บางทีเขาอาจพาสุ่ยเลี่ยนกับทารกแฝดไปให้ห่างไกลจากที่นี่ได้ อาจข้ามน้ำข้ามทะเลไปหาที่สักแห่งก็ได้ แต่บิดามารดาและพี่ชายนางเล่า?
“ข้าเข้าใจ ข้ากับลูกๆ จะรอเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย แน่นอนหากเร่งกลับมาได้ก่อนปีใหม่ก็ย่อมดีที่สุด” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มบางปลอบใจเขา จากนั้นย่อมเป็นเวลาจุมพิตลุ่มลึกของหลินซือเย่าที่พัวพันไม่อาจตัดใจ
“ข้าเขียนจดหมายให้คนนำไปให้พี่ใหญ่เจ้าที่เมืองหลวงแล้ว สำหรับเจ้ากับลูกๆ ซือถูอวิ๋นวิทยายุทธสูงส่งที่สุด จะเฝ้าอยู่ที่บ้านทั้งวัน อีกทั้งยังมีศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขาอีก จะคอยผลัดกันมาอารักขาพวกเจ้า ข้าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด สุ่ยเลี่ยน ขอโทษ ข้าเคยบอกว่าจะปกป้องอยู่ข้างกายเจ้า ไม่ไปไหนทั้งนั้น แต่ตอนนี้กลับ…”
“ไม่ต้องกล่าวต่อแล้ว อาเย่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าเลือกได้ ในเมื่อเกี่ยวพันกับความปลอดภัยของแผ่นดิน เรื่องใหญ่ของประชาราษฎร์ แม้มีความเป็นไปได้แค่เพียงหนึ่งในร้อย ก็ขอยอมเตรียมพร้อมไว้ก่อนดีกว่า” ซูสุ่ยเลี่ยนยกมือไปปิดปากหลินซือเย่าที่ตำหนิตนเองไม่หยุด พลางกล่าวปลอบใจไม่หยุด
“เจ้ากับซือชงเองเดินทางระวังด้วย ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไร ขอเพียงอย่าลืมว่า ข้ากับลูกๆ กำลังรอเจ้าอยู่ที่นี่”
“วางใจ ไปครั้งนี้ก็เพื่อตามซือเล่ากลับมา เรื่องอื่นๆ ข้ารับปากเจ้า จะไม่วู่วามเด็ดขาด” หลินซือเย่าพยักหน้ารับคำ เขาไหนเลยจะไม่รู้ว่านางรอเขาอยู่ ตั้งแต่ได้รู้จักกันที่เขาต้าซื่อมาถึงตอนนี้ สองปีมานี้ พวกเขาไม่เคยห่างกันเลย
“อืม รู้ก็ดี คือว่า ข้าเย็บติดไว้ในห่อผ้าแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนชี้ไปที่น้ำเต้าบนโต๊ะที่ว่างเปล่า เดิมในนั้นยังมีกลั่นหยกเซียนอีกช้อนครึ่ง ถูกนางกรอกใส่ขวดกระเบื้องใบเล็กใบหนึ่ง เย็บติดไว้ในห่อผ้า ไว้ป้องกันหากเกิดต้องการใช้เพื่อช่วยชีวิต
“สุ่ยเลี่ยน…” หลินซือเย่าน้ำเสียงแหบพร่า กอดนางไว้แน่นเป็นนานกว่าจะยอมปล่อยนาง มองทารกแฝดในเปลที่หลับปุ๋ยอย่างมีความสุข คว้าห่อผ้าบนโต๊ะ รีบหันกายออกจากห้องนอนไปทันที ไปรวมตัวกับซือชงที่รอเข้าอยู่ที่ลานด้านหน้า สองคนหายลับไปในความมืด กระโดดทะยานออกจากเมืองฝานฮัวไปหลางซีอย่างรวดเร็ว
ซูสุ่ยเลี่ยนพิงเสาประตูโถงมองพวกเขาจากไปเงียบๆ จนกระทั่งพวกเขาลับตาไป
“อาจารย์กับอาจารย์ลุงไม่เป็นไรแน่” ไม่รู้ซือถูอวิ๋นมายืนด้านหลังนานตอนไหน กล่าวขึ้นเบาๆ
“อืม ต้องไม่เป็นไร” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้าถอนสายตาคืนกลับมาจากภูเขาไกลออกไป หันหลังเดินเข้าห้องไป อาเย่าไม่อยู่ นางยังคงต้องพักผ่อนให้ดี
นางคงไม่ใช่เพราะว่าเขามีธุระจากไป แล้วจะเลียนแบบสตรีในตำนาน รอคอยผ่านฤดูกาลแล้วฤดูกาลเล่า สุดท้ายกลายเป็นก้อนหินแน่
นางยังมีเซียวเอ๋อร์กับหลงเอ๋อร์ที่ต้องดูแล ยังมีเรื่องราวมากมายในบ้านที่ต้องจัดการ สรุปนางหวังว่าตอนอาเย่ากลับมา จะยังคงมอบบ้านแห่งความอบอุ่นให้แก่เขาได้ดังเดิม
……
ศิษย์ทั้งยี่สิบสี่คนของซือชง รวมกับซือถูอวิ๋นที่เอาแต่คอยเฝ้าทารกแฝด เด็กหนุ่มรวมยี่สิบห้าคนอายุเฉลี่ยสิบสี่ปีเล่นกับหลินเซียวกับหลินหลงอย่างมีความสุข
บอกว่าเล่น แท้จริงแล้วตอนทารกแฝดตื่น พวกเขาผลัดกันมาเล่น พวกที่ไม่ได้มาก็ยอมไปนั่งเฝ้าหอกว่างชื่อโหลว ทุกคนรับรู้กันในหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาเคยชินเป็นนิสัยว่าแม้อาจารย์ไม่อยู่ก็ยังคงทำตัวดังเดิม
“พรุ่งนี้ก็วันสิ้นปีแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนพิงหน้าต่างมองออกไปยังพระจันทร์หนาวเหน็บบนท้องฟ้า พึมพำเบาๆ
“เจ้าค่ะ บ่าวจัดการเรียบร้อยแล้ว คุณหนูวางใจได้” เหลียงหมัวมัวเห็นซูสุ่ยเลี่ยนยังไม่พักผ่อนก็ยกกาน้ำชาร้อนเข้ามา ท่านเขยไม่อยู่ แต่การเตรียมงานสิ้นปีก็ไม่อาจอาจจะละเลยทำกันง่ายๆ ได้ ทำงานรับใช้ในจวนอ๋องมาตั้งหลายปี หากยังจัดการงานการเหล่านี้ไม่ได้ ก็ไม่สมกับเป็นเหลียงหมัวมัวแล้ว
“ไม่รู้ว่าพวกอาเย่าจะกลับมาทันไหม” นี่เป็นปีใหม่ปีที่สองตั้งแต่หลังจากพวกเขารู้จักกัน นางไม่อยากให้ต้องอยู่กันคนละที่
“ท่านเขยวิทยายุทธสูงส่ง จะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน คุณหนูไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลไป” เหลียงหมัวมัวแม้ไม่แน่ใจว่าท่านเขยจะกลับมาทันก่อนคืนวันสิ้นปีหรือไม่ อย่างไรที่นี่ห่างจากหลางซีอย่างน้อยก็เจ็ดแปดร้อยลี้ คนส่วนใหญ่นั่งรถม้าเร่งเดินทางกันมาไปกลับ ไม่ต้องพูดถึงว่าหากมีธุระด่วน ไปกลับก็ต้องใช้เวลาสามสี่วัน แต่ทว่าเหลียงหมัวมัวเคยเห็นวิทยายุทธสูงส่งท่านเขย ในใจก็แอบคิดว่าไม่แน่ท่านเขยอาจจะกลับมาทันจริงๆ
……
“ไม่เห็นสามีหน้าตาแสนเย็นชาเจ้าเลย ทำไม ไม่อยู่บ้านหรือ” เช้าวันสิ้นปี เจียงอิ้งอวิ๋นก็นั่งรถม้าหรูหราของร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นมาถึงในเช้าวันสิ้นปี เพื่อนำเอาของขวัญปีใหม่หนึ่งคันรถมาส่ง มองไปรอบๆ ไม่เห็นหลินซือเย่าที่ปกติจะปรากฏตัวอยู่รอบกายซูสุ่ยเลี่ยน ดังนั้นจึงถามขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็น
“อืม มีธุระต้องออกจากบ้านไปจัดการ” ซูสุ่ยเลี่ยนกำลังให้นมหลินหลง ได้ยินก็ก้มหน้าลงกล่าว
“ปีใหม่ยังมีเรื่องสำคัญอะไรต้องทำอีก? ฮา… คงไม่ใช่ว่า ไปส่งของขวัญให้พ่อตาแม่ยายที่เมืองหลวงกระมัง” เจียงอิ้งอวิ๋นอดกล่าวสัพยอกไม่ได้
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินวาจานี้ก็นิ่งอึ้งไปทันที ใช่แล้ว ตามหลักแล้วควรส่งของขวัญปีใหม่ให้ที่บ้าน แต่ในความรู้สึกของนาง ท่านอ๋องจิ้งกับพระชายาสำหรับนางแล้วถือว่าเป็นแขกคนสำคัญ ยังไม่ได้เห็นพวกเขาเป็นเหมือนบิดามารดา ส่วนอาเย่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง เขามีอาชีพนักฆ่าและเคยชินกับการไปไหนมาไหนคนเดียว การรับรู้ในเรื่องธรรมเนียมจารีตทางโลกนี้ไม่ได้เข้าใจมากเหมือนกับนาง
“คุณหนู ตอนฮูหยินก่อนกลับได้สั่งบ่าวไว้แล้วว่า เมืองหลวงห่างจากที่นี่ไกล คุณหนูกับท่านเขยไม่จำเป็นต้องใส่ใจในเรื่องนี้ ขอเพียงดูแลคุณหนูกับคุณชายน้อยให้ดีก็พอแล้ว” เหลียงหมัวมัวมองออกว่าซูสุ่ยเลี่ยนกำลังลำบากใจจึงกล่าวแทรกขึ้น
“ก็จริง จะว่าไปเมืองหลวงตอนนี้วุ่นวายอยู่มาก อย่าไปเลยจะดีกว่า” เจียงอิ้งอวิ๋นเห็นขนมที่เหลียงหมัวมัวยกขึ้นโต๊ะมีกลิ่นหอมแตะจมูก รูปร่างภายนอกก็ประณีตน่ากิน พลันรู้สึกอยากกินขึ้นมา จึงหยิบขนมเกาลัดชิ้นหนึ่งส่งเข้าปากเคี้ยวไปเล่าไป
“เมืองหลวง…วุ่นวายมาก? เจ้ารู้ได้อย่างไร” พอซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็เชื่อมโยงไปถึงสิ่งที่อาเย่าพูดก่อนไป ก็รีบถามทันที
“ร้านปักผ้าทุกสิบห้าวันจะส่งขบวนรถไปเมืองหลวงครั้งหนึ่ง ข่าวพวกนี้จะไม่รู้ได้อย่างไร!” เจียงอิ้งอวิ๋นฟังน้ำเสียงร้อนใจของนางออก เข้าใจว่านางเป็นกังวลท่านอ๋องจิ้งกับพระชายาจิ้งที่อยู่เมืองหลวง จึงโบกมือปลอบใจว่า “ไม่ต้องกังวล ได้ยินว่าก็แค่โจรกระจอกจากทางเหนือไม่กี่คน ถูกทางการจับตัวไปนานแล้ว บิดามารดาเจ้าอยู่จวนอ๋อง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เจอเรื่องพวกนี้หรอก”
“ก็ขอให้เป็นเช่นนั้น” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า แอบนึกละอายใจ นางคิดถึงแค่อาเย่า แทบลืมไปว่าตอนนี้นางยังมีบิดามารดาและพี่ชายที่ต้องใส่ใจด้วย
……
“มีข่าวไหม” เหลียงเสวียนจิ้งก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ ถามลูกชายที่ขมวดคิ้วอยู่ที่หน้าโต๊ะด้วยสีหน้าจริงจัง
“ท่านพ่อ” เหลียงเอินไจ่เห็นคนที่มาเป็นเหลียงเสวียนจิ้งก็เบาใจ ลูบสันจมูกท่าทางเหนื่อยล้า ส่ายหน้าเล็กน้อย “ยัง ตามสายรายงานจากทางเหนือ เซวี่ยหมิงส่งสิบสองทหารโลหิตมุ่งมาต้าหุ้ยเราแล้ว เพียงแต่หายไปไร้ร่องรอย”
“จริงหรือ?!” เหลียงเสวียนจิ้งตกใจไม่น้อย สิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิง เรียกได้ว่าเป็นอาวุธร้ายกาจที่สุดแห่งแผ่นดินเซวี่ยหมิง ว่ากันว่าสิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงออกโรง ไม่มีภารกิจใดไม่สำเร็จ
“อืม สายรายงานเช่นนี้จริง อีกเรื่อง ท่านพ่อ เซวี่ยหมิงเคลื่อนไหวแล้ว” เศษกระดาษตรงหน้าเหลียงเอินไจ่ก็คือข่าวที่หลินซือเย่าหลายวันก่อนฝากหอกว่างชื่อโหลวมาส่ง สองประหลาดหลางซีแห่งเซวี่ยหมิง หากหลินซือเย่าเดาถูก ใช่แล้ว ก็คือหมากที่เซวี่ยหมิงแอบซ่อนไว้ในแผ่นดินต้าหุ้ยนั่นเอง
“อืม…” เหลียงเสวียนจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นลุกขึ้นเดินออกจากห้องหนังสือ “ข้าจะเข้าวังตอนนี้ แผ่นดินต้าหุ้ยสงบมาเกือบร้อยปี ประชากว่าจะมีชีวิตสงบเป็นสุขได้ไม่ใช่เรื่องง่าย จะไม่ยอมให้เกิดสงครามเด็ดขาด”
“ท่านพ่อ หากฮ่องเต้ไม่ทรงเชื่อ…”
“เชื่อว่ามีดีกว่าไม่เชื่อ หากไม่เชื่อ…ข้าก็จะร่างฎีกาถวาย” เหลียงเสวียนจิ้งออกจากห้องหนังสือโดยไม่หันกลับมา ก้าวเท้ายาวออกจากประตูจวนไป พลางตะโกนสั่งว่า “ยังไม่รีบเตรียมรถม้าให้ข้าอีก”
เหลียงเอินไจ่มองเหลียงเสวียนจิ้งที่จากไปอย่างรวดเร็วพลางแอบขำส่ายหน้า กลับไปยังที่หน้าโต๊ะหนังสือยกพู่กันขึ้นตวัดเขียนจดหมายหนึ่งฉบับก่อนจะพับสอดใส่ซอง ใช้ตราสีแดงประทับลงไป จากนั้นก็เรียกองครักษ์ลับที่ซ่อนตัวเงียบอยู่ในห้องหนังสือออกมา “รีบส่งไปนำไปส่งหอกว่างชื่อโหลว”
องครักษ์ลับรับคำสั่งออกไปทันที เหลียงเอินไจ่จึงได้ออกจากห้องหนังสือ สั่งให้คนเตรียมรถม้ามุ่งไปยังจวนอ๋องเซียงอย่างรวดเร็ว
……
ณ ศาลาแปดเหลี่ยมในจวนอ๋องเซียง เหลียงเอินไจ่กำลังหารือกับเพื่อนสนิทที่คบหากันมาสิบกว่าปีและยังเป็นสหายทางการค้าอีกด้วย สหายร่วมค้าและร่วมเป็นร่วมตาย
“แผนของเจ้า?” อ๋องเซียงพิงเสาศาลามองออกไปเหมือนกำลังชมมองดอกเหมยที่มุมศาลา สายตากลับมีแววตากำลังกังวลลึกๆ
“แผ่นดินต้าหุ้ยคือก้อนเนื้ออวบอ้วนในสายตาพวกเซวี่ยหมิง” เหลียงเอินไจ่ยกจอกขึ้นมองสุราใสในนั้น พลางจอกค่อยๆ วิเคราะห์ด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ดังนั้น?”
“ถึงกับไม่รู้จักคิดว่าเนื้ออวบอ้วนก็อาจกลายเป็นกระดูกแข็งๆ ได้เหมือนกัน” เหลียงเอินไจ่หมุนจอกสุรา ชื่นชมสีสันงดงามสะท้อนอากาศกระจ่างในหน้าหนาว แสดงให้เห็นสีสันสะท้อนงามชัดยิ่งขึ้น
“สิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิง…” ท่านอ๋องเซียงพึมพำคำหนึ่ง ก่อนจะหันมาไปมองเหลียงเอินไจ่ “หากสายรายงานเป็นจริง ก็ลองดูกันเถอะ” คนของพวกเขาเฝ้าวางแผนกันมานานหลายปีก็เพื่อการนี้ พวกเขารอปลาติดเบ็ดไม่ใช่หรือ
“สยาเอ่อร์ เจ้ายังจำหอเฟิงเหยาได้ไหม” เหลียงเอินไจ่อยู่ๆ เปลี่ยนเรื่อง
“แน่นอน องค์กรนักฆ่าในยุทธภพ หลายปีก่อนคดีที่เมืองเฟิงสุ่ย พวกเรายังปะทะกับคนของพวกเขา” โหลวสยาเอ่อร์พยักหน้า เพียงแต่สองปีมานี้เหมือนคลื่นลมเงียบสงบลงไปไม่น้อย คงไม่ใช่ว่าหอเฟิงเหยาล่มสลายแล้วกระมัง
“หอเฟิงเหยาเปลี่ยนประมุขหอแล้ว และก็เปลี่ยนอีกแล้ว สำหรับนักฆ่าเหรียญทองพวกเขา…” เหลียงเอินไจ่ถือโอกาสยกจอกสุราปิดขึ้นบังริมฝีปากบังรอยยิ้ม แอบยกยิ้มมุมปากไว้ ผู้ใดจะไปคิดว่า เทพสังหารถึงกับมาเป็นน้องเขยเขาได้ เขานับว่าเกาะวาสนาเอินซวี่แล้วไหม เปลี่ยนจุดยืนความเป็นศัตรูระหว่างเขากับหลินซือเย่าลง
“ได้ยินว่าตายแล้ว” โหลวสยาเอ่อร์เหมือนถอนหายใจอย่างนึกเสียดาย
“ไม่แน่” เหลียงเอินไจ่ส่ายหน้า “ใช่แล้ว วันหน้าหากมีข่าวอะไรก็ไปหอกว่างชื่อโหลว ที่นั่นปลอดภัยหน่อย”
“ทำไม กิจการเจ้า?” โหลวสยาเอ่อร์เลิกคิ้ว ไม่เคยได้ยิน
“ไม่ใช่ แต่ย่อมปลอดภัยแน่” ก็นับว่าเป็นของเขาไหมนะ ในเมื่อน้องเขยเขาเขียนเสนอมาในจดหมาย ส่งให้พี่เขยอย่างเขาเช่นนี้ เขาควรเชื่อใจ
นับประสาอันใดกับการที่หากที่คาดเดาเป็นจริง เซวี่ยหมิงคิดลงมือกับแผ่นดินต้าหุ้ย การข่าวเป็นเรื่องสำคัญมาก หากหลุดรอดไปแม้นิดเดียวก็ย่อมส่งผลกระทบวงกว้าง
“เรื่องอื่นข้ารับผิดชอบเอง เจ้าแค่จับตาดูจวนอำมาตย์ไว้ให้ดีก็พอ” เหลียงเอินไจ่ดื่มสุรารวดรวดเดียวหมดจอก กล่าวจบก็คิดจะลุกขึ้นกลับไป
“จวนเสนาบดีนั่นก็ต้องส่งคนไปเพิ่มด้วย ข้าสงสัยใต้เท้าเสนาบดีก็มีส่วนด้วย เจ้าไม่รู้สึกว่าเขาเอาแต่หาเรื่องจวนอ๋องจิ้ง อยากให้พวกเจ้าเกิดเรื่องให้ได้หรือ”
“วางใจ ทางเขานั้นข้าย่อมส่งคนไปจับตาดูแลเพิ่มพิเศษ” เหลียงเอินไจ่หันหลังโบกมือไม่หันกลับมา เขาจะปล่อยจวนเสนาบดีให้หลุดรอดไปได้อย่างไร! ดีไม่ดีปฏิบัติการพวกเซวี่ยหมิงครั้งนี้ เจ้าแก่ไม่ยอมตายนั่นอยู่เบื้องหลังก่อเรื่องด้วย
เพียงแต่ทุกอย่างนี้ยังต้องรอเวลาก่อน