ตอนที่ 109 พบกันจากกัน เป็นของคู่กัน

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

วันรุ่งขึ้นหลังงานเลี้ยงครบเดือน เหลียงเอินไจ่ก็พาคนของเขาเร่งกลับเมืองหลวง พร้อมกันนั้นยังไม่ลืมที่จะลากท่านพ่อแสนซุกซนของเขา…เหลียงเสวียนจิ้ง…กลับจวนไปเผชิญหน้ากับบรรดาภรรยาน้อยและลูกๆ ของเขาทั้งกระบุงเอง เดิมเฟิงไฉ่อวิ้นดึงดันจะอยู่กับลูกสาวที่นี่ ไม่ยอมกลับ แต่ถูกเหลียงเสวียนจิ้งอุ้มขึ้นรถม้าไป

ส่วนหลงซีเยว่ เพราะว่าเหลียงเอินไจ่มาครั้งนี้ได้รับฝากวาจามาจากโอวหยางซวิน เร่งให้นางกลับไป ในวังมีเรื่องสำคัญต้องการความช่วยเหลือจากนาง ดังนั้นจึงต้องกลับไป

“หากมีโอกาสมาเมืองหลวง ข้าจะพาเจ้าเดินชมเอง” หลงซีเยว่ดึงมือซูสุ่ยเลี่ยนไว้อย่างอาลัยอาวรณ์ราวกับน้องสาวแท้ๆ

เหลียงเอินไจ่มองหลงซีเยว่อย่างนึกแปลกใจ ก่อนจะลากซูสุ่ยเลี่ยนออกห่างจากหลงซีเยว่ไปอีกทาง กำชับว่า

”หากมีผู้ใดรังแกเจ้าก็บอกพี่ใหญ่ ไม่ว่าผู้ใด พี่ใหญ่ต้องออกหน้าให้เจ้า” ตอนเหลียงเอินไจ่กล่าววาจาเช่นนี้ สองตาหลินซือเย่าก็เอาแต่จับจ้องน้องสาวเขาอย่างไม่กะพริบ คิดว่าอีกฝ่ายจะสงบใจได้ดังภาพที่แสดงออกหรือไม่

“พี่ใหญ่วางใจ มีอาเย่าอยู่ ข้าย่อมไม่เป็นอะไร” ซูสุ่ยเลี่ยนตอบทันที ทำให้สีหน้าตึงของหลินซือเย่าจางลง ทำเอาเหลียงเอินไจ่ได้แต่ไร้วาจาจะกล่าว

เฮ้อ ก็เพราะอย่างนี้อย่างไร เขาจึงได้เป็นกังวล! นางสาวโง่งม!

เหลียงเอินไจ่เหลือกตามองบนอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก่อนจะส่งแววตาคุกคามไปให้หลินซือเย่า หากเจ้าทำน้องสาวข้าเจ็บ ข้าต้องไม่ปล่อยเจ้าแน่ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เบื้องหลังเจ้านะ…เทพสังหารเหรียญทองแห่งหอเฟิงเหยา! หลายปีก่อนนั้น เขายังคงจำได้แม่นยำ

หลินซือเย่าเลิกคิ้ว จ้องคุกคามเขากลับคืน เจ้าก็เหมือนกัน หากให้ข้าเห็นว่าเจ้าแตะต้องนางอีก ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นพี่ชายนางหรือไม่ จัดการไม่ละเว้น!

ชายสองคนส่งสายตาฟาดฟันกันเสร็จ ก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ กลัวทำสตรีตัวน้อยเบื้องหน้าตกใจ

……

“ซวี่เอ๋อร์ อาเย่า พอฤดูใบไม้ผลิแม่ก็จะมาอีก เหลียงหมัวมัวดูแลคุณหนูกับท่านเขยให้ดี รู้ไหม”

ช่วงเวลาที่ก่อนขบวนรถม้าออกเดินทาง ม่านรถม้าหรูหราคันใหญ่ของอ๋องจิ้งเปิดจากด้านในรถม้า เฟิงไฉ่อวิ้นหน้าอิ่มเอิบเบิกบานโผล่หน้าออกมากำชับทุกคนอย่างละเอียดอีกรอบก่อนจะโบกมืออำลา กลัวว่าบรรดาบ่าวจะทำงานไม่ดี ทำให้ลูกสาวนางลำบาก

“บ่าวทราบแล้ว ขอฮูหยินโปรดวางใจ” เหลียงหมัวมัวกับชุนหลันและบรรดาสาวใช้คนงานชายตอบรับพร้อมเพรียง

เฟิงไฉ่อวิ้นยังไม่ทันได้หันไปกำชับซูสุ่ยเลี่ยนต่อ ก็ถูกเหลียงเสวียนจิ้งดึงกลับเข้ารถม้า “ลูกสาว ลูกเขย หากคิดถึงพ่อกับแม่และพี่ใหญ่แล้ว ก็ส่งจดหมายมาเมืองหลวง พ่อจะส่งคนมารับพวกเจ้า”

“ทราบแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนหัวเราะโบกมือ “ท่านพ่อท่านแม่รักษาสุขภาพด้วย ลูกอยู่ที่นี่ทุกอย่างล้วนสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง”

“เอาละๆ ใช่ว่าไม่ได้เจอกันอีก ชักช้าอีกคืนนี้ก็ไม่ทันได้เข้าเมืองสุ่ยเยว่แล้ว” เหลียงเอินไจ่พิงอยู่นอกตัวรถ อดเหลือกตามองฟ้าไม่ได้ ส่งเสียงตัดบทการสนทนาของเหลียงเสวียนจิ้งพ่อลูก

“เจ้าหน้าเหม็น เจ้าไปของเจ้า ข้ากับแม่ใหญ่เจ้าเร่งเดินทางกลับเมืองหลวงไปฉลองปีใหม่ดีกว่า”

“ฝันไปเถอะ ผู้ใดจะรู้ว่าพวกท่านสองคนระหว่างทางจะหันหลังกลับมาอีกไหม” ความน่าเชื่อถือของท่านพ่อเขาพังทลายไปตั้งแต่คิดวางอุบายส่งมอบภาระหนักหนายกตำแหน่งอ๋องให้เขาตอนที่เขาอายุแค่สิบแปดแล้ว ความเข้าใจของเหลียงเอินไจ่ที่มีต่อเหลียงเสวียนจิ้ง ก็คือท่านพ่อแล้งน้ำใจของเขาย่อมปล่อยเขาทิ้งได้ทันที

“เจ้าเด็กบ้าพูดจาเหลวไหล” เหลียงเสวียนจิ้งถลึงตาหนวดกระดิก พอสบถด่าออกไปแล้ว ก็หันไปโบกมือให้ซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่า ก่อนจะหันกลับเข้ารถม้าไป

ทั้งขบวนก็ค่อยๆ เคลื่อนออกเดินทางไกลนับพันลี้ เร่งกลับเมืองหลวง

……

พอท่านอ๋องจิ้งกับพระชายาไปแล้ว ทั้งบ้านก็เงียบลงไปไม่น้อย

ซือทั่วรีบมาดื่มสุรางานครบเดือนแล้วก็รีบกลับไปจัดการงานที่หอเฟิงเหยาทันที กะว่าจะเร่งให้เสร็จก่อนปีใหม่ เตรียมกลับมาฉลองปีใหม่สบายๆ ที่เมืองฝานฮัว

ซือชงกลับไปหอกว่างชื่อโหลวตอนที่ซือถูอวิ๋นกลับมาจากเมืองฮ่วนซา มีซือถูอวิ๋นคอยดูแลหลินเซียวกับหลินหลง เขาก็วางใจมาก จะว่าไปที่นี่อย่างไรก็เป็นพื้นที่ของซือหลิง หากแม้แต่ทารกแฝดนี้ยังปกป้องไม่ได้ ก็คงเสียเหลี่ยมเทพสังหารของเขาแล้ว

แปดองครักษ์ มีแค่เซียวเหิงที่ได้อยู่ต่อที่นี่ นอกจากคอยช่วยซือถูอวิ๋นดูแลบ้านทั้งสองแล้ว ยังได้ใกล้ชิดเพาะปลูกความสัมพันธ์กับชุนหลัน องครักษ์ที่เหลือล้วนถูกซือชงพาตัวไป ‘ใช้งานเต็มที่’ ที่หอกว่างชื่อโหลว แล้ว

ซูสุ่ยเลี่ยนเดาถูกจริงดังคาด เซียวเหิงมีความรู้สึกดีๆ ให้กับชุนหลัน แต่ว่าเพราะก่อนหน้านี้ชุนหลันคิดว่าเซียวเหิงมีนางในดวงใจแล้ว สัมพันธ์จึงไม่คืบหน้า ซูสุ่ยเลี่ยนให้ซือถูอวิ๋นไปสืบข่าว ผลที่ได้ก็คือ เป็นแค่ข่าวลือโดยแท้ ไม่มีความจริงแม้แต่น้อย

พอเช่นนี้ ก็ทำให้ปัญหาระหว่างชุนหลันกับเซียวเหิงหมดไป รอสองคนปักใจรักมั่นกันแล้วก็จะได้จัดงานแต่งงานให้

เหลียงหมัวมัวได้เรียนพระชายาเฒ่าแล้วว่าให้เตรียมจัดงานแต่งงานให้กับชุนหลัน ในเมื่อแต่งออกจากจวนอ๋องจิ้ง ก็ต้องให้จวนอ๋องจิ้งเตรียมงาน เช่นนี้ก็ดี เหลียงหมัวมัวยิ้มพลางคิด พอชุนหลันกับองครักษ์เซียวแต่งงานกันเสร็จก็จะเป็นคู่สามีภรรยาที่ดูแลงานในบ้านได้เหมาะสมที่สุด ไม่ว่างานสร้างจวนพักตากอากาศจะขนาดเท่าใด แต่ที่นี่ก็ยังต้องการคู่สามีภรรยาคอยดูแลงานที่นี่ในระยะยาว

เหลียงหมัวมัวอายุเกินสี่สิบและยังไม่แต่งงาน ก็คงไม่ควรออกหน้าจัดการเรื่องที่ควรเป็นเรื่องของพวกผู้ชายจัดการ ดังนั้นพอองครักษ์เซียวคุ้นเคยกับการควบคุมการก่อสร้างแล้ว นางก็จะถอยไปอยู่แนวหลัง ไปดูแลคุณหนูกับคุณชายน้อยแทน นี่คืออนาคตอันงดงามไม่ใช่หรือ เหลียงหมัวมัวไม่มีลูก คิดปลอบใจตนเองเช่นนี้

……

หลังงานเลี้ยงครบเดือนไม่กี่วัน ตระกูลฮัวก็พากันย้ายออกจากเมืองฝานฮัว วาดหวังมาหลายปี ในที่สุดก็ได้ย้ายไปอยู่ในตัวเมืองแล้ว ส่วนบ้านหวังกับบ้านกู้ที่อยากย้ายกลับไปตอนเหนือก็ได้หารือกับผู้ใหญ่บ้าน เตรียมตัวไว้กว่าหลังปีใหม่ก็จะออกเดินทาง

ดังนั้นบ้านตระกูลฮัวที่ว่างลงก็กลายเป็นที่รวมตัวกันของบรรดาศิษย์ยี่สิบสี่คนของซือชงจากหอกว่างชื่อโหลว

เหลียงหมัวมัวทำตามความต้องการท่านเขย แบ่งสาวใช้กับคนงานชายไปทำอาหารและปัดกวาดให้กับบรรดาเด็กหนุ่มเลือดร้อนฮึกเหิมทั้งยี่สิบสี่คนนี้ พวกเขาจะได้ไม่มารบกวนคุณหนูกับคุณชายน้อย แน่นอนนี่คือเหลียงหมัวมัวคาดเดาเอาเอง ความเดิมท่านเขยก็คือ เมืองฝานฮัวตอนนี้เป็นจวนพักตากอากาศของจวนอ๋อง ในเมื่อพวกเขาเป็นแขก ก็ควรได้รับการดูแลอาหารสามมื้อ

“พวกศิษย์บอกว่า อาจารย์ลุงเขาเคร่งเครียดจริงๆ แม้แต่หน้าเซียวเอ๋อร์กับหลงเอ๋อร์ พวกเขาก็ยังไม่เคยเห็น” วันส่งเทพเจ้าเตาไฟ ซือชงมาร่วมกินอาหารโดยเฉพาะ บอกเล่าความในใจของศิษย์ทั้งยี่สิบสี่คนของเขา เขามองจ้องหลินซือเย่าลึกเข้าไปในแววตา ก่อนจะแย้มยกมุมปากกล่าวว่า “เจ้าคงไม่ได้กลัวว่าพวกเขาจะรบกวนอาซ้อกระมัง”

“ใช่แล้วอย่างไร พวกเขาพูดมากดังเอะอะ” หลินซือเย่าจิบชาก่อนจะวางถ้วยชาลงบนโต๊ะหันกลับไปตอบน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“พูดมากดังเอะอะ? เอ่อ…ก็จริง คนยี่สิบสี่คนมาพร้อมกันก็ย่อมเอะอะเสียงดังไปสักหน่อย อย่างนั้นเอาอย่างนี้ ข้าให้พวกเขาเข้าแถวกันมา มาได้แค่วันละสองคน อย่างนี้ได้แล้วกระมัง” ซือชงคิดหาทางออกสวยๆ เองได้แล้ว

“ว่ามา จุดประสงค์คืออะไร” หลินซือเย่าไม่ตอบเขาตรงๆ หากถามเจตนาแท้จริงของซือชงแทน พวกเขาสี่คนตั้งแต่เข้าหอเฟิงเหยามาถึงตอนนี้ รู้จักกันมาสิบกว่าปีแล้ว ซือชงนิสัยอย่างไร เขายังไม่รู้หรือ เดินทางมาไกล และยังให้บรรดาศิษย์ของเขาที่ซุกซนไม่อยู่กับที่ ชอบออกปฏิบัติภารกิจมาเก็บตัวสงบเสงี่ยมกันในเมืองฝานฮัวที่ถูกพวกเขาเรียกว่าเมืองห่างไกลที่แม้แต่นกกาก็ไม่มาออกไข่ หากจะบอกว่าไม่มีจุดประสงค์อื่น ชื่อเขาหลินซือเย่าก็เขียนกลับหัวได้เลย

“จุ๊ๆ ไยกล่าวเช่นนี้ พวกเขามาเยี่ยมศิษย์น้อยร่วมสำนักบริสุทธิ์ใจ ได้ยินอวิ๋นเอ๋อร์บอกว่าทารกแฝดน่ารักมาก พวกเขาก็ทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหว ก็พอเข้าใจจิตใจได้นะ” ซือชงกล่าวจบก็หลุบตาลง ยกถ้วยชาจิบให้ชุ่มคอ เฮ้อ กล่าววาจามั่วซั่วกันต่อหน้า ไม่ใช่ความสามารถของเขาจริงๆ แต่ว่าหากซือหลิงรู้เป้าประสงค์เขาจริง ซือทั่วก็คงกัดเขาไม่ปล่อยแน่

“จริงหรือ” หลินซือเย่าได้ฟังคำแก้ตัวเจ้าเล่ห์ของเขาแล้ว ก็แค่นเสียงฮึออกมาเบาๆ ไม่โต้เถียงเขา

“ใช่แล้ว ซือหลิง ซือเล่า บอกว่าปีใหม่จะกลับมาไหม”

หลินซือเย่าก็ไม่คิดเปิดโปงเจตนารมณ์ของซือชงที่ต้องการเปลี่ยนประเด็น ส่ายหน้าบอกเขาว่าไม่รู้

ซือเล่าออกเดินทางไปหลางซีในวันงานเลี้ยงครบเดือน ตอนนี้ก็ผ่านไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว

กล่าวตามจริง ด้วยฝีมือซือเล่า บุกไปจัดการคู่ประหลาดหลางซีที่วิทยายุทธแปลกประหลาดคนเดียว โอกาสชนะไม่ได้มาก แม้บอกว่าก่อนหน้านี้เขากักตนฝึกวิทยายุทธอย่างหนัก ก่อนออกเดินทางก็ฝึกพลังเสวียนหมิงได้ถึงขั้นเก้าสุดยอดแล้ว ห่างกับขั้นสิบอันเป็นขั้นสุดก็อีกแค่ก้าวเดียวแล้ว แต่ก็ยังไม่คงไม่อาจรับประกันได้ว่าจะชนะคู่ประหลาดหลางซีได้อย่างมั่นใจ

“เฮ้อ นิสัยซือเล่าก็ดื้อดึงจริง หากเป็นข้า ในเมื่อเฟิงชิงหยาตายแล้ว ความแค้นกับคู่ประหลาดหลางซีก็ควรจะจบลงได้แล้ว ไยต้องหาเรื่องไม่พอใจชีวิตตนเองด้วย” ซือชงถอนใจกล่าวต่อว่า “นับประสาอันใดกับเฟิงชิงหยาเคยสมคบคิดกับพวกเซวี่ยหมิง คู่ประหลาดหลางซีที่มาจากทางเหนือนั่นไม่แน่ว่าก็คือพวกจากแผ่นดินเซวี่ยหมิง”

“เซวี่ยหมิง…” หลินซือเย่าพึมพำกล่าวซ้ำคำที่ซือชงกล่าวออกมารอบหนึ่ง สองตาเปล่งประกาย นึกถึงที่อดีตประมุขเคยเอ่ยถึง ร้อยปีก่อนแผ่นดินเซวี่ยหมิงทางเหนือรบกับแผ่นดินต้าหุ้ยมาหลายปี จ้องอาฆาตแผ่นดินต้าหุ้ยมาตลอด แผ่นดินเซวี่ยหมิง…เซวี่ยหมิง…

“แย่แล้ว!” เขาผุดลุกขึ้นทันที หรี่ตามองซือชง “ซือเล่า เกรงว่าร้ายมากกว่าดีแล้ว”

……

“ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ไปกันเถอะ” ซูสุ่ยเลี่ยนเก็บห่อผ้าให้หลินซือเย่าง่ายๆ ในนั้นมีเสื้อคลุมตัวนอกผ้าหนาชุดหนึ่ง เสื้อตัวในไว้เปลี่ยนสักสองชุด รองเท้าหุ้มแข้งผ้าฝ้ายคู่หนึ่ง ยังมีอาหารแห้งที่หากหาที่พักค้างแรมไม่ได้ก็จะได้กินให้อิ่มท้องไปก่อน พร้อมถุงน้ำสะอาด ส่งให้หลินซือเย่าที่กำลังมองนางอย่างลึกซึ้ง

“สุ่ยเลี่ยน ข้าไป…ไม่เพียงแต่เพราะว่าซือเล่า ยังเพื่อ…พิสูจน์ความจริง หากข้าเดาถูกต้อง เกรงว่าแผ่นดินต้าหุ้ยกำลังมีภัย” หลินซือเย่ากอดนางไว้พลางกระซิบข้างหูเบาๆ

หากเป็นเมื่อก่อน เขาย่อมไม่สนใจว่าแผ่นดินจะล่มหรือจะอยู่ ราษฎรจะตกในภาวะสงครามหรือไม่

แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เขามีครอบครัวมั่นคงแล้ว มีภรรยาที่รักกันลึกซึ้งและลูกน้อยที่น่ารัก เขาไม่อาจทนดูดายได้

ยิ่งไปกว่านั้น บิดานางกับพี่ชายนางก็เป็นอ๋องแผ่นดินต้าหุ้ย หากแผ่นดินเซวี่ยหมิงเป็นดังที่เขาคาดเดา พวกนั้นบุกรุกรานแผ่นดินต้าหุ้ย ประสานกำลังกับพวกเซวี่ยหมิงที่กบดานแฝงตัวอยู่ในแผ่นดินต้าหุ้ยมาหลายปี แผ่นดินต้าหุ้ยก็ย่อมน่าห่วง