างนั้นส่งผลให้การดำรงอยู่ของอิกดร้าถูกไหลย้อนกลับมาตามกระแสของเวลาโลกใบนี้”

“ทำให้การดำรงอยู่ของมันมาอยู่ในอดีตกาลแบบนี้ได้นั่นเอง… และก็เพราะแบบนั้นแหละสหายข้า”

“ทำให้พลังอย่างที่สามของอิกดร้านั้นแตกกระจายออกกลายเป็นหนึ่งเดียวกับโลกนี้.. กลายเป็นนิยามที่สามารถแตะต้องได้ในโลกนี้”

“สหายข้า พอจะจำได้ไหมว่าในระหว่างที่โลกทุกอย่างสัมผัสกันนั้นเจ้าทำอะไรกับอิกดร้า”

เมื่อได้ยินคำถามนั้นดวงตาของมิวก็เบิกกว้าง..

“อย่าบอกนะว่า…”

“ใช่แล้ว.. สหายเจ้าปล่อยพลังอะไรสักอย่างของเจ้าออกมาใส่มันและในเวลาที่มันกำลังสัมผัสกับทุกอย่างของโลก สัมผัสกับกาลเวลาของโลก อดีต ปัจจุบันและอนาคต”

“…….”

ดวงตาของเลวิเนสต้าจ้องมองลึกไปยังดวงตาของมิว

“พลังของเจ้าได้แพร่กระจายไปยัง อดีต ปัจจุบันและอนาคตของโลกใบนี้ ส่งผลให้โลกนี้นั้นมีแนวคิดของ ‘พลังเจ้า’ ดำรงอยู่ด้วยตัวมันเอง”

“และแน่นอนว่าอิกดร้าที่วิวัฒนาการมาพร้อมกันด้วยพลังของ Abyss มันก็ถูกวิวัฒนาการมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งกับพลังที่เชื่อมต่อกับโลก เชื่อมต่อกับมัน”

“เจ้าเข้าใจถูกแล้วสหายข้า.. มันได้วิวัฒนาการตัวเองจนสร้างพลังรูปแบบใหม่ขึ้นมาบนโลก สัมผัสกับไม้ สัมผัสกับโลก สัมผัสกับอิกดร้า”

“มันได้สร้างศาสนจักรที่ชื่อว่าอิกดราซิลขึ้นมานั่นเอง.. พลังของศาสนจักรอิกดราซิลเดิมทีนั้นวิวัฒนาการขึ้นมาจากไม้และพลังของเจ้านั่นแหละ”

มิวที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้า เธอไม่เคยเห็นคนใช้พลังอิกดราซิลสักครั้งตั้งแต่มาที่นี่จึงไม่สังเกตเห็นก่อนที่เลวิเนสต้าจะบอกเลย

พูดให้ถูกคือศาสนจักรอิกดราซิลมันถูกลบหายไปแล้ว จึงไม่มีอะไรมาทำให้มิวสังเกตได้ แต่ประเด็นคือมันอยู่ตรงนี้ต่างหาก

“แต่ว่า.. อิกดร้าไม่ได้ใช้พลังนั้นเลยสักนิดสิ”

“เจ้าคงจะคิดแบบนี้ใช่ไหมสหาย”

“เอาล่ะ เรามาเข้าประเด็นอีกประเด็นกันต่อดีกว่า.. คำถามคือสมมุติว่าพลังของเจ้าดำรงอยู่ในอดีต ปัจจุบันและอนาคตของโลกใบนี้”

“เจ้าคิดว่าฐานะการดำรงอยู่ของมันจะอยู่ในรูปแบบไหน สหายข้า ไม่มีใครรับรู้มันได้ ไม่มีใครเห็นมันได้ แต่รู้ว่ามันมีอยู่ อยู่ตรงนั้นและได้รับผลกระทบจากมันเหมือนกับเวลาที่ไหลผ่าน”

เมื่อมิวถูกถามแบบนั้นเธอเงียบลงใช้ความคิดอยู่สักพักก่อนจะพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า

“ดำรงอยู่ในรูปแบบความคิด… หรือก็คือ..”

“ใช่สหายข้า.. ต้นตอพลังแห่งความคิดหรือจะเรียกอีกอย่างว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ก็คือ..พลังมังกรของเจ้านั่นแหละนะ”

“มีผลกระทบ.. แต่มองไม่เห็น รู้ว่ามีแต่ก็ได้แค่ไหลไปตามมันเหมือนกับเวลา”

ฟังทุกอย่างนี้ร่วมกันมิวก็พอจะเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น เพราะเอาเข้าจริงพลังศักดิ์สิทธิ์ของโลกนี้นั้นคล้ายกับพลังของมิวมาก

แม้ตอนแรกตอนอยู่ชั้นห้า มิวจะให้พลังตัวเองกับเรย์น่าไปจนเรย์น่ามีกลิ่นอายพลังของมิว ทำให้มิวในชั้นสี่เข้าใจว่านี่พลังเหมือนพลังตัวเองเลย

แต่ว่าเหมือนนั่นจะไม่ใช่ทั้งหมด..

“แต่ว่า..ถ้าสมมุติว่ามันเป็นแบบนั้นจริง แล้วคนอื่นจะใช้พลังมังกรได้ยังไง เพราะมันคือสิ่งที่ดำรงอยู่ในนามธรรม เป็นสิ่งที่แตะต้องหรือสัมผัสไม่ได้”

ใช่มันต่างจากมิวที่สัมผัสพลังได้โดยตรงและใช้มันออกมา แต่พวกเขาอย่างมากก็แค่คิดถึงได้ แล้วจะไปใช้พลังมังกรของเธอได้อย่างไร

“สหายเจ้าคงไม่ลืมว่าศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่ศรัทธาในเทพของตัวเองก็ล้วนได้รับการปกป้องจากพลังศักดิ์สิทธิ์แล้วใช่ไหม?”

“ข้าจะบอกว่า.. เทพที่พวกเขานับถือก็คือเจ้านั่นแหละนะ และสาเหตุที่เจ้าสะกดจิตตัวเองจนเกือบจะสำเร็จแล้วแต่ก็ยังใช้พลังไม่ได้เพราะเจ้าศรัทธาตัวเองไปมันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเจ้าสามารถใช้พลังนั้นได้โดยไม่ต้องพึ่งพาความศรัทธา”

“ใช่แล้ว.. สาเหตุที่ศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ถูกสร้างขึ้นเพราะพวกเขานับถือในตัวของเจ้า แล้วตั้งเจ้าเป็นเหมือนศาสดาของศาสนานั่นแหละ”

“รวมถึงว่าทำไมหลังจากนั้นทุกคนถึงหวังพึ่งเรย์น่ากัน.. ทำไมคนในศาสนจักรจนแล้วจนรอดก็เหลือคนมีพลังไม่กี่คน ไม่สามารถต้านการรุกรานของปีศาจจิตมรณะได้”

“สาเหตุนั้นเพราะพวกมันหันคมดาบใส่เจ้า เพราะคิดว่าเจ้าเป็นศัตรูตอนในชั้นห้านั่นแหละ และคนที่ใช้ได้ก็คือคนที่ไม่เห็นเจ้าเป็นศัตรู”

“เพราะแบบนั้นจนเจ้าปีศาจกิ่งก้านมรณะมาบุก เจ้าก็ยังไม่เห็นหน้าคนของศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์สักคนก็เป็นเพราะแบบนั้นนั่นแหละนะ”

“ถูกแล้วสหายข้า พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ดำรงอยู่ในเส้นเวลาของโลกใบนี้คือพลังที่มอบให้กับคนที่ศรัทธาในตัวเจ้าเท่านั้นนั่นเอง”

เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ทุกอย่างก็เชื่อมต่อเข้าหากันอย่างสมบูรณ์.. ไม่เพียงแค่นั้น

“และอิกดร้าที่เชื่อมต่อกับเวลาในตอนนั้นก็ทำให้มันเชื่อมโยงกับพลังของเจ้าได้ แต่มันไม่ได้ศรัทธาในตัวเจ้าทำให้มันไม่สามารถใช้พลังได้”

“แต่ก็เพราะแบบนั้นแหละ มันเลยวิวัฒนาการขึ้นมา.. วิวัฒนาการจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่จะสามารถใช้พลังของเจ้าได้…ด้วยพลังจาก Abyss”

“มันที่ทำได้แค่ฝืนหยิบพลังของเจ้ามาใช้ ทำให้มันหาวิธีที่จะกลืนกินพลังทั้งหมดได้ และนั่นแหละทำให้เกิดกิ่งก้านแห่งความตายขึ้นมา”

“มันรู้อนาคตว่าจะมีคนที่ใช้ความคิดที่เป็นพลังแบบเดียวกับที่มันสัมผัสได้แต่ใช้ไม่ได้… หรือก็คือตอนมันสู้กับเรย์น่านั่นแหละ”

“มันจึงหาวิธีกลืนกินความคิดคน..และนั่นแหละมันถึงถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางเส้นทางสู่การกลืนกินพลังของเจ้า”

“แต่พลังของเจ้านั้นแม้จะอยู่ในความคิดคนอื่นมันก็แข็งแกร่งไม่ได้อยากจะกลืนกินก็กลืนกินได้ง่ายๆ ส่งผลให้สิ่งที่มันต้องทำจึงเป็นการทำให้จิตสำนึกตัวเองเหนือกว่าจิตสำนึกที่ครอบครองพลัง”

“นั่นไม่ง่ายเลย.. มีเพียงวิธีเดียวคือ…”

เลวิเนสต้าไม่ต้องพูดต่อก็รู้ การกลืนกินคนทั้งโลกนั่นแหละคือทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ของมัน เพราะแบบนั้นมันถึงได้เริ่มกลืนกินทุกชีวิตบนโลกนี้นั่นเอง

ใช่.. ส่วนหนึ่งของมันถูกศาสนจักรอิกดราซิลดึงเข้าไปสร้างเป็นตัวมันอีกคน (ในชั้น 9) ที่จะถูกส่งมาในอดีตตอนชั้น 4

และส่วนที่เหลือของมัน..จะกลายเป็นกิ่งก้านแห่งความตายที่คอยกลืนกินจิตสำนึกผู้คนรอวันฟื้นคืนชีพ

ปีศาจจึงถือกำเนิดขึ้น