าว่าเจ้าจำคนผิดแล้วล่ะ”

“ไม่ ไม่ค่ะ! ข้าไม่มีทางจะจำท่านผิดเป็นคนอื่นไปได้หรอกค่ะ! “

ข้าสับสนงุนงงไปหมดตั้งแต่ที่เธอเรียกข้าว่า “ท่านอาจารย์”

สิ่งเดียวที่ข้าทำได้คือถามเธอให้แน่ชัดว่าเธอจำคนผิดไปหรือเปล่า

แต่ลิซานดร้ายืนกรานและรุกเข้าใส่ข้า จนข้าทำตัวไม่ถูก

ข้าจำเธอไม่ได้จริงๆนะเฮ้ย

ในเมื่อเธอเรียกข้าว่า “ท่านอาจารย์” เธอก็ต้องเคยเรียนกับใครมาก่อนบ้างล่ะ

แต่ข้าไม่เห็นจำได้เลยนะ ว่าเคยสอนวิชาดาบให้กับตัวตนที่ดูเป็นผู้หญิงแบบนี้เลยนะ

เป็นไปได้ว่าชื่อ “เบริล” มันเป็นชื่อโหลๆ เธอก็เลยจำผิดคนไป

แล้วไอ้แรงกดดันจากการที่ต้องมายืนระยะประชิดกับนักผจญภัยขั้นสีนิลนี่มันหนักหน่วงเกินต้านเลยเว้ย

ยิ่งใบหน้าของเธอเข้ามาใกล้ข้า ถ้าข้าเก็บอาการไม่ดี คุณลุงคนนี้จะเหงื่อแตกเพราะความเครียดแล้วน้าาา

“ขอโทษด้วย ข้าไม่คิดว่าจะเคยรู้จักกับเจ้ามาก่อนเลยนะ”

“ไม่จริงน่ะ…นี่ท่านจำข้าไม่ได้เหรอ?”

นัยตาสีแดงฉานของเธอเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ขณะที่เธอจ้องมองข้าด้วยความสับสน

ขอทีเถอะ อย่ามองข้าแบบนั้นสิ ข้าจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆนะ

“…ถึงจะผ่านมา 20 ปีแล้ว…แต่ข้าก็ยัง…”

ลิซานดร้ากล่าวพลางไหล่ตกลงทันใด

20 ปีก่อน…นั่นก็คือช่วงที่ข้าเริ่มสอนวิชาดาบในโรงฝึกอย่างจริงจัง

นั่นหมายความว่าเมื่อนานมาแล้ว เธอเคยเรียนวิชาดาบกับใครสักคน

หวนคิดถึงตอนนั้นข้าเองก็ท้อใจที่หาลูกศิษย์เข้าโรงฝึกด้วยตัวเองไม่ได้สักคนเหมือนกัน

ขณะที่ข้ากำลังคิดถึงตอนนั้น ลิซานดร้าก็กุมไหล่ข้าไว้แน่น และเอ่ยกับข้าด้วยน้ำเสียงสุภาพปนน้อยใจว่า

“ท่านอาจารย์คะ นี่ข้าเอง เซเลน่า ลิซานดร้า ท่านจำไม่ได้เหรอว่าเคยเก็บเด็กพลัดหลงคนหนึ่งที่ตอนนั้นได้รับบาดเจ็บ และท่านก็ได้สอนวิชาดาบให้กับเด็กคนนั้น”

“เอ๋…?”

เด็กพลัดหลงที่ได้รับบาดเจ็บ? เซเลน่า?

“อ๋ออออออ”

นั่นอาจจะ…..

เป็นเรื่องจริงที่ว่า มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน

วันหนึ่งในขณะที่ข้าเดินลาดตระเวณรอบหมู่บ้าน ข้าไปเจอเด็กคนหนึ่งที่มีบาดแผลและรอยฟกช้ำตามตัวที่กำลังเดินลากขาตรงไปทางหมู่บ้าน

ข้าไม่เห็นผู้ใหญ่อยู่กับเด็กคนนั้นเลย เธอมาหมู่บ้านนี้ด้วยตัวคนเดียว

ข้ารับเธอเข้ามาอยู่ในการดูแล และตั้งใจจะหาผู้อุปถัมภ์รับเลี้ยงเธอต่อไป

ในช่วงนั้นเธอจึงได้พักอาศัยอยู่กับข้าเป็นระยะเวลาหนึ่ง

โรงฝึกข้า มีลูกศิษย์จำนวนมากที่เข้ามาร่ำเรียนวิชาดาบตั้งแต่ช่วงที่พ่อข้าดูแลโรงฝึก

ชีวิตความเป็นอยู่ช่วงนั้น เราจึงสุขสบายดี ไม่ขัดสนเงินทองอะไร ดังนั้น การจะรับเลี้ยงเด็กหลงสักคนก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย

ไม่มีทางซะล่ะที่ข้าจะทิ้งเด็กไว้ข้างทาง แล้วตัวข้าเองก็ไม่มีลูกด้วย พ่อแม่ข้าจึงดูแลเด็กคนนั้นเป็นอย่างดี

พ่อแม่ของเธอน่าจะเป็นพ่อค้าหรือไม่ก็นักเดินทางหรืออะไรทำนองนี้

จากร่องรอยบาดแผลตามตัวของเธอ ข้าพอจะมองออกว่ามันไม่ได้เกิดจากการต่อสู้กับคน

แต่เป็นการถูกทำร้ายโดยมอนสเตอร์หรือไม่ก็สัตว์ป่า

ซึ่งในเวลานั้นและสภาพชนบทแบบนั้น เรื่องทำนองนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

เมื่อข้าได้เริ่มสอนวิชาดาบอย่างจริงจัง ข้าก็แทบจะไม่มีเวลาดูแลเธอเป็นพิเศษเลย

ดังนั้นข้าจึงให้เธออยู่รวมกับนักเรียนคนอื่นๆและให้เธอเรียนรู้จากสิ่งที่ข้าสอนไปด้วย

ข้าหวังว่าการได้เปลี่ยนบรรยากาศจะช่วยทำให้พัฒนาการทางอารมณ์ของเธอดีขึ้นกว่าเดิม

นึกถึงตอนนั้นเธอเป็นเด็กที่ค่อนข้างเก็บตัว ไม่ค่อยพูด

เมื่อถามชื่อ เธอบอกกับข้าว่า “เซเลน่า”

แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ดูให้ความสนใจในวิชาดาบ และตั้งใจศึกษาตามคำแนะนำของข้าด้วยความเคารพและเชื่อฟังเป็นอย่างดี

ข้าไม่ได้ตั้งใจจะสอนวิชาดาบให้เธออย่างจริงจังอะไร แต่ด้วยเพราะพ่อแม่ของเธอก็จากไปแล้วและไม่มีใครดูแลเธอ ข้าว่าเธอเองก็คงไม่มีสิ่งอื่นใดให้พะวง เธอจึงมุ่งฝึกฝนวิชาดาบอย่างหนักเพื่อสลัดความทุกข์เศร้าในอดีต นั่นทำให้ข้าสะเทือนใจจนน้ำตาปริ่ม

เธออยู่ภายใต้การดูแลของข้าประมาณ… 3 ปีหรือมากกว่านั้นรึเปล่านะ?

ในช่วงเวลานั้น ข้าดำเนินการประสานกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในเมืองหลวง เพื่อให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้น และพ่อข้าได้พาเธอไปในตอนที่เขาเดินทางเข้าเมืองหลวง หลังจากนั้น สิ่งเดียวที่ข้าทำได้คือ อธิษฐานให้เธอได้รับอุปการะโดยครอบครัวที่ดี

นั่นเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วก่อนที่อลิเซียจะเข้ามาฝึกวิชาดาบที่โรงฝึกข้าเสียอีก

“…นี่เจ้าคือ….เซเลน่าคนนั้นเหรอ?”

“ใช่ค่ะ! นี่ข้าเอง!! เซเลน่า เด็กที่ท่านเก็บมาเลี้ยงและสอนวิชาดาบให้ไงคะ!”

สีหน้าเธอดูสดใสขึ้นทันตา หลังจากที่ได้ยินคำตอบจากข้า เธอก็รีบตอบรับด้วยความยินดี

ให้ตายเถอะ อะไรมันจะมาบังเอิญกันได้ขนาดนี้เนี่ย

“ไม่แปลกที่ข้าจะจำเจ้าไม่ได้หรอกนะ ข้ามาที่นี่ก็ได้เจอลูกศิษย์ไปแล้วถึงสองคน รวมอลิเซียด้วย มีเจ้านี่แหละที่เปลี่ยนไปมากกว่าคนอื่นๆ”

ข้าเคยคิดว่าเธอคงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในเมืองหลวงนี้ แต่พอมาเห็นเธอกลายเป็นนักผจญภัยท่องโลกนี่ ทำเอาข้าประหลาดใจจริงๆ

จากที่เคยเห็นเธอเป็นเด็กนิ่งๆเงียบๆ เลยคิดว่า พอโตมา เธอน่าจะเป็นสาวน้อยที่นั่งอยู่ในบ้าน ชมดอกไม้ในสวนมากกว่า

แต่ตอนนี้เธอกลายเป็นนางพญาราชสีห์แล้ว นี่มันเกินคาดไปมากเลยวุ้ย

“ข้าเองก็อยากกลับไปหาท่านและเล่าเรื่องราวต่างๆ แต่พอเป็นนักผจญภัยแล้ว ข้าก็แทบจะไม่มีเวลาว่างเลย ข้าคาดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบท่านอาจารย์วันนี้”

“ไม่ต้องคิดมากหรอก ข้าดีใจนะที่เห็นเจ้าดูสุขสบายดี”

ถึงข้าจะยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมา ซึ่งมีได้เฉพาะนักผจญภัยระดับสูงเท่านั้น

แต่พอได้รู้ว่าเธอคือเซเลน่า นั่นก็ทำให้ข้าเบาใจลง

ยังไงก็เถอะ เจ้าช่วยคลายมือออกจากไหล่ข้าทีได้มั้ย?

“ว่าแต่ท่านอาจารย์คะ ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่บาลเทรนได้ล่ะ?”

“อ๋อ นั่นก็เพราะ..”

“ลิซานดร้า ณ วันนี้ท่านอาจารย์ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ฝึกสอนพิเศษให้กับกองอัศวินริเบลลิโอ้ และท่านจะทำงานร่วมกับเรา เอามือของเจ้าออกไปซะ”

อลิเซีย อยู่ดีๆเจ้าก็โผล่มาขัดจังหวะ ทะลุกลางปล้องกันแบบนี้เลยเรอะ

เอาเถอะ เธอก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นะ ไม่เป็นไรๆ

“ครูฝึกสอนให้กับอัศวินริเบลลิโอ้งั้นเหรอ..?”

“ถูกต้อง ท่านได้รับการแต่งตั้งตามพระราชอำนาจ โดยมีตราประทับขององค์ราชารับรอง”

มือที่กุมบนไหล่ข้ายิ่งบีบแน่นขึ้นอีก โอ๊ยๆ มันชักจะเจ็บแล้วนะเฮ้ย

อย่างที่คิดไว้เลย นักผจญภัยระดับสีนิลนี่แข็งแกร่งจริงๆ ปล่อยข้าสักทีเถอะ…

ย่านขายของที่ระลึกนี้คุกรุ่นไปด้วยกลิ่นอายกระหายเลือดขึ้นมาทันที ที่มาก็มาจากเซเลน่านี่แหละ

ขอโทษด้วยนะ คุณเจ้าของร้าน ถึงมันจะไม่ใช่ความผิดของข้า แต่ข้ารู้สึกว่าข้าควรจะขอโทษกับอะไรสักอย่างที่เกิดขึ้นนี่แหละ

“ชิ… ตราประทับองค์ราชา ของจริงรึเปล่าเถอะ?”

“แล้วข้าจะโกหกเจ้าไปทำไม?”

“ซะ…เซเลน่า ปล่อยข้าก่อน”

“อ๊ะ ขอโทษค่ะ ท่านอาจารย์”

ในที่สุดเซเลน่าก็ได้เอามือออกจากไหล่ข้าสักที

แน่ใจเลยล่ะว่าการที่ได้พบใครสักคนที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้วเขาจำไม่ได้ นั่นคงจะทำให้นางช็อคไปพอสมควร

คือมันพูดยากนะ ที่จะบอกว่าเป็นคนคนเดียวกัน ในเมื่อเปลี่ยนไปมากขนาดนี้

“ท่านอาจารย์คะ เมื่อใดที่ท่านมีเวลา ได้โปรดแวะมาที่กิลด์นักผจญภัยด้วย ข้ายินดีช่วยเหลือท่านและพาท่านเที่ยวชมรอบๆเมืองด้วย”

“เห็นท่าว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นหรอกนะ ท่านอาจารย์จะไปเที่ยวชมเมืองกับข้า ไม่จำเป็นต้องมีเจ้าเข้ามาขัดหรอก ลิซานดร้า”

“ฮะ? ท่านก็เป็นครูฝึกสอนให้กับกองอัศวินอยู่แล้วนี่? เจ้าจะพบกับท่านเมื่อไรก็ได้ แต่ข้าไม่ได้เจอท่านอาจารย์มานานหลายปีแล้วนะ”

“เจ้าก็ไม่ค่อยอยู่ในเมืองหลวงอยู่แล้วไม่ใช่รึ? เจ้าไม่รู้จักที่ทางต่างๆในเมืองหลวงได้ดีไปกว่าข้าหรอก กองอัศวินของเรามีสังกัดอยู่ในเมืองหลวง ย่อมเหมาะสมกับการพาท่านไปเที่ยวชมเมืองมากกว่า”

และยังไม่ทันจะได้พักหายใจ ทั้งสองก็เริ่มปะทะคารมกันอีกแล้ว

ใครก็ได้ ช่วยข้าที