บทที่ 62 ต้าเป่ารู้ความมาตลอด

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 62 ต้าเป่ารู้ความมาตลอด

เมื่อหลินเหรากลับมาถึงหมู่บ้านตระกูลเหยา ท้องฟ้าก็มืดลง ทุกครัวเรือนล้วนมีควันลอยออกมาจากหลังคาบ้านของตน

เขาก้าวเข้าไปในลานบ้านและเห็นม้าของเขาถูกผูกไว้ที่ลาน หัวใจของเขาพลันเต้นแรง เหยาซูพามันกลับมาจากตระกูลเหยาอย่างงั้นหรือ?

ชายหนุ่มเห็นเพียงอาจื้อยืนอยู่ข้างม้าสีน้ำตาลตัวนั้น ในมือถือลูกกวาดกุ้ยฮวาสองถึงสามก้อน พูดกับมันด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าม้า นี่คือลูกกวาดกุ้ยฮวา หากเจ้าร้องออกมาได้ ข้าจะให้เจ้ากิน”

ตัวม้าไม่ได้สนใจ สนใจเพียงแต่แนบศีรษะของมันเข้ากับมือของเด็กชาย พยายามใช้ลิ้นของมันตวัดลูกกวาด

อาจื้อรีบชักมือกลับทันใด “ ตกลงกันแล้วนะ…เจ้าต้องส่งเสียงออกมา!”

ม้าสีน้ำตาลแดงยังคงไม่ส่งเสียงใด ๆ

อาจื้อรู้สึกหดหู่เล็กน้อยพึมพำว่า “เจ้ากินไปสามก้อนแล้ว แต่ไม่ยอมส่งเสียงออกมาแม้แต่เสียงเดียว…ยามที่ข้าให้ลูกกวาดกับเอ้อเป่า นางยังกล่าวขอบคุณพี่ชาย ทำไมเจ้าถึงโง่ขนาดนี้!”

หลินเหราหัวเราะ ม้าจะฟังภาษาคนพูดรู้เรื่องได้อย่างไร

เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงเอ่ยเรียก “อาจื้อ”

เด็กชายตัวเล็ก ๆ หันไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นพ่อของเขาปรากฏตัวที่ประตูหน้าบ้าน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความยินดี “ท่านพ่อ! ท่านกลับมาแล้ว!”

เขากำลังเดินไปหาหลินเหรา ทว่าม้ากลับกัดชายเสื้อของเขาเอาไว้และไม่ให้เดินออกไป

“เฮ้! หยุดนะ ไม่มีอะไรจะให้กินแล้ว! อย่าฉีกเสื้อผ้าของข้า-”

อาจื้อร้อนใจพลางยกมือที่ถือลูกกวาดขึ้นสูง ม้าสีน้ำตาลแดงปล่อยชายเสื้อของเขาและใช้ลิ้นตวัดม้วนลูกกวาดเข้าปาก

เด็กน้อยสูดดมมือขวาของเขาอย่างรังเกียจ กลิ่นเหม็นจากน้ำลายของม้ายังคงติดอยู่ มือเล็ก ๆ ของเขาเปียกโชกจนเขาพูดอะไรไม่ออก

หลินเหราไม่เคยเห็นลูกชายมีชีวิตชีวาเช่นนี้มาก่อน เขาเดินเข้าไปใกล้ ๆ และอุ้มเด็กน้อยขึ้นด้วยแขนข้างเดียว แล้วถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้าป้อนลูกกวาดให้มันกินหรือ?”

อาจื้อเมื่อถูกกอดพลันรู้สึกไม่สบายใจจึงบิดตัวไปมา “ท่านพ่อ อย่าอุ้มข้า…”

แขนของหลินเหราดูไม่ใหญ่นัก ทว่ามันก็แข็งแรงและทรงพลังทำให้อาจื้อไม่สามารถขัดขืนได้ เขาใช้มือเปล่ากดศีรษะของลูกชายแล้วพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ตั้งแต่เจ้าเกิดมาข้าก็อุ้มเจ้าปกติ เหตุใดตอนนี้ถึงอุ้มไม่ได้?”

อาจื้อรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่พักหนึ่ง จึงค่อยตัดสินใจคุยกับบิดาเรื่องม้า

“ท่านพ่อปกติท่านให้ม้ากินอะไรขอรับ”

“ฟางข้าว ฟางข้าวโพด เวลามันไม่กินน้ำก็ป้อนเกลือ”

“ไม่ได้ให้อาหารมันด้วยการกินน้ำตาลหรอกหรือขอรับ”

“ไม่”

“ทำไมไม่ให้มันกินน้ำตาลเล่าขอรับ? ม้าน่ารักชอบกินน้ำตาล”

“…ไม่มีน้ำตาลในค่ายทหาร”

“ไม่มีในค่ายทหารก็สามารถไปซื้อที่ตลาดได้!”

“….”

หลินเหรารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เขาไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อ โชคดีสำหรับเขาที่อาจื้อเปลี่ยนเรื่องพอดี “ท่านพ่อ ม้าของท่านชื่ออะไร”

“ไม่มีชื่อ”

ม้าตัวนี้ท่านแม่ทัพมอบให้กับหลินเหรา และอยู่กับเขามาเป็นเวลานาน ทว่าเขาไม่เคยคิดจะตั้งชื่อให้กับมันเลย

ดวงตาของอาจื้อฉายแววเปล่งประกายหันไปปรึกษาว่า “เอาเป็นว่าพวกเรามาตั้งชื่อให้มันดีหรือไม่ขอรับ”

หลินเหราไม่ตอบอะไร เขาเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับพูดว่า “ลองดูสิ”

เด็กน้อยขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างยากลำบาก จึงถามหยั่งเชิงว่า “เรียกมันว่า ‘คงหวู่’ ดีหรือไม่ขอรับ?”

เหยาซูและอาซือไม่ได้อยู่ในห้อง มีเพียงซานเป่าที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง

ในเมื่ออาจื้อและน้องชายอยู่บ้าน สองแม่ลูกก็ไม่น่าจะไปที่ไหนไกลนัก อีกไม่นานก็คงกลับมา หลินเหราไม่ได้พูดอะไรมากเพียงคิดตามชื่อที่ลูกชายเสนอ “พวกเราไม่มีใครแซ่คง เหตุใดต้องเรียกมันว่าแซ่คง”

ใบหน้าของอาจื้อแสดงออกถึงความสง่างาม แสดงสำนวนที่พึ่งเรียนรู้วันนี้ “ไม่ใช่แซ่คง แต่เป็นคงหวู่ ที่แปลว่ามีพลัง! ม้าตัวนี้มีพละกำลังมาก ต่อให้มันแซ่หลิน พวกเราก็สามารถเรียกมันว่าหลินคงหวู่ได้!”

หลินเหราพูดไม่ออก แม้ว่าเขาจะไม่สนใจว่าม้าจะชื่ออะไร แต่มันเป็นชื่อที่ลูกชายของเขาตั้งขึ้น

“ดีหรือไม่ท่านพ่อ เราจะตั้งชื่อมันว่าคงหวู่-”

หลินเหราปวดหัวอีกครั้ง เขารู้สึกว่าลูกชายของเขาโตขึ้นมาอีกปีและดูเหมือนว่ายากจะรับมือ เขาพูดเพียงว่า “เมื่อแม่ของเจ้ากลับมา หากนางเห็นด้วยก็ตั้งชื่อตามใจเจ้าเถอะ”

อาจื้อขมวดคิ้วและกล่าวออกมา “ท่านแม่จะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน”

เพราะท่านแม่นั้นรักเขามากที่สุด ทันทีที่พูดจบก็ได้ยินเสียงเบา ๆ ด้านนอก อาจื้อพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านแม่กับน้องสาวกลับมาแล้ว! ท่านพ่อปล่อยข้าลงเถอะ!”

พูดจบเขาก็เริ่มบิดตัวไปมาอย่างแรง แขนของหลินเหราคลายลงเล็กน้อย อาจื้อหลุดออกจากแขนของเขาราวกับปลาดุก แล้ววิ่งออกไปด้านนอกทันที

“ท่านแม่! ท่านเอาอะไรอร่อย ๆ กลับมาหรือไม่?”

จากนั้นหลินเหราก็ได้ยินเสียงใสกังวานของเหยาซู “ป้ารองย่างไก่ เพิ่งเอาออกมาจากเตาสด ๆ ร้อน ๆ เจ้าอยากกินหรือไม่?”

ทักษะการทำอาหารของพี่สะใภ้รองนั้นยอดเยี่ยมมาก แม้แต่วัตถุดิบธรรมดาก็สามารถกลายเป็นดอกไม้ในมือนางได้เสมอ

เสียงของอาจื้อดังขึ้นทันที “อยากกิน ไก่ย่างของป้ารองอร่อยที่สุด! ท่านแม่ ข้าจะเข้าไปเอาจานในครัว”

อาซือเองก็น้ำลายไหล “ท่านแม่ มันหอมจังเลย…”

เหยาซูจูงบุตรสาวเข้าไปในบ้าน เอ่ยน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม “อยากกินใช่ไหม เอ้อเป่าเป็นเด็กดีไปนั่งรออย่างว่าง่ายในห้องก่อน ประเดี๋ยวแม่จะไปตักน้ำ พวกเราล้างมือเสร็จก็จะได้กินข้าวกัน”

นางเงยหน้าขึ้นและเห็นชายร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ในบ้าน แสงภายในบ้านนั้นสว่างน้อยกว่าด้านนอกเล็กน้อย เหยาซูตกตะลึงไปชั่วขณะ ดวงตาคู่งามของนางไม่อาจละสายตาจากใบหน้าหล่อเหลาของเขาได้ ในเวลานี้เองนางเข้าใจแล้วว่าบางคนก็เกิดมาพร้อมกับรัศมีที่ทำให้ตาพร่ามัวได้ทุกที่จริง ๆ

“อาซู” ชายคนนั้นเรียกนางเสียงแผ่วเบาก่อนจะก้าวมาข้างหน้า “ข้ากลับมาแล้ว”

ดวงตาของหลินเหราหลุบต่ำลงเล็กน้อย เบ้าตาของเขานั้นลึกมาก ยามจ้องมองไปยังเหยาซูราวกับว่าในสายตาของเขามีเพียงนางผู้เดียวบนโลกใบนี้

เหยาซูไม่ทันได้ตระเตรียมใจ สายตาอันลึกซึ้งของเขาทำให้นางรู้สึกว่าฝ่ามือเริ่มมีเหงื่อชื้น ใบหน้าเห่อร้อนอย่างรวดเร็ว

“ท่าน…”

เขากลับมาจากตระกูลหลินแล้วหรือ?

เพียงแค่นางกำลังจะเปิดปากพูด ลูกคนรองก็ร้องตะโกนออกมานอกห้องว่า “พี่ใหญ่ลูกกวาดของข้าอยู่ไหน? ลูกกวาดน้ำตาลของข้าอยู่ไหน?”

ทันใดนั้นหัวใจที่อ่อนยวบก็หลุดจากภวังค์และหายไปอย่างรวดเร็วราวกับสายน้ำ

เหยาซูอดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองใบหน้าเล็ก ๆ ของอาซือที่เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ใบหน้าของลูกสาวที่น่ารักเปลี่ยนเป็นความโกรธ มือเล็ก ๆ ของนางถือถุงกระดาษที่ว่างเปล่าพร้อมกับแก้มที่พองขึ้น

อย่าว่าแต่หลินเหราเลย แม้แต่เหยาซูก็ไม่เคยได้ยินเสียงกรีดร้องของอาซือเช่นนี้มาก่อน “ลูกกวาดกุ้ยฮวาของข้าล่ะ? ข้ายังเหลือมันอีกตั้งครึ่ง- พี่ใหญ่!!”

ผู้ร้ายได้ยินเสียงบ่นของน้องสาวจึงรีบวิ่งเข้ามา ในมือของเขาถือจานอยู่สองใบ แววตาของเขาวูบไหวเล็กน้อย วางจานลงเสร็จก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“หืม? ลูกกวาดอะไรเจ้าจำผิดไปแล้วกระมัง..”

อาซือถือถุงเปล่าในมือยกสูงขึ้นแล้วพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เห็นชัด ๆ ว่ามันเคยมีอยู่ครึ่งห่อ”

เด็กน้อยรีบหันหน้าไปหาเหยาซู ดวงตากลมโตเป็นประกายอ้อนวอนขอคำยืนยันจากนาง

“ท่านแม่ ท่านก็เห็นใช่ไหมเจ้าคะ? พี่ชายกินลูกกวาดของตัวเองหมดแล้ว แต่ของเอ้อเป่าเหลืออยู่ครึ่งห่อ-”

ครั้งนี้เมื่อเหยาซูกลับมาจากตัวเมืองได้นำลูกกวาดกุ้ยฮวามาฝากเด็ก ๆ คนละถุง หลานชายคนโตและคนรองไม่ชอบกินของพวกนี้ พวกเขาจึงวางไว้ไม่สนใจ แต่ทั้งอาจื้อและอาซือต่างชื่นชอบมันมาก

อาจื้อกินลูกอมกุ้ยฮวาหมดก่อนแต่อาซือไม่ยอมกิน นางตั้งใจจะเก็บไว้กินคืนนี้

เหยาซูได้แต่หันหน้าไปถามอาจื้อ “ต้าเป่าเกิดอะไรขึ้น”

อาจื้อหัวเราะหึ ๆ ก่อนจะจับมือของอาซือและเกลี้ยกล่อมนาง “เอ้อเป่า พี่ชายไม่ได้กินลูกอมของเจ้า ทว่าม้าของท่านพ่อที่อยู่ในลานบ้านมันแอบมากิน”

เด็กน้อยคนนี้ไม่ใช่คนที่จะหลอกได้ง่าย ๆ นางส่ายหัวไม่หยุด “ม้าไม่ได้มาขโมยอาหารแต่พี่ชายต่างหากที่ขโมยมันไป!”

“ก็แค่ลูกกวาดกุ้ยฮวาครึ่งถุงไม่ใช่หรือ? วันหน้าหากพี่ชายหาเงินได้จะซื้อลูกกวาดเป็นภูเขาให้เจ้าดีหรือไม่?”

เด็กคนหนึ่งพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาทว่าอีกคนหนึ่งไม่ยอม เมื่อเหยาซูเห็นพวกเขาส่งเสียงเอะอะโวยวาย นางไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีจึงเริ่มไปเก็บกวาดโต๊ะ

หลินเหราช่วยเหยาซูหยิบอาหารร้อน ๆ ในตะกร้าออกมาแล้วพูดกับนางด้วยรอยยิ้มว่า

“ข้าไม่เคยเห็นเด็กสองคนอยู่ด้วยกันเช่นนี้มาก่อน” พูดจบเขาก็เสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “ต้าเป่านี่ช่างรู้ความจริง ๆ”

………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ท่านแม่หวั่นไหวแล้วหรือเจ้าคะ ท่านพ่อแยกตระกูลแล้วก็ทำตัวดี ๆ ล่ะ

ไหหม่า(海馬)