บทที่ 65 อาจารย์ผู้นั้นมีปัญหาเรื่องคุณธรรม

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 65 อาจารย์ผู้นั้นมีปัญหาเรื่องคุณธรรม

หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ เหยาซูกลับไปที่ห้องเพื่อปลุกสองพี่น้องที่หลับสนิทเหมือนหมูน้อย ก่อนจะหันไปมองซานเป่าที่หลับอยู่ จากนั้นก็เดินไปที่ครัว

ไม่รู้ว่าหลินเหราทำอาหารเช้าเสร็จหรือยัง ทว่ากลิ่นหอมก็โชยเข้ามาในลานบ้าน

ในใจของนางคาดหวังอะไรบางอย่างหากแต่บอกไม่ถูก นางเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในห้องครัว ก่อนเข้าไปถาม “ช่างหอมนัก บะหมี่ทำเสร็จแล้วหรือ มีอะไรให้ข้าช่วยทำหรือไม่?”

หลินเหราหันมามองหน้าและกระซิบว่า “ไม่เป็นไร ไปปลุกเด็ก ๆ เถิด”

เหยาซูยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าเด็กเกียจคร้านสองคนถูกปลุกขึ้นมาแล้ว แต่ซานเป่ายังคงหลับอยู่”

นางพูดพลางหยิบชามกระเบื้องจากมือของชายหนุ่มไปพลาง ชามกระเบื้องนี้เดิมทีเหยาซูซื้อมาจากร้านเครื่องลายครามในเมืองหลังปีใหม่ เป็นสีขาวงดงาม ใส่บะหมี่ไก่ที่ทำด้วยฝีมือหลินเหราดูเเล้วชวนน้ำลายสอไม่น้อย

“เดี๋ยวก่อน” หลินเหราหยิบต้นหอมขึ้นมาจากโต๊ะแล้วโรยหน้าบะหมี่ไก่ “เอาล่ะระวังร้อนด้วย”

เส้นบะหมี่สีขาวนวลเส้นละเอียดกับไก่ที่หั่นเป็นชิ้นพอคำ ในน้ำแกงใสมีมันลอยออกมาเล็กน้อย ตอนนี้เพิ่มสีเขียวของต้นหอมเข้าไปอีกยิ่งดูสวยงามมากยิ่งขึ้น

“วันหน้าข้าจะไม่ให้ท่านทำอาหารเช้าอีกแล้ว..”

เหยาซูพึมพำเสียงเบาราวกับบ่น

หลินเหราเลิกคิ้วขึ้น “หืม?”

“มันดูดีเกินไปจนแทบไม่อยากจะกิน”

ผู้ชายคนนั้นหัวเราะด้วยเสียงต่ำ “ในอนาคตข้าจะทำอีก”

คำสัญญาที่เขาพูดออกมา เหยาซูไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพียงแต่แอบคิดว่าเขาดูสูงใหญ่และไม่กลมกลืนกับห้องครัวเอาเสียเลย

เหยาซูเดินออกมาจากห้องครัว เด็กทั้งสองคนหลังจากล้างหน้าอย่างว่าง่ายก็กำลังสูดดมตามกลิ่นหอมมา

“ ท่านแม่ วันนี้ทำอะไรกิน? หอมนัก-”

เหยาซูเกือบถูกเด็กทั้งสองชนเข้านางจึงหยุดเท้าทันที “พวกเจ้าอย่าดื้อ เห็นไหมว่าชามในมือของแม่แพงมาก! หากพวกเจ้าชนแม่ขึ้นมาแล้วชามหล่นแตกแม่คงปวดใจ”

สองพี่น้องกล่าวพร้อมกันว่า “มันคืออะไร? ท่านแม่ยกอะไรมา?”

เด็กทั้งสองคนรู้สึกหิวจนไม่สนว่าชามจะดูดีหรือไม่ พยายามยืดคอมองอย่างตะกละตะกราม

เหยาซูเบ้ปาก “อาหารเหล่านี้ท่านพ่อของเจ้าเป็นคนทำ เข้าไปช่วยถือตะเกียบหน่อยไป”

ครอบครัวยกอาหารเช้าขึ้นโต๊ะอย่างรวดเร็ว อาซือและอาจื้อกินแต่ไข่ในตอนเช้าและดื่มนมแพะ

วันนี้ภายใต้การขอร้องของลูกทั้งสองคน หลินเหราจึงตักบะหมี่ให้พวกเขาคนละครึ่งชาม

เส้นบะหมี่บางมาก เมื่อคลุกเคล้าเข้ากันกับน้ำซุปทำให้บะหมี่หอมอร่อยยิ่งขึ้น น้ำแกงอุ่น ๆ ทำให้ซดง่ายและรู้สึกลื่นคอ

อาซือกินไปพลางชมเชยไม่หยุด “ว้าว! บะหมี่ที่ท่านพ่อทำอร่อยมาก..”

เหยาซูยิ้มและชมว่า “มันอร่อยมาก แต่มันก็ใช้เวลาทำมากใช่หรือไม่?”

หลินเหราส่ายหัว “ทำง่ายมาก แค่พวกเจ้าชอบกินก็พอแล้ว”

เขาชินกับการตื่นเช้า วันนี้ฟ้ายังไม่สางก็ตื่นแล้ว ต่อมาก็ไปต้มน้ำแกงและนวดเส้นบะหมี่ในห้องครัว ซักผ้าอ้อมที่สกปรกของซานเป่าให้สะอาด เมื่อเห็นว่าภรรยาและลูก ๆ ยังหลับอยู่ เขาก็ไปฝึกวิชาหมัดในลานบ้านครู่หนึ่ง

อาจื้อถามว่า “บะหมี่ไก่ที่ท่านพ่อทำอร่อยมาก เหตุใดถึงไม่เคยทำมาก่อนขอรับ”

แม้แต่ตอนกินข้าวหลินเหรายังคงนั่งอย่างสง่างาม ร่างกายของเขาสูงโปร่งเมื่อเห็นท่าทางของอาจื้อ จึงเตือนว่า “กินข้าวนั่งหลังตรง”

เด็กชายยืดหลังโดยไม่รู้ตัว หลินเหราเคยชินกับการออกคำสั่ง แม้ว่าน้ำเสียงของเขาไม่ได้บังคับ แต่อาจื้อก็ไม่กล้าที่จะนั่งหลังงอต่อไป

“พ่อไม่เคยทำอาหารมาก่อน แต่ได้เรียนรู้ตอนที่อยู่ค่ายทหารที่ตะวันตกเฉียงเหนือ”

หลินเหราตอบคำถามลูกชาย

ชาวตะวันตกเฉียงเหนือเชี่ยวชาญในด้านทำเส้นบะหมี่ เพียงแค่บะหมี่ก็มีวิธีทำเจ็ดถึงแปดวิธี บะหมี่เส้นกว้าง บะหมี่เส้นแคบ บะหมี่ตัดเป็นเส้นบาง ๆ บางคนมีทักษะดีขนาดสามารถทำเส้นบะหมี่ให้เรียวเล็กเหมือนเส้นผมได้

อาซือเบิกตากว้าง “ท่านพ่อ ค่ายทหารเป็นอย่างไรเจ้าคะ?”

อาจื้อได้ยินน้องสาวถามจึงเสริมว่า “ใช่แล้วท่านพ่อ เล่าให้พวกเราฟังเถิดขอรับ!”

“ค่ายทหารมีขนาดใหญ่มาก มีทหารหลายพันคนปกติจะฝึกตอนกลางวันและนอนในกระโจมตอนกลางคืน”

อาจื้อจึงถามอีกว่า “ แล้วปกติท่านพ่อทำอะไร”

หลินเหราตอบ “มีเพียงแค่สู้รบและกลับมาฝึกฝน”

อาซือไม่เข้าใจความหมายของการทำสงคราม นางคิดมาตลอดว่าสิ่งที่คนอื่นพูดถึง ‘การไปเป็นทหาร’ ก็คือการไปยังสถานที่ไกล ๆ

นางจึงถามขึ้นว่า “ท่านพ่อไม่ไปเป็นทหารแล้วหรือเจ้าคะ?”

อาจื้อจึงตอบนางว่า “ท่านพ่อไปทหาร ต่อสู้กับพวกซยงหนู และกลับมาอย่างวีรบุรุษ!”

อาจื้อเข้าใจประโยคนี้แล้วทว่าก็ยังไม่เข้าใจคำอีกคำ “เหตุใดต้องไปฆ่าพวกซยงหนูด้วยเล่า”

เด็กชายตัวเล็ก ๆ กำหมัดและพูดกับน้องสาวของเขาอย่างแน่วแน่ “พวกซยงหนูเป็นคนเลวและรังแกพวกเรา! ต้องฆ่าพวกเขาให้หมด!”

อาซือตกใจและไม่พูดอะไรอีก

เหยาซูที่อยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย

หลินเหรากล่าวกับอาจื้อว่า “ซยงหนูชอบรังแกชาวฮั่น แต่ไม่ใช่ว่าซยงหนูทุกคนจะเป็นคนเลว ดังนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องฆ่าพวกเขาทั้งหมด”

เด็กชายถามอย่างไม่เข้าใจ “แต่พวกเขาฆ่าคนของเราและปล้นอาหารของเรา อีกทั้งยังเผาทุ่งนา”

หลินเหราพยักหน้าและมองไปที่ดวงตาของอาจื้อ “เจ้าพูดถูก แท้จริงแล้วชาวซยงหนูบางคนบุกรุกเข้ามาในดินแดนของเรา รุกรานประชาชนของเรา แต่อาจื้อ ซยงหนูเป็นแค่กลุ่มคน บางคนไม่ดี แต่ยังมีบางคนที่เป็นผู้บริสุทธิ์”

เมื่อพูดเช่นนี้อาจื้อก็เข้าใจ เขาถามขึ้นว่า “เช่นนั้นพวกเราแค่ต้องฆ่าซยงหนูที่ชั่วร้ายใช่หรือไม่”

หลินเหราถามเขากลับไปว่า “เจ้าแยกแยะคนดีกับคนเลวได้อย่างไร ในสนามรบพวกเราฆ่าซยงหนูมากมาย หากในสนามรบมีชาวฮั่นคนหนึ่งตาย เจ้าต้องการที่จะฆ่าคนซยงหนูทั้งหมดหรือไม่?”

อาจื้อตกตะลึงอ้าปากค้างตอบไม่ได้

เหยาซูที่อยู่ด้านข้างเตือนเขาว่า “ไม่ใช่ทุกเรื่องที่ต้องอาศัยกำลังในการแก้ปัญหา อาจื้อคิดดูว่าแม่จัดการกับคนที่รังแกพวกเราอย่างไร”

น้ำเสียงของนางอ่อนโยน หลินเหรารู้สึกหวั่นไหวเมื่อได้ยินเช่นนี้ วินาทีต่อมาอาจื้อก็ถามอย่างตื่นเต้นว่า “ครั้งก่อนเจ้าอ้วนรังแกข้าและน้องสาว ท่านแม่พากลุ่มคนไปทำลายบ้านของพวกเขา”

อาซือตบมือพลางยิ้มและพูดว่า “ท่านแม่ยอดเยี่ยมมาก”

แม้ว่าเด็กทั้งสองจะไม่ได้เห็นด้วยตาตนเองว่าเหยาซูระบายความโกรธให้พวกเขาอย่างไร ทว่าชายหนุ่มที่ตามแม่ของเขาไปนั้นกลับมาเล่าให้พวกเขาฟัง

ตอนนั้นอาซือและอาจื้อนับถือแม่ของเขาเป็นต้นแบบของตัวเอง

เห็นได้ชัดว่าหลินเหราตกใจ เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “อาซู เจ้าพาคนไปทำลายบ้านคนอื่นงั้นหรือ?”

เหยาซูรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก นางกระแอมไอออกมาสองครั้ง คาดไม่ถึงว่าบุตรชายของนางจะเอาเรื่องนี้มาเปรียบเทียบ

นางมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว พยายามเมินสายตาที่มองสำรวจของชายหนุ่ม แล้วหันไปพูดกับอาจื้ออย่างจริงจังว่า “ต้าเป่า แม่แค่ไปขู่คนอื่นจริง ๆ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้…แม่หมายความว่าการใช้กำลังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด เมื่อแม่ขู่พวกเขาจบ แม่ก็ยังพูดคุยและชดเชยให้กับพวกเขา”

อาจื้อพยักหน้าอย่างลังเล

ท่านแม่ให้เงินพวกเขาแล้วบอกกับเจ้าอ้วนห้ามมารังแกพวกเราอย่างนั้นหรือ?

“ดังนั้นการต่อสู้ที่ต้องใช้กำลังในการปราบปรามนั้นใช่ว่าเป็นเรื่องที่ดีเสมอไป” เหยาซูดึงหัวข้อกลับมาที่พวกซยงหนู

“แต่ก็เป็นเช่นเดียวกับที่ท่านพ่อกล่าว ในขณะที่เราข่มขู่ผู้อื่น เราเองก็จะได้รับความสูญเสียเช่นกัน เพราะฉะนั้นไม่ใช่ทุกอย่างที่จะสามารถใช้กำลังในการตัดสิน”

อาจื้อถามต่อไปว่า “แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี”

เหยาซูกล่าวว่า “พวกซยงหนูก็เป็นมนุษย์ พวกเขาไม่อยากเสี่ยงชีวิตเพื่อต่อสู้กับพวกเรา แต่พวกเขาก็ต้องทำมาหากิน เมื่อเจอช่วงสถานการณ์ที่ไม่ดี วัวและแกะก็น้อยลงพวกเขาจึงไม่มีอะไรกิน ต้องมาแย่งทรัพยากรของอาณาจักรเหยียน เราสามารถเจรจากับพวกซยงหนูได้ว่าพวกเราจะให้อาหารแก่พวกเขาเพื่อแลกเปลี่ยนกับวัวและแกะหรือขนสัตว์ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการเจรจา”

อาจื้อเข้าใจแล้วจึงถามว่า “เช่นนั้นพวกเราให้อาหารแก่พวกซยงหนูโดยตรง พวกเขาก็จะไม่รังแกพวกเราอีกใช่หรือไม่ขอรับ? เช่นนี้ใต้หล้าก็จะสงบสุข เหล่าทหารชายแดนล้วนได้กลับบ้าน วันหน้าท่านพ่อก็ไม่ต้องทำสงครามแล้ว!”

เหยาซูหัวเราะ “การเจรจานั้นยังไม่สำเร็จ พวกซยงหนูยังตกลงกันไม่ได้ หากไม่มีทหารชายแดนคอยปกป้อง พวกซยงหนูก็จะเข้าออกดินแดนของเราตามใจชอบ ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ของอาณาจักรเหยียนนั้นสมบูรณ์ยิ่งกว่าพื้นที่นอกด่านมาก ดังนั้นจะห้ามพวกเขาไม่ให้พากันแย่งชิงได้อย่างไร!”

อาจื้อเริ่มครุ่นคิดค่อย ๆ เรียบเรียงตรรกะ พยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก

หลินเหราได้ยินเหยาซูพูดถึงสงครามซยงหนูอย่างชัดเจนก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้

เขาจึงถามว่า “อาซู เหตุใดเจ้าจึงรู้มากถึงเพียงนี้”

อาซือพูดขึ้น “ท่านแม่มีความรู้มาก ก่อนหน้านี้ท่านแม่พาพี่ชายไปหาอาจารย์คนหนึ่งในเมือง อยากให้พี่ชายได้เรียนหนังสือกับอาจารย์แต่ความรู้ของอาจารย์ยังสู้ท่านแม่ไม่ได้เลยเจ้าค่ะ!”

เหยาซูปราดตามองหลินเหรา เมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของชายหนุ่มนางเองก็เริ่มสังหรณ์ในใจ

หลินเหรากับเหยาซูร่างเดิมนั้นอยู่ด้วยกันมาหลายปี นิสัยของร่างเดิมเป็นอย่างไรเขาเข้าใจมันอย่างชัดเจน

ตอนนี้นิสัยของเหยาซูนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาอาจสามารถใช้เหตุผลนี้ในการตรวจสอบนาง การที่นางมีความรู้มากมายกระทันหันนั้นไม่สามารถอธิบายได้

นางจึงหันไปพูดกับอาซือ ว่า “เอ้อเป่าก็พูดไปเรื่อย อาจารย์คนนั้นมีปัญหาเรื่องคุณธรรมต่างหาก”

หลังจากที่ครอบครัวกินอาหารเช้าเสร็จเหยาซูจึงเก็บกวาดโต๊ะแล้วใช้โอกาสนี้จบหัวข้อสนทนา

นางให้อาจื้อและอาซือไปดูน้องชาย ส่วนนางนำชามและตะเกียบไปในครัว

หลังจากนั้นไม่นาน หลินเหราก็เดินตามเข้าไป

นางรู้สึกลนลานเล็กน้อย ทว่านางรีบชิงลงมือก่อน “ท่านจะตามข้าไปที่บ้านของท่านแม่หรือจะให้ข้าไปเอาเสื้อผ้าของพี่ใหญ่กลับมาให้ท่าน”

ชายหนุ่มจ้องมองนางอย่างแน่วแน่ “อาซู เจ้ากังวลเรื่องอะไร”

………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ใครเลวก็จัดการคนนั้นแบบไม่เหมารวมมันเป็นวิธีที่ดีค่ะ แต่เรื่องยากก็คือจะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนดีคนไหนเลว อย่างไหนดำอย่างไหนขาว

ท่านแม่โดนจับโป๊ะแล้ว จะหาวิธีเลี่ยงยังไงดีนะ

ไหหม่า(海馬)