บทที่ 60 อาซู และเด็ก ๆ ผ่านอะไรกันมาบ้าง
เหยาซูถามต่อ “มารดาของท่านยินยอมให้แยกออกจากตระกูลงั้นหรือ”
หลินเหราพยักหน้า พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าสัญญากับนางว่าจะให้เงินทุกเดือน นางจึงพยักหน้า แต่ข้ายังไม่ได้บอกท่านพ่อ อีกอย่างใต้เท้าผู้ตรวจการสั่งให้ข้าประจำที่จวนผู้ตรวจการในอีกสิบวันข้างหน้า ถึงตอนนั้นต่อให้ไม่แยกตระกูลก็ไม่มีทางอยู่ในตระกูลหลินอยู่แล้ว”
เหยาซูเงียบไป พูดให้ถูกก็คือนางไม่ได้สนใจคำพูดของหลินเหราที่ว่า “ท่านผู้ตรวจการสั่งให้ข้าไปประจำที่จวนผู้ตรวจการในอีกสิบวันข้างหน้า” ดวงตาของนางเต็มไปด้วยเรื่องการแยกออกจากตระกูลหลิน
แม่เฒ่าหวังเป็นคนเห็นแก่เงินอย่างเปิดเผย แน่นอนว่านางไม่สนใจเรื่องการแยกตะกูลแม้แต่น้อย
แล้วพ่อเฒ่าหลินล่ะ? คนอื่น ๆ ในตระกูลหลินอีกเล่า?
ในใจของนางไม่อยากให้ลูก ๆ พัวพันข้องเกี่ยวกับตระกูลหลินอีก แค่อยู่ด้วยกันอย่างเดียวก็ทำไม่ได้แล้ว
หากพ่อเฒ่าหลินไม่เห็นด้วย ทุกอย่างก็เปล่าประโยชน์
ราวกับเห็นความลังเลของนาง หลินเหราจึงพูดเสียงหนักแน่นขึ้นว่า “อาซู เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไปหาหลี่เจิ้งเพื่อเชิญเขามาเป็นพยานเรื่องการแยกออกจากตระกูล”
อาจื้อที่อยู่ด้านข้างและเงียบมาตลอดกลับถามขึ้นว่า “หากท่านพ่อกับท่านแม่หย่ากัน ท่านพ่อจะอาศัยอยู่ในบ้านของท่านย่า หากท่านพ่อกับท่านย่าแยกออกจากกัน ท่านพ่อก็จะอยู่กับพวกเราใช่หรือไม่?”
หลินเหราพยักหน้า
อาจื้อจึงถามขึ้นอีกว่า “ท่านพ่ออยากอยู่กับใครขอรับ?”
หลินเหรามองไปที่ใบหน้าน้อย ๆ ของลูกชาย แล้วพูดอย่างมั่นใจว่า “พ่อเป็นพ่อของต้าเป่า เอ้อเป่า และซานเป่า ทั้งยังเป็นสามีของแม่พวกเจ้า แน่นอนว่าพ่ออยากอยู่กับพวกเจ้า”
เด็กสองคนมองหน้ากัน จากนั้นอาซือก็กระซิบว่า “ท่านพ่ออยู่กับพวกเราได้ไหมเจ้าคะ”
หลินเหราพยักหน้าและมองไปที่เหยาซูพร้อมกับพูดกับลูกสาวว่า
“ขอเพียงท่านแม่ของเจ้าเห็นด้วยและพวกเจ้าก็ยินดี แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
อารมณ์ของเด็ก ๆ เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อครู่ท่านพ่อของพวกเขาได้ขอโทษและยังให้คำมั่นว่าจะปกป้องพวกเขาในอนาคต ตอนนี้อาจื้อและอาซือจึงไม่ได้ต่อต้านบิดามากนัก
ความปรารถนาในการมีพ่อย่อมเหนือกว่า
“ท่านแม่…”
อาจื้อและอาซือไม่จำเป็นต้องแสดงความคิดเห็น เหยาซูก็เข้าใจ
ในใจของเหยาซูยังคงสับสน แน่นอนว่านางหวังที่จะหย่าขาดกับชายหนุ่มผู้นี้ ทว่าปัญหาคือ เด็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างการอยู่กับมารดาหรือบิดา แต่สามารถอยู่กับทั้งมารดาและบิดา เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ได้
ในสถานการณ์เช่นนี้เหยาซูจะพูดได้อย่างไรว่าไม่ให้ลูก ๆ เลือกพ่อของเขา?
นางถามหลินเหราว่า “การแยกจากตระกูลหลินเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ท่านคิด แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อไป?”
จากนั้นหลินเหราก็พูดขึ้น “ข้าจะไปบอกท่านพ่อที่ตระกูลหลินก่อนแล้วค่อยไปเชิญหลี่เจิ้งมาเป็นพยาน”
เขาส่งมารดาของเขาที่ทางเข้าหมู่บ้านและรีบกลับมาเพราะเป็นห่วงเด็ก ๆ เดิมทีหลินเหราไม่อยากพูดอะไรมากนัก ทว่าในใจกลัวว่าภรรยาจะเข้าใจผิดจึงพูดอย่างละเอียดชัดเจน
เหยาซูขมวดคิ้ว “แล้วถ้าพ่อของท่านไม่ยอมให้แยกตระกูลเล่า”
หลินเหรายืนยัน “เขาจะต้องเห็นด้วย”
เขาเป็นคนพูดเองว่าจะไม่ยอมหย่าขาด ตราบใดที่เขาตัดสินใจแล้วเขาก็จะทำให้สำเร็จ
การแยกตระกูลอาจทำให้เกิดข่าวลือได้ หากเป็นก่อนหน้า เขาคงมีความกังวล ทว่าตอนนี้เหยาซูได้เสนอให้แยกทางสามีภรรยา หากเขาต้องการที่จะอยู่กับนาง เขาก็จำเป็นที่ต้องแยกออกจากตระกูลหลิน
เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย เอ่ยแผ่วเบาว่า “อาซู ข้าจะปกป้องเจ้าและลูก ๆ เอง”
หากไม่ใช่เพราะเหยาซูได้อ่านนิยายต้นฉบับมาก่อนและรู้ว่าพระเอกคนนี้เป็นคนรักษาสัญญาสูงสุด นางคงจะด่าเขาว่า ‘สวะ’ ไปแล้ว
วิธีการของเขาในวันนี้สอดคล้องทุกลักษณะเฉพาะตัวของพวกผู้ชายไม่รักษาคำพูด
ทั้งท่าทางยอมผ่อนปรนโอนอ่อน ทั้งการเอ่ยสัญญาอย่างจริงจังและลึกซึ้ง เป็นต้นว่า “แต่งงานกับข้าแล้วข้าจะจัดการเรื่องพ่อแม่เอง” “ไม่ต้องห่วง ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีในอนาคต” ผู้ชายที่ไม่รักษาสัญญามักจะพูดคำเหล่านี้
เหยาซูไม่ได้ปฏิเสธคำสัญญาของหลินเหรา และยังพูดอย่างจริงจัง
“ไม่ใช่ว่าท่านบอกว่าอีกสิบวันจะต้องไปประจำการที่จวนผู้ตรวจการหรอกหรือ? หากภายในสิบวันนี้ตระกูลหลินยังไม่ยอมตกลงที่จะแยกตระกูล พวกเราก็จะแยกทางกัน”
นางพึ่งนึกขึ้นได้ว่าหัวข้อที่นางถูกมองข้ามไปนั้น สามารถเอามาใช้เป็นเส้นตายด้วยเหตุผลนี้ได้
หลินเหราเบ้ปาก ถามในขณะที่จ้องมองภรรยา “ถ้าตระกูลหลินเห็นด้วย ข้าสามารถอยู่กับเจ้าและลูก ๆ ใช่หรือไม่?”
ดวงตาลึกล้ำคู่นั้นที่เคยเย็นชา ในที่สุดก็เต็มไปด้วยความร้อนรน เหยาซูรู้สึกราวกับถูกลวก จึงหันหน้าหนี ไม่พูดไม่จา
หลินเหรายิ้มพร้อมขยับเข้าไปใกล้นางพลางกระซิบว่า “อาซู เช่นนั้นรอข้าก่อนนะ”
……
หลินเหราไม่เคยรู้เลยว่าวันหนึ่งเขาจะตั้งตารอที่จะแยกทางกับตระกูลให้เร็วที่สุดเช่นนี้
ในตอนที่เขาต้องทำนาในหมู่บ้านตระกูลหลินทุกวัน หรือแม้กระทั่งการออกไปล่าสัตว์ในภูเขา
แม้ว่าครอบครัวจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่เป็นธรรมเช่นไร ก็ไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง
ต่อมาต้องไปรบ แม่ทัพเห็นว่าเขากล้าหาญจึงเรียกเขามาชี้แนะ ถึงแม้ว่าเขาจะต่อสู้อย่างสุดกำลังในสนามรบ ได้เลื่อนขั้นเมื่ออายุยังน้อย เขาเองก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องยากอะไร
แต่ตอนนี้พอได้ยินคำว่า ‘หย่าขาด’ ของเหยาซู เรื่องนี้ก็ทำให้เขารู้สึกเครียด อยากกำจัดอุปสรรคระหว่างพวกเขาทันที
เขาไม่รู้ว่าแรงกระตุ้นเหล่านี้มาจากที่ใด แต่เขาตั้งใจจะทำตามหัวใจตนเอง
หลังจากที่หลินเหราและเหยาซูพูดคุยกันเสร็จ เขาก็ไปที่หมู่บ้านตระกูลหลินและไปหาหลี่เจิ้งเพื่ออธิบายจุดประสงค์ของเขา
เขาเคยเห็นหลินเหรามาตั้งแต่เด็ก ในอดีตชายหนุ่มเป็นเพียงเด็กผอมบาง ทว่าตอนนี้เขาดูสง่างามและเต็มเปี่ยมไปด้วยความปลื้มปีติ
เขาถอนหายใจ “อาเหรา หลายปีมานี้เจ้ากับภรรยาได้รับความคับข้องใจมาไม่น้อย…เพียงแต่เรื่องการแยกออกจากตระกูลนั้น ตามกฎของบรรพบุรุษต้องให้พ่อแม่ของเจ้าเป็นคนยื่นเรื่องนี้”
หลินเหราพยักหน้า “ท่านพูดถูกแล้ว แต่ถ้าท่านพ่อของข้าเห็นด้วย ข้าหวังว่าท่านจะเป็นพยานให้”
หลี่เจิ้งยิ้มและพูดว่า “ลุงรู้ว่าเจ้านั้นเป็นกังวล คนทั่วไปตราบใดที่ครอบครัวของเขาตกลงจะให้แยกตระกูลก็เพียงพอแล้ว แต่เจ้ากังวลว่าพวกเขาจะกลับคำในอนาคตใช่หรือไม่?
หลินเหราที่เงียบลงก็เอ่ยขึ้นมาว่า ‘ท่านเข้าใจถูกแล้ว’ หลังจากนั้นเขาก็เดินกลับมาที่ตระกูลหลิน
ไม่นานเขาก็ได้ก้าวเข้ามาในบ้านที่ไม่ได้กลับมาถึงหนึ่งปี เห็นอาจวงลูกพี่ลูกน้องซึ่งอายุน้อยกว่าอาจื้อหนึ่งปี กำลังหิ้วถังน้ำที่เพิ่งตักมาจากบ่อไปที่มุมหนึ่งของลานบ้าน
หลินเหราขมวดคิ้วและสาวเท้าไปด้านข้าง รับถังน้ำจากมือเด็กน้อย
“อาจวง เหตุใดเจ้าถึงมาตักน้ำอยู่ที่นี่?”
อาจวงคลายมือออกและเช็ดเหงื่อที่อยู่บนเปลือกตาและหน้าผาก จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่มาช่วยเขาถือถังน้ำ เมื่ออาจวงได้เห็นใบหน้าของหลินเหราก็ตะโกนขึ้นมาทันที
“ท่านลุงใหญ่!”
เสียงของเด็กชายเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกล่าวว่า “ลุงกลับมาแล้ว!”
อาจวงชอบลุงใหญ่ของเขามาก เขาจำได้ว่าทุกครั้งที่หลินเหราล่าสัตว์ได้ เขาจะแบ่งอาหารให้กับเขา
หลินเหราพยักหน้าและหยิบถังน้ำที่หนักขึ้นมา แม้เด็กตัวเล็ก ๆ จะยกด้วยสองมือก็แทบไม่ไหวแล้ว จากนั้นหลินเหราก็ไปช่วยตักน้ำอีกสองถึงสามถังเพื่อช่วยเติมถังให้เต็ม
เขาถามขึ้นอีกครั้งว่า “แล้วพ่อของเจ้าเล่า ทำไมถึงให้ลูกอย่างเจ้ามาตักน้ำ?”
มือเล็ก ๆ ของอาจวงเป็นสีแดงด้วยลมหนาวในฤดูใบไม้ผลิ อีกทั้งยังมีร่องรอยแผลน้ำแข็งกัดจากช่วงฤดูหนาว แม้กระทั่งเสื้อผ้าที่เขาใส่ยังบางเฉียบ
เขาเห็นลุงใหญ่ถามจึงตอบว่า “ท่านพ่อกับท่านปู่ไปทำสวน ท่านแม่ตั้งครรภ์ และท่านพ่อไปหาหมอ เขาบอกว่าท่านแม่ห้ามทำงานหนัก ท่านย่าจึงสั่งให้ข้าเติมน้ำให้เต็มขอรับ”
หลังจากพูดจบก็พูดเสริมอีกประโยคว่า “เมื่อก่อนตอนที่พี่จื้ออยู่บ้าน เขากับท่านป้าใหญ่เป็นคนตักน้ำ…”
คิ้วของหลินเหรากระตุกและถามว่า “อาสามของเจ้าไม่อยู่บ้านเหรอ?”
“อยู่สิขอรับ! แต่ท่านอากำลังอ่านหนังสือและไม่เคยออกจากบ้านเลย”
หลินเหราไม่ได้พูดอะไรอีก
อาจวงถามอีกครั้งว่า “ท่านลุง ท่านกลับมาในครานี้จะไม่ไปไหนอีกแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
หลินเหราพูดกับเด็กน้อยว่า “ไปเรียกพ่อกับปู่กลับมาจากทุ่งที บอกว่าข้ามีธุระที่จะพูดด้วย”
อาจวงตอบรับแล้ววิ่งออกจากลานบ้านทันที
หลินเหรามองไปที่ลานบ้านที่เขาเติบโตมาตั้งแต่เด็กและห้องเล็ก ๆ ที่เขากับเหยาซู และลูก ๆ เคยอยู่อาศัย ที่อยู่อาศัยดั้งเดิมของพวกเขาตลอดทั้งวันแทบไม่มีแสงส่องถึง หัวใจของเขาพลันรู้สึกคุ้นเคย
ต้นฤดูใบไม้ผลิยามใกล้ค่ำ อุณหภูมิลดลง
ในใจของหลินเหรายังว่างเปล่า เขาอดคิดไม่ได้ว่า ตนจากบ้านนี้ไปหนึ่งปีกว่า อาซูและลูก ๆ ใช้ชีวิตกันอย่างไรกัน?
มือของอาจื้อเหมือนมือของอาจวงที่อายุยังน้อย ทว่าเต็มไปด้วยบาดแผลหรือไม่?
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ดีมาก หายซื่อบื้อซักทีนะอิพ่อ แต่ถ้ายังมีครั้งหน้าอีกก็จะยุให้อาซูหย่าอีกรอบนะคะ
ปล. ตอนหน้าจะเริ่มติดเหรียญแล้วนะคะ ทุกที่ติดราคาเท่ากันค่ะ ไม่ต้องห่วงว่าที่ไหนจะแพงกว่า
ไหหม่า(海馬)