บทที่ 63 ซานเป่าเป็นเด็กดี
เหยาซูแสร้งทำเป็นเปิดใบบัวที่ห่อไก่ย่างด้วยท่าทางจริงจัง นางไม่ได้มองไปที่หลินเหรา ทว่าปากยังคงตอบเขาว่า “ต้าเป่าอายุเพียงแค่แปดขวบเท่านั้น ยังเด็กอยู่เลย จะรู้ความมากจริงหรือ?”
มีแต่เด็กที่เคยลำบากมากเท่านั้นถึงจะรู้ความได้เร็ว
หลินเหราพยักหน้าและถามว่า “แล้วหลานชายคนรองของตระกูลเหยาเล่า?”
เหยาซูอึ้ง “เจ้าหมายถึงพวกเขาหรือ?”
จากนั้นมุมปากก็ยกยิ้มอย่างเสียไม่ได้พร้อมกับส่ายหัวและหัวเราะ “อย่ามองว่าการที่ต้าเป่าและเอ้อเป่าทะเลาะกันในตอนนี้นั้นเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ เชียว หากต้าหลางกับเอ้อหลางอยู่ด้วยพวกเราคงต้องสร้างหลังคาใหม่เสีย!”
หลินเหรายกยิ้มมุมปากและพยักหน้า “ข้าว่าเอ้อหลางเป็นเด็กร่าเริง”
เมื่อนึกถึงท่าทางที่เอ้อหลางถูกเหยาเฉาวิ่งไล่ เหยาซูก็อดหัวเราะไม่ได้ แม้แต่ดวงตาก็โค้งคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยว
หลินเหรานิ่งงันไป เขาหยุดเคลื่อนไหวราวกับตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ในขณะที่เหยาซูกำลังรอให้เขาส่งอาหารอีกจานให้นาง พอเห็นว่าเขาไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรจึงปรายตามองหลินเหราวูบหนึ่งแต่ก็ยังคงไม่เข้าใจ
“หืม? ส่งมาให้ข้าสิ..”
เสียงของนางไม่ดังและไม่เบา แม้ไม่ดังเหมือนตอนที่คุยกับเด็ก ๆ แต่เสียงของนางกลับเหมือนตะขอเล็ก ๆ ที่ดึงดูดใจคนฟัง
หลินเหรายื่นมือออกมาให้โดยไม่รู้ตัวและพยายามพูดเรื่องอื่นปิดบังความรู้สึกของตัวเอง “ข้าว่าต้าหลางคงรู้ความมากกว่า”
เหยาซูกลับหัวเราะ “หึ ต้าหลางก็เหมือนกับเอ้อหลาง ช่างพูด วันหน้าเมื่อเจ้าได้รู้จักเด็กทั้งสองคนมากขึ้นท่านจะรู้เอง..”
หลินเหราได้ยินเสียงหัวเราะของภรรยา พลันทำให้เขาเหม่อลอยไปชั่วขณะ รู้สึกว่าทุกคำที่นางเอ่ยออกมานั้นเหมือนคลื่นน้ำกระเพื่อมในสระน้ำเล็ก ๆ ภายใต้แสงจันทร์ที่เขาเคยพบเห็นมาก่อน แสงสีเงินสะท้อนความงามอันอ่อนโยนออกมา
เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์แปลก ๆ ที่ผุดขึ้นมาในใจได้ มันเป็นความรู้สึกที่ร้อนรนและอบอุ่นผสมปนเปกัน เป็นความรู้สึกที่ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก
หลินเหราจึงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำขึ้น “อาซู…”
“หืม?”
เหยาซูเงยหน้าขึ้นดวงตาฉายแววสงสัย หลินเหรายิ้มเล็กน้อย “ข้าอยากจะบอกเจ้าว่าเรื่องการแยกออกจากตระกูลนั้นสำเร็จแล้ว”
ตอนนี้ถึงคราวที่เหยาซูต้องตกตะลึงบ้าง
ใบหน้าของชายหนุ่มค่อนข้างเย็นชา สีหน้ายามปกติก็ไร้ซึ่งอารมณ์ใด แม้แต่ดวงตาลึกล้ำคู่นั้นมักทำให้คนอื่นมองเห็นอารมณ์ไม่ชัด
รอยยิ้มในตอนนี้นั้นทำให้ดูเยาว์วัยขึ้นมาอีกหลายส่วน
เหยาซูบังคับตัวเองให้มองไปทางอื่น นางกรีดร้องในใจ ‘กรี๊ด! ไม่ได้! ไม่ได้! เขาเป็นพระเอก! ต่อไปเขาจะไปอยู่กับนางเอกตามนิยายต้นฉบับ!’
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อยู่หลายครั้งก็สงบสติอารมณ์ลงได้ นางส่งเสียง “อืม” ออกมาโดยไม่ปฏิเสธและไม่พูดใด ๆ
หลินเหรากลับยังไม่ยอมแพ้ จึงถามต่อว่า “เพราะฉะนั้นเรื่องหย่า…”
เหยาซูไม่ตอบในทันที นางเก็บข้าวของเสร็จเช็ดมือด้วยผ้าสะอาดบนโต๊ะจากนั้นกอดอกมองหลินเหรา
“อย่าลืมว่ายังมีเด็กอีกสองคนที่ยังไม่ให้อภัยเจ้า”
หลินเหรามองไปที่ลูก ๆ ทั้งสองที่กำลังส่งเสียงเอะอะโวยวายอยู่ ตอนนี้ทั้งคู่กำลังกระซิบกระซาบกัน ดังนั้นเขาจึงหันไปพูดกับเหยาซู ว่า “ต้าเป่าและเอ้อเป่าไม่โกรธแล้ว”
บางทีอาจเป็นเพราะสีหน้าขัดขืนของเหยาซูนั้นชัดเจนเกินไป อารมณ์ที่สดใสของหลินเหราพลันค่อย ๆ จางลง เขาจ้องมองเหยาซูอย่างแน่วแน่ด้วยดวงตาทอประกายแสง “อาซู เจ้ายังอยากจะหย่ากับข้าอยู่อีกหรือ?”
เหยาซูไม่ได้ตอบแต่กลับพูดเรื่องอื่นแทน “นี่ก็ค่ำแล้วเหตุใดไม่กินข้าวกันเล่า”
หลินเหราอยากพูดอะไรบางอย่างทว่าเหยาซูกลับไม่ให้โอกาสเขา
นางเรียกเด็กทั้งสองคน “ต้าเป่า เอ้อเป่า ไปล้างมือกับแม่…”
อาซือและอาจื้อรับคำ ทั้งสามแม่ลูกเดินออกไปด้วยกัน
หลินเหราคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่พวกเขาทำตัวเหมือนสามีภรรยาธรรมดา และซุบซิบนินทาเรื่องครอบครัวคนอื่น อาซูไม่ได้มีท่าทีเบื่อหน่ายกับการที่เขาอยู่ตรงนี้ แต่เพียงแค่พริบตานางกลับปฏิเสธความรู้สึกนี้…เพราะเหตุใดกัน?
นอกจากนี้นางยังบอกอีกว่า ตราบใดที่ตระกูลหลินไม่มารบกวนนางและลูก ๆ ของพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ต้องแยกทางกัน…
ขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่าน พลันเสียงใส ๆ ของอาซือก็ดังขึ้นจากด้านนอก
“ ท่านพ่อ! ท่านแม่บอกให้ท่านมาล้างมือเจ้าค่ะ!”
จากนั้นเหยาซูก็พูดกับอาจื้อ เสียงของนางทุ้มต่ำและพูดอย่างรวดเร็วจนหลินเหราได้ยินไม่ชัดเจน เขารู้สึกผิดหวังแต่ในใจกลับรู้สึกอ่อนยวบขึ้นมาอีกครั้ง บางทีอาจเป็นเพราะเหยาซูถูกลูกชายเผลอเปิดใจ จึงรู้สึกอับอายอยู่กระมัง
นางไม่ยอมเรียกเขาแต่ให้เด็กเรียกเขาออกไปแทน…ความขัดแย้งระหว่างพวกเขาคืออะไรกัน? หลินเหราไม่สามารถคาดเดาความคิดของเหยาซูได้และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอยู่เฉย ๆ
หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จทั้งครอบครัวท้องฟ้าก็มืดสนิท ขณะที่เหยาซูกำลังเก็บชามและตะเกียบ แต่หลินเหราห้ามไว้ “วันนี้เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว ข้าจะทำเอง”
นางลังเลอยู่ชั่วครู่และเป็นจังหวะที่ซานเป่าตื่นพอดี ดูเหมือนว่าเขากำลังจะร้องไห้ เหยาซูจึงทิ้งชามและตะเกียบไว้ให้หลินเหราจัดการแล้วผละไปดูลูกด้วยตนเอง
อาจื้อเองก็ขยับเข้าไปใกล้ซานเป่า พลันขมวดคิ้ว
“ท่านแม่ น้องชายเหม็นมาก”
“หืม? ไหนแม่ดูหน่อยว่าซานเป่ามีกลิ่นเหม็นไหม”
เมื่อเหยาซูได้ยินบุตรชายพูดแบบนั้นก็รีบเดินไปที่ตู้แล้วหยิบผ้าฝ้ายที่สะอาดและอ่อนนุ่มออกมา เดินไปข้างเตียงเพื่อตรวจดูอาการของลูกชายคนเล็ก
นางเห็นผ้าอ้อมของซานเป่าสกปรกแล้วจึงพูดกับหลินเหรา “ท่านอย่าเพิ่งกังวลเรื่องล้างจานเลย เข้าไปในห้องครัวเตรียมน้ำร้อนให้ข้าหน่อย ข้าจะอาบน้ำให้ซานเป่า”
ในอดีตเหยาซูเป็นต้มน้ำร้อนด้วยตนเอง ไม่ได้ใช้ให้อาจื้อทำ ถึงอย่างไรเขาก็ยังเด็ก หากปล่อยให้เด็กทำอาจถูกลวกได้
ตอนนี้พ่อของเด็ก ๆ อยู่ที่บ้านแล้วเหยาซูจึงใช้เขาแทน
นางกล่าวกับอาจื้อว่า “ไปช่วยท่านพ่อของเจ้า แล้วเอาอ่างไม้ที่ซานเป่าใช้อาบน้ำทุกวันออกมา”
อาจื้อรับคำแล้วปีนลงจากเตียงอย่างคล่องแคล่วแล้วพาหลินเหราเข้าไปในห้องครัว สองพ่อลูกช่วยกันยกน้ำร้อนมาให้ หลินเหราทำงานอย่างระมัดระวัง เขาผสมน้ำเย็นกับน้ำร้อนเพื่อให้อุ่นกำลังพอดี
เหยาซูทดสอบอุณหภูมิของน้ำโดยการใช้มือของนาง หลังจากที่จุ่มมือลงไปแล้วพบว่าเป็นอุณหภูมิที่นางต้องการพอดี นางจึงเปลี่ยนผ้าอ้อมที่สกปรกของซานเป่า แล้วใช้ผ้าฝ้ายชุบน้ำอุ่นเช็ดให้ซานเป่าเบา ๆ
อาซือหัวเราะอยู่ข้าง ๆ ไม่หยุด “วันนี้น้องชายกินอะไรมา เหม็นจังเลย!”
อาจื้อจึงพูดขึ้นบ้าง “ตอนเด็ก ๆ เจ้าก็เป็นเช่นนี้ เหม็นยิ่งกว่าน้องชายอีก”
เด็กทั้งสองคนมองหน้ากันไปมา จากนั้นเบียดกันเพื่อที่จะเล่นกับซานเป่า
กระบวนการทำความสะอาดไม่ใช่เรื่องยาก ซานเป่าลืมตาราวกับองุ่นดำขึ้น ไม่ได้สนใจการหยอกล้อของพี่ชายและพี่สาว เขาเอาแต่มองไปที่หลินเหรา ไม่ได้ร้องไห้หรือโวยวายใด ๆ
หลินเหราพูดเสียงเบา ๆ “ซานเป่าเป็นเด็กดีมาก”
เหยาซูชำเลืองมองเขาครู่หนึ่ง เห็นดวงตาของชายหนุ่มและลูกชายคนเล็กกำลังมองหน้ากันจึงเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้ว่า
“เขายังไม่รู้จักเจ้าด้วยซ้ำ”
ความหมายของนางก็คือ ไม่ใช่ว่าลูกนางเป็นเด็กดีแต่เขากำลังเรียนรู้ชายคนนี้มากกว่า
หลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ซานเป่าเสร็จ อาซือและอาจื้อก็ช่วยหลินเหรายกชามและตะเกียบไปที่ห้องครัว เหยาซูก็ถือโอกาสนี้ป้อนนมให้กับซานเป่า
ตอนนี้ร่างกายของนางได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและมีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอ จึงมีน้ำนมแล้ว ทว่าตอนที่หลินเหราอยู่นางไม่ยอมเปลื้องผ้าให้นมลูกต่อหน้าเขา
หลินเหราไม่ได้รับรู้ถึงความอึดอัดใจของเหยาซู หลังจากกลับมาจากห้องครัวเขาก็ได้กลิ่นหอมหวาน ๆ ลอยฟุ้งไปทั่วห้องแต่ไม่ได้คิดอะไรมาก
ภายใต้แสงจากตะเกียงน้ำมันสีเหลือง เหยาซูอุ้มทารกอายุไม่กี่เดือนในอ้อมแขนของนางและกำลังหยอกล้ออยู่กับเด็กน้อย
อาซือและอาจื้อล้างหน้าล้างตาเสร็จก็เตรียมที่จะขึ้นเตียง เด็กทั้งสองคนเริ่มหาวออกมา
เตาไฟถูกจุดเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับพวกเขาในขณะนอน พวกเขาขึ้นไปบนเตียงเตาและทิ้งตัวนอนลงอย่างรวดเร็ว
เหยาซูไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางยังคงกอดซานเป่าและกล่าวกับเด็กทั้งสองคนว่า “ต้าเป่า เอ้อเป่า ถอดเสื้อนอกออกก่อนค่อยนอน”
อาจื้อยังต้องการพูดอีกประโยคและพยายามเบิกตาของตัวเองอย่าง่วงนอน แต่อาซือง่วงนอนจนพูดอะไรไม่ออก
หลินเหราเห็นดังนั้นจึงนั่งบนเตียงและช่วยถอดเสื้อนอกของอาซือ แล้ววางลูกสาวพร้อมห่มผ้าอย่างดี
เด็กทั้งสองหลับไปแล้ว หลินเหรากระซิบกับเหยาซูว่า “เจ้าก็ไปอาบน้ำนอนเถิด ข้าจะกล่อมซานเป่าเอง”
บางทีนางอาจใช้เวลาอยู่ในสมัยโบราณนานเกินไป ตอนนี้เหยาซูก็เหมือนกับนาฬิกาชีวภาพที่ง่วงนอนตั้งแต่ฟ้ามืด ดังนั้นนางจึงอดหาวไม่ได้
“อืม…ไม่เป็นไรข้าไม่ได้ง่วงนอน ซานเป่าเพิ่งตื่นไม่นานยังต้องเล่นกับเขาอีกสักพัก”
หลินเหราพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำและไพเราะว่า “ดูเจ้าสิ ตาแทบจะปิดอยู่แล้ว”
ขณะที่พูดเขาก็อุ้มซานเป่าออกมาจากอ้อมแขนของเหยาซู
ในบ้านที่ตัวเองคุ้นเคยมากที่สุด อุณหภูมิที่อบอุ่น แสงสลัว ๆ และเสียงของผู้ชายที่จงใจลดต่ำลง ทั้งหมดนี้ลดความระแวดระวังของเหยาซูที่มีต่อหลินเหรา
พอนางรู้สึกตัวก็พบว่าชายคนนี้กำลังกล่อมซานเป่าแล้ว
“เช่นนั้นข้าไปล้างหน้าบ้วนปากก่อน…แล้วท่านเล่า?”
หลินเหรากอดซานเป่าแล้วตอบเสียงเบาว่า “เมื่อสักครู่ข้าล้างจานเสร็จแล้ว”
เสียงที่จงใจกดทุ้มต่ำและทรงพลังนั้นมีทำให้ฟังดูมีเสน่ห์มากขึ้น
…………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ครอบครัวสุขสันต์มากค่ะตอนนี้ ท่านพ่อทำคะแนนดีมาก พอหายซื่อบื้อแล้วก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ
นางเอกนิยายจะกลายเป็นนางร้ายแทนหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)