ตอนที่ 139 สุนัขกัดกัน!

หลินหนานย้อนถามหลี่ชางไห่กลับ ด้วยคําถามเดียวกันกับที่หลี่ชางไห่เพิ่งจะถามตนเองไป

“เดิมพัน…”

หลังจากได้ยินสองคํานี้ สีหน้าของหลี่ชางไห่ก็ถึงกับเปลี่ยนไปทันที และร่างทั้งร่างก็แข็งทื่อราวกับหิน

การเดิมพันที่เขามั่นอกมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ตนเองจะต้องเป็นผู้ชนะ แต่ผลกลับปรากฏออกมาว่า เขาเป็นฝ่ายแพ้!

และหากเขาเป็นฝ่ายแพ้ ย่อมหมายถึงหน้าที่การงานของตนเองที่จะต้องสูญเสียไป!

การที่เขาจะต้องลาออกจากที่นี่ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ด้วยความสามารถของเขานั้น ย่อมสามารถไปทํางานที่โรงพยาบาลอื่นได้

แต่สําคัญคือ.. เขาจะต้องเสียหน้า นี่ต่างหากเป็นเรื่องที่เขาไม่อาจทนรับได้!

คนอื่นๆจะมองเขาเช่นใด หากเขาต้องออกจากงานเพราะแพ้เดิมพัน? ทุกคนคงจะไม่คลางแคลงใจในฝีมือการผ่าตัดสมองของเขาอย่างนั้นหรือ?

“การเดิมพันครั้งนี้ถือว่าโมฆะ! บางทีคนไข้อาจจะฟื้นขึ้นมาเองก็ได้?” หลี่ชางไห่ตอบโต้อย่างไม่ยอมแพ้

“คุณตาบอดหรือยังไงกัน? ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ต่างก็เห็นกันหมด แต่คุณกลับอ้างว่าคนไข้ฟื้นขึ้นมาเองนี่นะ?” หลินหนานแทบอยากจะหัวเราะออกมา

ดูท่าคนบางคนจะหน้าด้านกว่าฉันอีก!

“คนที่อยู่ตรงนี้ทั้งหมดจะรู้ได้ยังไงว่า อาการของคนไข้หลังจากนี้จะเป็นยังไงบ้าง? อาจจะทรุดหนักลงกว่าเดิมมาก หรือถึงขั้นเสียชีวิตก็ได้” หลี่ชางไห่แย้งขึ้นทันที

หลังจากได้ยินคําพูดของหลีชางไห่ ฉินเสี่ยวยู่จึงได้ตอบกลับด้วยความโมโห “คุณหมอหลี่ คุณพูดจาแช่งชักแม่ของฉันแบบนั้นได้ยังไงกัน? เป็นคุณไม่ใช่เหรอ ที่ปฏิเสธไม่รักษาแม่ของฉัน หากไม่มีหลินหนาน แม่ของฉันก็คงจะไม่ฟื้น และลุกเดินออกมาอย่างที่เห็นได้”

หลินหนานใช้ความพยายามอย่างมาก เพื่อฉุดแม่ของเธอกลับออกมาจากประตูแห่งความตายได้ อีกทั้งเวลานี้ ยังดูสุขภาพแข็งแรงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

หลินหนานเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา ต่างจากหมอใจเหี้ยมอย่างหลี่ชางไห่สิ้นเชิง!

“ฉัน ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น!”

หลีชางไห่เห็นสีหน้าที่โกรธเกรี้ยวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของฉินเสี่ยวยู่ เขาจึงรีบอธิบายให้ฟังว่า

“ฉันหมายถึงว่า ควรจะให้แม่ของเธอนอนพักที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการก่อน หลังจากนั้นค่อยสรุปผลก็ยังไม่สายเกินไปนี่นา…”

ไม่รู้ว่าฉินเสี่ยวยู่ไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากที่ไหน จู่ๆเธอก็เดินตรงเข้าไปหาเฉินจิ้งซาน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เดือดดาลเป็นอย่างมาก

“ประธานเฉินคะ คุณอยู่ในที่เกิดเหตุมาตั้งแต่ต้น มิหนําซ้ำยังเป็นพยานในการเดิมพันครั้งนี้อีกด้วย ตอนนี้หลินหนานเป็นฝ่ายชนะแล้ว คุณคิดจะจัดการยังไงคะ?”

เวลานี้ แม่ของเธอก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว ฉินเสี่ยวยู่ไม่ได้มีไอคิวต่ำนัก จึงจะมองไม่ออกว่าแม่ของตนเองหายดีแล้ว และการที่เธอนิ่งมาตลอดนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่โกรธหรือไม่รู้สึกอะไร..

อีกทั้งพฤติกรรมของหลี่ชางไห่ในตอนนี้ ก็ทําให้เธอไม่อาจยอมรับได้ และหมดสิ้นความอดทนทั้งหมดที่มีมา

เฉินจิ้งซานหันไปจ้องมองหลีชางไห่ พร้อมกับคิดในใจว่า.. สร้างปัญหาขึ้นมาเอง แต่กลับต้องให้ฉันเป็นคนแก้

จากนั้น เฉินจิ้งซานจึงได้กระแอมเบาๆ ก่อนจะหันไปบอกกับหลินหนานว่า “คุณชายหลิน กรุณาอย่าเอาเรื่องเอาราวกับหมอหลีได้มั้ย? หมอหลี่เป็นหมอที่นี่มานาน มิหนําซ้ำยัง…”

เห็นได้ชัดว่าเฉินจิ้งซานนั้น ต้องการที่ช่วยพูดแทนหลีชางไห่ง

หลินหนานขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาไม่รอให้เฉินจิ้งซานพูดจบ และพูดแทรกขึ้นมาทันที “ ประธานเฉิน คุณเองก็ได้ยินกับหูว่า หลีชางไห่ตกปากรับคําเรื่องเดิมพันด้วยตัวเอง ในเมื่อแพ้เดิมพัน แต่กลับไม่ยอมรับ ผมไม่เห็นด้วยแน่”

“ใช่ค่ะประธานหลี่! หมอเลวๆอย่างเขา ขึ้นยังให้ทํางานที่โรงพยาบาลนี้ต่อ ก็มีแต่จะใช้ความรู้ทําร้ายคนอีกมากมาย แต่ถ้าคุณยังยืนกรานจะปกป้องคนเลวๆแบบนี้ ฉันก็จะยืนกรานฟ้องให้ถึงที่สุดเหมือนกัน!” สีหน้าท่าทางของฉินเสี่ยวยู่นั้น บ่งบอกว่าเธอจะไม่มีทางประนีประนอมในเรื่องนี้แน่

“คุณฉิน.. กรุณาฟังผมก่อน! ใช่ว่าผมต้องการที่จะปกป้องหมอหลี่ แต่ความผิดที่เกิด ขึ้นในวันนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการบริหารดูแลที่ผิดพลาดของผมด้วย ดังนั้น ผม.. ในฐานะประธานของโรงพยาบาล ย่อมต้องแสดงความรับผิดชอบ ผมอยากจะขอโทษคุณฉินกับครอบครัวด้วยใจจริง และทางโรงพยาบาลยอมรับที่จะชดเชยค่าเสียหายให้คุณตามที่เรียกร้อง” เฉินจิ้งซานเอ่ยขอโทษฉินเสี่ยวยู่จากใจจริง

“ฉันไม่ต้องการค่าชดเชยอะไร แต่ต้องการผลการตัดสินที่ยุติธรรม!” ฉินเสี่ยวยู่ตอบโต้กลับไปทันที และเวลานี้ หน้าอกใหญ่โตของเธอก็กระเพื่อขึ้นลงอย่างแรงด้วยความโกรธ

“การจะเลิกจ้างหลี่ชางไห่นั้น ไม่สามารถทําได้ด้วยคําพูดไม่กี่คํา จะต้องมีการนําเรื่องนี้เข้าที่ประชุมเสียก่อน..” เฉินจิ้งซานอธิบายขั้นตอนของทางโรงพยาบาลให้ฉินเสี่ยวยู่ฟังอย่างใจเย็น

ต่อให้เฉินจิ้งซานอยากจะช่วยหลีชางไห่มากเพียงใด ก็ไม่ควรแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งถึงเพียงนี้!

“ประธานเฉิน! คุณเป็นถึงประธานของโรงพยาบาล ควรจะต้องทําตัวกล้าหาญ รักษาคําพูดของตนเองด้วย หากคุณไม่กล้าไล่หลีชางไห่ออก ก็นับว่าคําพูดของคุณคงจะเชื่อถือไม่ได้อีกต่อไป..” ผู้เฒ่ากู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก

เขาเองก็พอที่จะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว คนอย่างหลี่ชางไห่เปรียบเสมือนแกะดํา หรือไม่ก็มะเร็งของวงการแพทย์!

“เหล่ากู่.. นี่คุณ..” เฉินจิ้งซานคิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะเข้าข้างอีกฝ่าย

“การที่ความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้มาถึงจุดแตกหักนี้ เป็นหลี่ชางไห่เองที่ทําให้เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้น!”

ผู้เฒ่ากู่พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นชายิ่งกว่าเดิม “แต่ถ้าประธานเฉินเห็นว่าหมอหลี่เป็นศัลยแพทย์ผ่าตัดสมองที่มีฝีมือ ก็เลยไม่กล้าที่จะไล่เขาออกแล้วล่ะก็ ผมจะขอลาออกจากตําแหน่งที่ปรึกษาของโรงพยาบาลแห่งนี้ และจะไม่ขอมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับโรงพยาบาลนี้อีกต่อไป!”

เมื่อได้ยินผู้เฒ่ากู่ยื่นคําขาดเช่นนี้ เฉินจิ้งซานถึงกับตกใจจนแทบจะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่!

ชื่อของผู้เฒ่ากู่นั้น เป็นเสมือนป้ายทองของโรงพยาบาลแห่งนี้ ที่คนร่ำรวยและมีตําแหน่งสูงมากมายในเมืองเจียงไฮว พากันมารักษาตัวที่โรงพยาบาลนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะเชื่อมั่นในชื่อเสียงของผู้เฒ่า

แต่หากปล่อยให้ผู้เฒ่ากู่ลาออกไปเช่นนี้ ไม่เท่ากับป้ายทองคําของโรงพยาบาลถูกปลดลงหรอกหรือ? และความสามารถกับชื่อเสียงของหลี่ชางไห่นั้น ก็เทียบไม่ได้เลยกับชื่อเสียงของผู้เฒ่าก่คนนี้!

ภายใต้แรงกดดันของผู้เฒ่า เฉินจิ้งซานสามารถตัดสินใจได้ในทันที!

“หมอหลี่.. คุณรู้ใช่มั้ยว่าจะต้องทําอย่างไร?”

“ประธานเฉินพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมทุ่มเทแรงกายแรงใจทํางานให้กับทางโรงพยาบาล แต่คุณจะทําลายชื่อเสียงของผมเพียงเพราะคนพวกนี้น่ะเหรอ?”

หลี่ชางร้องตะโกนออกไปอย่างหัวเสีย หลังจากที่ได้ยินคําพูดของเฉินจิ้งซาน เพราะเขาคิดว่าเฉินจิ้งซานจะต้องพยายามยื้อตัวเขาไว้อย่างสุดความสามารถ

เฉินจิ้งซานอาจไม่สนใจหลินหนานกับฉินเสี่ยวยู่ได้ แต่เขาไม่อาจเพิกเฉยต่อความเห็นของผู้เฒ่ากู่ได้ จึงได้แต่ตอบหลีชางไห่กลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า

“สิ่งที่สําคัญกว่าความสามารถของแพทย์ก็คือจรรยาบรรณ! คนเป็นหมอต้องมีจิตใจโอบอ้อมอารีต่อคนไข้ แต่คุณกลับขาดเมตตา ผมไม่สามารถให้คุณเป็นหมอที่นี่ต่อไปได้จริงๆ!”

จบกัน!!

จบเห่แล้วจริงๆ!!

หลี่ชางไห่รู้สึกราวกับสมองจะระเบิด..

เขารู้จักนิสัยของเฉินจิ้งซานดี แม้ว่าเขาจะมีความโอนอ่อนประนีประนอม แต่เมื่อตัดสินใจไปแล้ว ก็ยากที่จะใครจะสามารถโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจได้อีก!

“นี่มันอะไรกัน? โรงพยาบาลห่วยแตก! ลุงของผมเป็นหมอที่เก่ง แล้วก็มีชื่อเสียงขนาดไหน แต่กลับถูกพวกคุณไล่ออกนี่นะ บ้าชะมัด!” หลี่เฟิงร้องตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาลเช่นกัน

เพียะ!!

“หุบปากได้แล้ว!”

หลี่ชางไห่ตบหน้าหลี่เฟิง พร้อมกับร้องตวาดใส่หน้าเขา และเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้านั้นก็ดังสนั่นจนทุกคนได้ยินกันอย่างชัดเจน

“ลุงครับ.. นี่ลุงตบหน้าผมทําไมกัน?” หลี่เฟิงยกมือขึ้นบิดแก้มตนเองไว้ พร้อมกับหันไปถามหลี่ชางไห่ด้วยความรู้สึกเสียใจ

“เป็นเพราะแก.. ฉันถึงต้องถูกไล่ออก! ชื่อเสียงที่ฉันเฝ้าสั่งสมมาตลอดชีวิต ต้องมาพังทลายลงเพราะหลานเลวๆอย่างแก!” หลี่ชางไห่คํารามใส่หลี่เฟิง

หลังจากที่ได้ยินคําตําหนิของผู้เป็นลุง หลี่เฟิงก็ตอบโต้กลับด้วยความโมโหเช่นกัน “คุณลุงพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก! เป็นเพราะลุงเห็นเงินค่าชดเชยการเวนคืนและรื้อถอนบ้านของเสี่ยวยู่ไม่ใช่หรือยังไง? ลุงถึงได้เสนอตัวเข้ามาช่วยผมวางแผน แล้วแต่ทําไมตอนนี้ถึงได้โยนความผิดให้ผมคนเดียวแบบนี้ล่ะ”

โอ้โห!!

คําสารภาพของหลี่เฟิง ทําให้ทุกคนในที่นั้นถึงกับตกตะลึงเมื่อได้รู้ความจริงทั้งหมด

แม้แต่เฉินจิ้งซานเองยังถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น!

หลี่ชางไห่ถึงกับเลือดขึ้นหน้า เขาถอดรองเท้าหนังที่สวมใส่ออก และยกขึ้นมาถือไว้ พร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง

“ไอ้หลานชั่ว! วันนี้ฉันจะฆ่าทิ้งซะ!”

หลี่เฟิงเห็นหลี่ชางไห่จะใช้รองเท้าฟาดตนเอง เขาก็รีบวิ่งหนีทันที ปากก็ร้องตะโกนเสียงดังไม่แพ้กัน

“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! หมอสมองจะทําร้ายหลานตัวเอง..”

หลินหนานยืนมองภาพลุงกับหลานที่วิ่งไล่ตีกันออกไปนอกโรงพยาบาลแล้ว ก็ได้แต่หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน

เฮ้อ.. เหมือนหมาไล่กัดกัน

เฉินจิ้งซานถึงกับถอนหายใจออกมาพร้อมกับส่ายหน้าไปมาด้วยความผิดหวัง แล้วจึงหันไปขอโทษหลินหนานด้วยความรู้สึกผิด

“คุณชายหลิน ผมต้องขอโทษกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากใจจริง! ผมคิดไม่ถึงจริงๆว่า จะมีพวกต้มตุ้นแฝงตัวอยู่ในโรงพยาบาลของผมแบบนี้”

“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของคุณ เพราะคุณเองก็ไม่ได้มีดวงตาที่จะมองเห็นได้ว่า ใครเป็นพวกต้มตุ๋มหรือไม่เป็น เพียงแต่วันข้างหน้า คุณจะต้องใส่ใจ และคอยตรวจสอบการทํางานของบุคคลากรในโรงพยาบาลให้มากกว่านี้นะครับประธานเฉิน..” หลินหนานตอบกลับยิ้มๆ

เฉินจิ้งซานถึงกับหน้าแดงด้วยความอับอาย เพราะคําพูดของหลินหนานนั้น เป็นการตําหนิการทํางานที่ไม่เคร่งครัดของเขากลายๆ เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที

“คุณชายหลินเก่งสมกับที่เหล่ากู่ชื่นชมจริงๆ! ไม่เพียงมีทักษะทางการแพทย์ที่น่าทึ่ง แต่อายุยังน้อยอีกด้วย ผมเชื่อว่าอนาคตของคุณชายหลินจะไปได้อีกไกลมากทีเดียว”

“ประธานเฉิน.. คุณชมผมมากเกินไปแล้ว!”

จากนั้น หลินหนานก็หันไปบอกกับฉินเสี่ยวยู่ว่า “เสี่ยวยู่ ท่านป้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ร่างกายยังอ่อนแออยู่มาก คุณรีบพาท่านป้ากลับไปพักผ่อนที่บ้าน ต้มโจ๊กร้อนๆให้กิน อย่างเพิ่งให้กินอาหารหนักล่ะ แล้วก็ให้ท่านป้านอนพักผ่อนให้เพียงพอด้วย”

“อืมม..”

ฉินเสี่ยวยู่พยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้หลินหนาน สายตาของเธอที่มองหลินหนานนั้น บ่งบอกชัดเจนว่าทั้งชื่นชม และศรัทธาในตัวเขาอย่างมาก!

แม่ของฉินเสี่ยวยู่เองก็ซาบซึ้งในบุญคุณของหลินหนานเป็นอย่างมาก จนถึงกับจะคุกเข่าขอบคุณเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ถูกหลินหนานห้ามปรามไว้เสียก่อน

หลังจากเรื่องราวทุกอย่างสงบลงแล้ว หลินหนานก็เตรียมตัวที่จะกลับเช่นกัน แต่ผู้เฒ่ากู่กลับเดินมาขวางทางไว้ก่อน พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“คุณชายหลิน กรุณาอยู่ต่ออีกสักครู่!”

“อาวุโส.. มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”