บทที่ 61 แยกตระกูลสำเร็จ

หลินเหรายืนอยู่ในลานบ้านเป็นเวลาเนิ่นนาน เขามองสำรวจบ้านที่ไม่เคยทำให้เขารู้สึกอบอุ่นมาก่อน เขาสัมผัสได้แต่ความเย็นชา การด่าทอและการทำร้ายทุบตีมาตั้งแต่เด็ก

หลายปีมานี้เหยาซูแต่งงานกับเขาและถูกบังคับให้อยู่ในที่เช่นนี้พร้อมกับลูก ๆ อดทนต่อความอยุติธรรมที่เขาเคยประสบมา เขานึกถึงดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองของหญิงสาว ราวกับว่าเขาเพิ่งตื่นจากความไม่รู้อะไรเลย

ใช่แล้ว เขาจะไม่ปล่อยให้ภรรยาและลูก ๆ ของตนกลับมาที่นี่อีก

เมื่อพ่อเฒ่าหลินและหลินเว่ยกลับมาถึงบ้าน มันก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว

หลินเว่ยเรียกหลินเหราว่า ‘พี่ใหญ่’ ทว่าพ่อเฒ่าหลินกลับทำเป็นมองไม่เห็นและตรงเข้าไปยังห้องหลัก

หลินเหราตบไหล่ของหลินเว่ยเบา ๆ ถามว่า “น้องรอง ช่วงนี้ที่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลินเว่ยยิ้มอย่างซื่อ ๆ “ยังเป็นเช่นนี้เหมือนเดิม จะเปลี่ยนไปได้อย่างไรเล่า!”

หลินเหราไม่ได้สนิทกับน้องชายคนนี้เท่าไรนัก เขาไม่อยากพูดอะไรมากจึงพูดเพียงว่า “เจ้าไปเรียกน้องสามมาที ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”

หลินเว่ยเคารพพี่ใหญ่คนนี้มาก เมื่อเป็นคำสั่งของหลินเหราเขาจึงทำตามโดยไม่ลังเล

เมื่อหลินเว่ยและหลินหงมาถึงห้องหลัก พวกเขาก็เห็นพ่อเฒ่าหลินนั่งบนโต๊ะด้วยอารมณ์โกรธเคืองพลางสูบยาจนควันโขมง หลินเหราที่อยู่ด้านหน้าแสดงสีหน้าไร้อารมณ์และไม่ขยับเขยื้อน

แม่เฒ่าหวังที่นั่งอยู่ด้านข้างก็เอ่ยขึ้น “ตาแก่เหตุใดท่านถึงดื้อดึงนัก มีใครบ้างที่ไม่อยากได้เงิน…”

หลินหงเป็นคนที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดในครอบครัว เขานั่งลงบนเก้าอี้แล้วถามว่า “เห็นพี่ใหญ่บอกว่ามีธุระ มีอะไรก็พูดออกมาเร็วเข้าเถิด ข้าจะต้องอ่านหนังสือ!”

หลินเว่ยเองก็รู้สึกแปลกใจเช่นกันทว่าไม่ได้พูดอะไรออกมา

หลินหงเห็นว่าทุกคนไม่พูดอะไร เขาจึงโพล่งขึ้นมาอย่างรำคาญว่า “ท่านพ่อ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ขอรับ?”

พ่อเฒ่าหลินทำหน้าบึ้งตึง “ถามพี่ชายเจ้าสิ!”

หลินหงยิ้มประจบและถามหลินเหราว่า “ข้าได้ยินมาว่าพี่ใหญ่ทำคุณงามความดีไว้ในสนามรบ การกลับบ้านครั้งนี้มีข่าวดีจึงคิดถึงพี่น้องอย่างพวกเราใช่หรือไม่?”

เขาเป็นหนึ่งในสามพี่น้องที่ฉลาดสุดในตระกูลหลิน เขามักคอยลอบสังเกตสีหน้าคนอื่นตั้งแต่เด็ก เมื่อรู้ว่าท่านพ่อและท่านแม่ไม่ชอบพี่ใหญ่ คนอย่างเขาจึงไม่เคยมีความรู้สึกดีต่อหลินเหราเลย

เมื่อหลายปีก่อนหลินหงยังไม่ได้เรียนหนังสือ เขาก็ทำงานบ้านเช่นกัน ทว่างานสกปรกเขาจะไม่ทำและผลักมันให้กับหลินเหราทั้งหมด

สำหรับหลินเหรานั้น นอกจากจะรังเกียจพ่อและแม่แล้ว คนที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือหลินหง หลินเหราไม่คิดจะสนใจเขาแม้แต่น้อย

เขายังคงพูดกับพ่อเฒ่าหลินว่า “ในเมื่อน้องรองและน้องสามมาแล้ว เหตุใดไม่ลองฟังพวกเขาบ้างเล่าขอรับ”

ไม่รอให้พ่อเฒ่าหลินเอ่ยปาก แม่เฒ่าหวังก็เอ่ยอย่างร้อนรน “เจ้ารองและเจ้าสาม ย่อมมีความเห็นเช่นเดียวกันกับข้าอย่างแน่นอน!”

นางเริ่มบ่นพ่อเฒ่าหลินอีกครั้ง “ท่านพี่ เจ้าใหญ่อยากแยกตระกูลก็ให้เขาแยกไปสิ! ยิ่งกว่านั้นเขาออกไปแค่คนเดียว เจ้ารองกับเจ้าสามยังอยู่บ้านเหมือนเดิม จะโมโหอะไรนักหนา?”

หลินเว่ยและหลินหงต่างตกตะลึง

พ่อเฒ่าหลินโมโหขึ้นมาทันที “ข้ายังไม่ทันตาย ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้ก็มาขอแยกตระกูลเสียแล้ว ไม่สาปแช่งให้ข้าตายเสียก่อนเล่า!”

หลินหงเห็นว่าพี่ใหญ่ไม่สนใจเขา จึงพูดว่า “ใช่แล้ว ข้าเดาว่าเขาคงกลายเป็นคนมีชื่อมีเกียรติจึงไม่อยากมีพ่อแม่ที่ยากจนเช่นนี้…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลินเหราก็ขมวดคิ้ว น้องชายคนนี้มีวาจาปากสุนัขยิ่งนัก อีกทั้งยังลามไปถึงบิดามารดา

หลินหงคงไม่ได้อ่านหนังสือในท้องของสุนัขหรอกนะ

แม่เฒ่าหวังนั่งไม่ติดที่แล้วตะโกนว่า “เจ้าสาม หุบปากซะ! พี่ใหญ่ของเจ้ารับปากไว้ว่าวันหน้าจะให้เงินที่บ้านเดือนละสิบตําลึง!”

หลินหงตาเป็นประกายเมื่อได้ยินคำว่าได้เงิน

เขาคิดคำนวณอย่างรวดเร็วว่าเงินสิบตําลึงเพียงพอสำหรับให้เขาดื่มสุราในเมืองได้กี่หน เลี้ยงแขกได้กี่ครั้ง และเริ่มคาดเดาว่าพี่สะใภ้ของตนได้เงินมาเท่าใดจากการขายของในเมือง

จู่ ๆ ก็นึกถึงแม่โจวขึ้นมา หากนางอยู่ด้วยอาจเป็นประโยชน์ในการต่อรองเพิ่มขึ้น “ท่านแม่ เรื่องใหญ่อย่างการแยกออกจากตระกูล พี่สะใภ้รองก็ควรที่จะอยู่รับฟังที่นี่ด้วย”

แม่เฒ่าหวังขมวดคิ้วยังไม่ทันได้พูดอะไร ในที่สุดหลินเว่ยก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “นางยังเวียนหัวและลุกขึ้นไม่ได้..”

พ่อเฒ่าหลินโยนกล้องยาสูบลงพื้นทันทีพลางตวาดว่า “แยกครอบครัว กี่คำก็แยกครอบครัว ข้าไม่คิดเลยว่าข้าอุตส่าห์หาที่ดินทำกินให้กับครอบครัวมาตลอดทั้งชีวิต แต่ก็ยังมีคนอกตัญญู ทำแบบนี้แช่งให้ข้าตายเสียยังดีกว่า หากต้องการแบ่งแยกบ้านหลังนี้!”

หลินหงหดคอลงและบ่นว่า “ท่านพ่อ ข้าไม่เคยพูดเลยเรื่องการแยกออกจากตระกูล พี่ใหญ่ต่างหากที่เป็นคนพูด ข้ายังคงภาวนาให้ท่านอายุยืน!”

พ่อเฒ่าหลินโกรธหลินเหรา “เจ้าต้องการสาปแช่งข้าใช่ไหม?”

เมื่อเห็นว่าไฟสงครามลุกลามมาทางเขา หลินเหราได้เตรียมพร้อมเกี่ยวกับสถานการณ์เช่นนี้ไว้แล้ว ไม่ว่าท่านพ่อของเขาจะโกรธเพียงใด เขาก็ยังคงทำสีหน้าเย็นชาและเฉยเมยเหมือนเดิม

เขากล่าวเพียงว่า “เพียงแค่แยกตระกูล ท่านก็คิดมากเกินไปขอรับ”

พ่อเฒ่าหลินยังรู้สึกโกรธเคือง พลันได้ยินเสียงของแม่เฒ่าหวังพูดขึ้น “แยกออกไปแล้วมันจะทำไมนักหนา ลูกชายคนโตของเจ้ายินยอมให้เงินเดือนเดือนละสิบตําลึง! เจ้าเอาแต่ลงสวนไร่นา ชาตินี้จะมีอนาคตดี ๆ กับเขาบ้างหรือไม่? หนึ่งปียังไม่มีเงินเก็บถึงสองตำลึงเลย!”

พ่อเฒ่าหลินทำหน้าตาบูดบึ้งกัดฟันพูดว่า “ไม่ให้แยกออกไป เงินของเจ้าเด็กเหลือขอนี่ก็คือเงินของข้า!”

หลินเหรากวาดสายตามองคนในห้อง ท่านแม่ต้องการเงินจากเขา ท่านพ่อเองก็วางแผนเกี่ยวกับเรื่องเงินไว้แล้ว น้องชายคนรองไม่เคยสนใจเรื่องของตัวเอง ส่วนน้องชายคนที่สามยินดีในความโชคร้ายของคนอื่น…

เขาไม่ได้อาลัยอาวรณ์ครอบครัวแบบนี้เลย

เขาพูดว่า “นอกจากเงินเดือนเดือนละสิบตําลึงแล้ว ยังต้องการสิ่งใดอีกขอรับ”

พ่อเฒ่าหลินโมโหกับท่าทางของหลินเหรา “ ข้าคือพ่อของเจ้า!”

หลินเหรามองเขาอย่างเย็นชา ไม่พูดอะไรออกมา ทว่าทุกคนเข้าใจความหมายของเขา

พ่อเฒ่าหลินโกรธจนหน้าเขียวคล้ำแต่กลับทำอะไรเขาไม่ได้ ได้แต่พูดอย่างดุดัน “แยกก็ได้ แต่เจ้าจะไม่สามารถนำอะไรติดตัวออกไปได้สักอย่าง แม้แต่ไข่ไก่ฟองเดียวก็ห้ามหยิบออกไป นอกจากนี้ทุก ๆ เดือน สิบตำลึงห้ามขาดแม้ซักเหรียญเดียว!”

หลินเหราพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ ได้ขอรับ”

หลินหงตกตะลึง ทำไมเขาตัดสินใจได้เร็วขนาดนี้ เขาจึงรีบห้ามปราม “ท่านพ่อ การแยกตัวออกจากตระกูลเป็นเรื่องใหญ่ ต้องคิดให้รอบคอบ…”

ในห้องหลักไม่มีใครฟังเขา

หลินเหราให้อาจวงไปตามคนผู้หนึ่งมา เมื่อคำนวณเวลาดูคงจวนใกล้จะถึงแล้ว ในขณะที่หลินเหรากำลังคิดอยู่นั้น ก็มีคนเดินเข้ามาจริง ๆ เขายิ้มตาหยีเอ่ยทักทายพ่อเฒ่าหลิน “น้องหลิน ไม่ได้พบกันนานเป็นอย่างไรบ้าง?”

พ่อเฒ่าหลินขมวดคิ้วเพราะฐานะของหลี่เจิ้ง พ่อเฒ่าหลินจึงลุกขึ้นและกล่าวทักทาย “หลี่เจิ้ง…ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร?”

หลี่เจิ้งมีดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา เขาชี้นิ้วไปที่หลินเหรา “อาเหราบอกข้าไว้ก่อนหน้านี้ว่าต้องการออกจากตระกูลหลิน และให้ข้ามาเป็นพยานเรื่องที่ว่าจะให้เงินกับทางตระกูลหลินเดือนละสิบตําลึง”

เมื่อพ่อเฒ่าหลินได้ยินคำนี้ ความโกรธในใจก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก สีหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย หางตาถลึงใส่หลินเหราอย่างโหดเหี้ยม แล้วฝืนยิ้ม “เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไหนเลยจะลำบากท่านต้องมาเป็นพยาน?”

เขาโบกมือและกล่าวว่า “เรื่องของตระกูลไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ยิ่งเรื่องแยกออกจากตระกูลก็ควรที่จะมีพยาน ข้าจะได้กลับไปเขียนไว้ในบันทึกของตระกูล อีกทั้งจะได้ให้คำอธิบายแก่บรรพบุรุษ”

หากหลินเหรายืนกรานที่จะแยกตัวออกไปนอกหมู่บ้านจะทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ้าง ควรมีสักขีพยานเพื่อในวันข้างหน้าเมื่อมีการตรวจสอบ จะบอกคนอื่นว่าอย่างไรและคนทั้งโลกจะมองอย่างไร

พ่อเฒ่าหลินนึกไม่ออกว่าเรื่องราวจะเป็นไปมากถึงขนาดนี้ เพียงแค่คิดเล็กคิดน้อยกับผลแพ้ชนะตรงหน้าจึงพูดกับหลี่เจิ้งว่า “หลี่เจิ้งก็รู้ว่าบ้านของพวกเรานั้นไม่มีอะไรจริง ๆ เมื่อลูกคนโตแยกตัวออกไปจากตระกูล พวกเราก็ไม่มีอะไรให้เขา”

หลี่เจิ้งยิ้มตาหยีแล้วจึงขัดว่า “น้องหลิน ความหมายของเจ้าข้าเข้าใจดี เรื่องหลินเหราต้องการแยกออกจากตระกูล”

พ่อเฒ่าหลินสำลักในขณะที่แม่เฒ่าหวังพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ใช่ถูกต้องแล้ว!”

โดยไม่รอให้ทั้งคู่พูดอะไร นางก็พูดออกมาอย่างชอบธรรมว่า “หากอย่างนั้นเรามาจบเรื่องนี้กันเถอะ ในอนาคต เจ้าจะต้องมอบเงินสิบตำลึงให้พวกเราทุกเดือนและในอนาคตครอบครัวของเจ้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับพวกเราอีก”

พ่อเฒ่าหลินขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

อย่างไรก็ตามเนื่องจากเขาได้รับเงินแล้ว ลูกชายคนโตจะไปมีความสุขที่ไหนเขาก็ไม่จำเป็นต้องยืนขวางทางเขาไว้อีกต่อไป ทว่าเหตุใดในใจของเขาถึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

แม่เฒ่าหวังยิ้มเหมือนดอกไม้บาน ใบหน้าของนางปรากฏรอยย่นใต้โหนกแก้มสูงขณะที่นางพูดกับหลี่เจิ้ง “ไม่คัดค้าน ไม่มีใครคัดค้านแล้ว”

หลังจากพูดจบนางก็หันไปหาพ่อเฒ่าหลิน พ่อเฒ่าหลินก็ทำเพียงได้แค่พูดว่า “ไม่มีการคัดค้าน”

หลินเหราพยักหน้าเช่นกัน

หลี่เจิ้งจึงกล่าวลาด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะเรื่องในวันนี้ก็จบลงแล้ว ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ข้าจะไม่รบกวนพวกเจ้าอีกต่อไป อาเหราเจ้าจะไปพร้อมกับข้าหรือไม่”

หลินเหราพยักหน้าตอบ

เขามองไปที่พ่อแม่และน้องชายทั้งสองที่ต้องแยกจากกัน และหลังจากที่เขาออกมาจากตระกูลหลิน ก็ไม่หันหลังกลับไปมองอีก

หลังจากเดินออกมาจากประตู หลี่เจิ้งก็ถอนหายใจยาวพร้อมกำชับหลินเหราว่า

“อาเหรา ลุงขอเตือนเจ้าสักคำ แม้ว่าพวกเราจะแยกออกจากตระกูล แต่กระดูกและเลือดเนื้อความสัมพันธ์นั้นไม่มีทางตัดขาดได้…อย่าให้คนอื่นกล่าวหาความผิดกับเจ้าในภายหลังว่าไม่กตัญญูต่อพ่อแม่”

หลินเหราพยักหน้า “ท่านวางใจเถิดขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว วันนี้ต้องขอบคุณท่านมาก….”

แต่หลี่เจิ้งรีบโบกมือ “ไม่เป็นอะไรหรอก”

หลินเหราพาชายชรากลับบ้าน ก่อนจะเดินกลับไปที่หมู่บ้านตระกูลเหยา

ยามพลบค่ำ ท้องฟ้าในต้นฤดูใบไม้ผลิสดใสกว่าฤดูหนาวนัก

หลินเหรากลับมาหมู่บ้านตระกูลหลินตั้งแต่ตอนเช้า และในตอนนี้เขาก็เลือกที่จะจากไปตลอดกาล เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นสำหรับเขานั้น มันดูราวกับว่าความอึดอัดใจที่อัดแน่นอยู่ในอกได้สลายหายไปในท้ายที่สุด

เขาเร่งฝีเท้าและมุ่งหน้าไปยังบ้านที่มีภรรยาและลูก ๆ ของเขารออยู่ในยามพลบค่ำ

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เหมือนได้เริ่มชีวิตใหม่สักทีนะท่านพ่อ นอกจากเสียเงินเลี้ยงดูก็ไม่ต้องยุ่งอะไรกับบ้านนั้นแล้ว

ไหหม่า(海馬)