บทที่ 132 – ความทรงจำของมังกร

 

ดวงตาของมิวลืมขึ้นช้าๆ ภายใต้แสงสว่างที่ผ่านเปลือกตาบางๆ ของเธอ ทำให้เธอต้องฝืนลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ

สิ่งที่เธอมองเห็นก็คือเพดานที่ไม่คุ้นเคย เป็นเพดานสีขาวที่มีหลอดไฟสีขาวสว่างจ้าไปทั่ว กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของยาโชยมาแตะจมูกของเธอ

เธอรับรู้ได้ทันทีว่าที่นี่คือที่ไหน.. เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเคยอยู่ในสถานการณ์คล้ายกันนี้..

ใช่ นี่คือโรงพยาบาลไม่ผิดแน่ๆ แต่ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ละ ความทรงจำล่าสุดที่เธอจำได้ก็คือเป็นตอนที่…

ขึ้นไปยังชั้นสิบแล้วก็ได้รับรู้จาก ‘ใครบางคน’ ว่าทุกอย่างมันเกิดอะไรขึ้น.. แต่ไม่ว่ามิวจะนึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าใครบางคนที่ว่านั่นเป็นใคร

ต่อให้พยายามนึกขนาดไหนก็นึกไม่ออก.. มันเหมือนกับความรู้สึกที่เราไม่ได้จดจำว่าวันนี้เราขี่รถผ่านร้านค้าอะไรบ้าง

มันเหมือนกับเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญกับมิวยังไงยังงั้น.. ซึ่งมิวก็รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่พอสมควร แต่พอมานึกเนื้อหาที่เธอได้รับรู้

มันคงไม่แปลกที่เธอจะลืมไปว่าใครเป็นคนบอกเธอ.. เพราะเรื่องนั้นมันไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือเธอได้ก่อบาปร้ายแรงขึ้นมาซะแล้ว

เป็นบาปที่ไม่ควรได้รับการอภัยโดยเด็ดขาด.. มิวพยายามจะยกมือขึ้นมากุมหัว แต่มือข้างหนึ่งเหมือนถูกจับเอาไว้

ทำให้สายตาของมิวต้องหันไปมอง.. คนที่จับมือมิวอยู่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเอริเนียน้อย

“นี่มัน..เกิดอะไรขึ้น ฉันออกมาจากหอคอยได้ยังไง”

และในตอนนั้นเองเสียงกระแสจิตก็พุ่งเข้ามาในหัวของมิว

“ตื่นแล้วเหรอนายท่าน”

เสียงนี้เป็นเสียงของใครไม่ได้อีกนอกจากเสียงของผู้กล้าเอริเนียนั่นแหละ มิวถามขึ้นว่า

“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

“ทางฉันสิต้องถามนายท่าน.. ทำไมนายท่านถึงออกมาจากหอคอยด้วยสารรูปที่สะบักสะบอมขนาดนั้น”

“หือ.. เธอพูดเรื่องอะไร”

“นี่นายท่านจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เหรอ?”

“ไม่เชิงฉันรู้ว่าตัวเองไปถึงชั้นสิบแล้ว..และก็ได้รู้ทุกอย่าง .. มันก็หมดอยู่แค่นั้นเลย”

“……..”

ผู้กล้าเอริเนียที่สื่อสารผ่านจิตอยู่ก็เงียบลงไปหลังจากได้ยินสิ่งที่มิวพูดออกมา เธอเหมือนใช้ความคิดอยู่พักใหญ่

“นายท่าน.. เอาจริงๆ นะ ฉันไม่รู้ว่านายท่านไปเจอกับอะไรมา แต่เท่าที่ฉันรู้มานะ มังกรน่ะไม่ได้มีสมองเหมือนมนุษย์หรอกนะ”

“ฉันเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่เห็นว่าพลังแนวส่งผลกระทบต่อจิตใจกับความคิดนี่ไม่มีผลต่อเหล่ามังกรเลย นายท่านรู้เรื่องนี้ใช่ไหม?”

เมื่อได้ยินแบบนั้นมิวก็ตอบกลับไปว่า ‘รู้’ เพราะเธอสัมผัสมากับตัวแล้วว่าความคิดหรือจิตใจของเธอไม่สามารถถูกสั่นสะเทือนได้

แต่นั่นก็เหมือนเป็นการบอกว่า จิตมังกร นั้นแข็งแกร่งขนาดไหนไม่ใช่เหรอ เพราะมังกรสามารถเอาอาณาเขตจิตตัวเองออกมาวางไว้ข้างนอกได้เลย

แน่นอนว่า ความคิดที่แล่นในหัวมิวนี้ ผู้กล้าเอริเนียก็รับรู้ได้.. เธอก็เลยพูดขึ้นต่อว่า

“จริงอยู่.. เป็นตามที่นายท่านคิดนั่นแหละ เพราะจิตมังกรนั้นทรงพลัง.. แต่หากมองลงไปลึกกว่านั้นล่ะ ทำไมจิตมังกรถึงทรงพลังล่ะ”

“เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่หรอกนะ แต่ว่า.. เหมือนความคิดของมังกรนั้นดำรงอยู่ในรูปแบบของสิ่งที่จับต้องไม่ได้น่ะ”

“พูดอีกกรณีหนึ่งคือต่อให้ทำลายหัวมังกร มันก็ไม่นับว่าเป็นการทำลายหัวมังกรนั่นแหละ ตอนที่ฉันยังมีชีวิตอยู่คือ.. การจะโค่นมังกรลงได้สิ่งที่ห้ามมีเพียงอย่างเดียวเลยคืออย่าพยายามไปใช้พลังจัดการกับความคิดหรือความทรงจำมังกรเด็ดขาด”

“ที่ฉันจะบอกก็คือ นายท่าน ท่านไม่มีทางโดนลบความทรงจำได้นะ ถ้าท่านลืมเองนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากโดนลบความทรงจำเนี่ย… เป็นไปไม่ได้”

“เว้นซะจาก….”

เธอเงียบลงไปเหมือนไม่อยากพูดต่อเท่าไหร่

“นอกซะจากว่านายท่านไปเจอกับสัตว์ประหลาดที่เหนือกว่าท่านทุกอย่าง และมันน่าจะเป็นคำอธิบายให้ด้วยว่าทำไมนายท่านถึงบาดเจ็บขนาดนั้น”

“เดี๋ยวก่อน.. บาดเจ็บที่ว่านี่คือ..”

“ก็…เกือบตายได้ ถึงคนธรรมดาจะไม่เห็นก็เถอะ แต่อาการบาดเจ็บของนายท่านแทบจะตายไปแล้วครั้งหนึ่งได้เลย”

“……..”

มิวเงียบลง ไม่ว่าจะพยายามนึกขนาดไหนก็นึกไม่ออกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมากไปกว่านั้น ก่อนที่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“อะ ใช่.. แล้วเทรต้าละ ผู้หญิงที่อยู่กับฉันที่เหมือนเจ้าตัวจะมาจากดวงจันทร์น่ะ เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

“อ่า เธอคนนั้นนั่นแหละเป็นคนพานายท่านออกมาน่ะ ส่วนเธอเหมือนจะจากไปแล้ว ด้วยท่าทางที่รู้สึกผิดต่อท่านด้วยนะ จำอะไรเกี่ยวกับหล่อนได้ไหม?”

“ไม่เลย รู้แค่ว่าหล่อนน่าจะได้ ‘ระบบ’ มาจากหอคอยด้วย”

“งั้นเหรอ….”

ผู้กล้าเอริเนียครุ่นคิดบางอย่างเงียบๆ แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ได้พูดอะไรออกมา ก่อนที่เธอจะพูดขึ้น

“เอาเป็นว่า.. นายท่านพักผ่อนก่อน ถ้าไม่ได้เด็กคนนั้นช่วยนายท่านอาจจะนอนไปอีกหลายสัปดาห์เลย”

“เด็กคนนั้น?”

“ก็เด็กที่นอนอยู่ข้างๆ นั่นไง เหมือนเจ้าตัวจะใช้พลังพิเศษรักษานายท่านโดยไม่รู้ตัวระหว่างนอนหลับด้วย ฉันเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่”

“…..”

มิวมองหน้าเอริเนียน้อยที่กำลังหลับไม่ได้สติอยู่ข้างเตียง เธอเอามือลูบหัวเอริเนียน้อยเบาๆ

“ฉันติดหนี้เธออีกแล้วสินะ”

ก่อนที่มิวจะทิ้งตัวนอนลงบนเตียงอีกครั้ง ร่างกายรู้สึกถึงความด้านชาแบบหาได้ยาก ตั้งแต่มีร่างกายเป็นมังกรมาไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลย

ดังนั้นมิวจึงไม่ปฏิเสธสิ่งที่ผู้กล้าเอริเนียบอก อีกทั้งในตอนนี้เธอยังมีสิ่งที่ต้องคิดอยู่อีก.. ทำไมเธอถึงไม่รู้สึกอยากตายเลย

หากพูดแล้วมิวเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนทั้งโลกต้องตาย แต่ทำไมเธอในตอนนี้ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะตายเพื่อทดแทนอะไรเลย

ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่รู้สึกผิด แต่ความรู้สึกผิดเหล่านั้นเหมือนกลายเป็นอะไรบางอย่างที่กดทับบนบ่าของเธอไว้

เธอต้องจดจำมันไว้และก้าวเดินต่อไป.. อย่างน้อยก็ต้องไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย ซึ่งนี่ทำให้มิวสับสนอยู่ไม่มากก็น้อยเพราะ.. คนตายเพราะเธอเลยนะ

ทำไมเธอถึง…..

……..

…..

ในห้องแห่งหนึ่งที่มีกระจกวางเรียงกันหลายแผ่นและมีเครื่องสำอางแต่งหน้าวางเรียงเต็มไปหมด ใรห้องนี้มีหญิงสาวเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่

เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ตัวค่อนข้างเล็ก มีผมสีขาวสะอาดตา ดวงตาสีขาวสว่างไสว ไม่แน่ใจว่าผมย้อมหรือเพราะมันซีด เธอมองกระจกแล้วก็ทำเสียงฮึดฮัดกับตัวเอง

“สู้เขานะ ตัวฉัน.. อีกนิดเดียว..แค่นิดเดียว”

แต่ทว่าเมื่อมองใบหน้าตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกนั้นดวงตาของเธอก็สั่นไหว หัวใจเต้นระรัวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

มือสองข้างเริ่มสั่น.. แต่ทว่าเธอก็รีบหยิบเอายาที่ซ่อนไว้ในกระเป๋าออกมาหยิบใส่ปากสองสามเม็ดแทบจะทันที

อาการกังวล วิตกของเธอก็ค่อยๆ เบาลงช้า

“อีกนิดเดียวก็… คุณพ่อ คุณแม่”

“หนูใกล้จะทำตามที่คุณพ่อ คุณแม่บอกได้แล้วนะ”

แต่ทว่าในตอนนั้นเองประตูก็ถูกเปิดออก สาวน้อยรีบเก็บยากลับเข้าไปในกระเป๋าแทบจะทันที

“ยูโกะ ใกล้จะถึงเวลาแล้วนะ เตรียมตัวเสร็จหรือยัง?”

สีหน้าที่สับสนและว้าวุ่นมลายหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่ สาวน้อยหันหน้าไปหาต้นเสียงที่ทักขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า

“แน่นอนค่า แต่ขออีกนิดนะคะ ฉันไม่อยากให้แฟนๆ ต้องผิดหวัง”

รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความไร้เดียงสานั้น..ปกปิดความบิดเบี้ยว..ไว้จัดมิดชิดไม่มีใครใดๆ ในโลกที่สามารถเข้าถึงความบิดเบี้ยวนั้นได้

และบางทีแม้แต่เธอก็ไม่อาจเข้าใจถึงความมืดมิดยากหยั่งถึงของตนเองได้เช่นกัน…. บางทีนะ