ในอีกด้านหนึ่ง ทางสถานีตำรวจก็กำลังวุ่นวายกับเหล่าทนายความหลายสิบคนที่ถูกส่งมาเพื่อประกันตัวเหล่าวัยรุ่น หัวหน้าตำรวจเองก็พลันรีบเดินไปปิดประตู เขาไม่ต้องการที่จะคุยกับทนายความพวกนั้น ในตอนนี้ เขาก็เอาแต่ภาวนาให้เสี่ยวเฉิงกลับมาโดยเร็ว

นอกจากนี้ หัวหน้าตำรวจคนนั้นก็ยังได้รับโทรศัพท์จากเบื้องบนอีกด้วย มันไม่ใช่ทั้งปัญหาใหญ่และปัญหาเล็ก หากสถานีไม่สามารถชี้แจงและให้คำอธิบายที่ดีพอได้ พวกเจ้าหน้าที่ก็จะต้องถูกลงโทษหรือถูกพักงานเป็นเวลากว่าสามเดือน นั่นเป็นเหมือนคำสั่งปิดปากเหล่าตำรวจที่ส่งตรงมาจากผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังวัยรุ่นเหล่านั้น ทว่า จนถึงตอนนี้ ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนเลยที่จะกล้าก้าวขึ้นมาเพื่อเรียกร้องและแสดงความรับผิดชอบ ทุกคนในสถานีต่างก็รอให้เสี่ยวเฉิงกลับมาให้เร็วที่สุด

เนื่องจากเสี่ยวเฉิงเป็นคนเอากุญแจห้องขังไป ทางสถานีจึงต้องจ้างช่างเชื่อมมาเพื่อเปิดประตูและปล่อยทุกคนออกไป

แต่ทว่า ทันทีที่ประตูสแตนเลสถูกเปิดออก เหล่าวัยรุ่นที่อยู่ข้างในดูเหมือนจะเห็นพ้องต้องกันในเรื่องหนึ่ง พวกเขาขอนั่งอยู่ที่เดิมและปฏิเสธที่จะออกมาไม่ว่าข้างในจะแออัดแค่ไหนก็ตาม

นายน้องหยุนพลันโบกมือเพื่อให้ทนายเดินเข้าไปหา และทันทีที่กระซิบข้างหูทนายอยู่คำสองสามคำ ทนายคนนั้นก็พยักหน้า จากนั้นไม่นาน ทนายก็เดินออกมาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้านนอก “ลูกความของผมได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ถูกต้อง และหากพวกคุณไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล เราอาจจะต้องไปเจอกันในศาล”

หลังจากที่หัวหน้าตำรวจที่กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานพลันได้ยินสิ่งที่ทนายพูดเข้า เขาก็เผยยิ้มอย่างขมขื่นและหันไปทางผู้กอง “นายจงใจแกล้งกันหรือเปล่าเนี่ย? ปล่อยให้ตำรวจมือใหม่ไปกะกลางคืนทำไมกัน? ถ้าพวกลูกเศรษฐีนั่นฟ้องพวกเราขึ้นมา จะทำยังไงกันต่อล่ะทีนี้? มันเป็นความผิดนายที่ปล่อยให้เสี่ยวเฉิงออกไปลาดตระเวนกะกลางคืน ออกไปขอโทษแล้วก็ไกล่เกลี่ยให้พวกเขาใจเย็นลงเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“เอ่อ… หัวหน้า คุณก็เห็นว่าเด็กพวกนั้นต้องการที่จะเล่นงานเสี่ยวเฉิง ดูสิ่งที่ทนายพูดสิ…”

ทันใดนั้น หัวหน้าตำรวจก็เหลือบมองไปยังทนายความผ่านกระจกหน้าต่าง เขาอยากจะออกไปไล่คนพวกนั้นด้วยตัวเองเสียจริง!

ท้ายที่สุดแล้ว เสี่ยวเฉิงก็เดินเข้ามา และในตอนนั้นเอง ตำรวจแทบทุกคนก็หันมองไปที่เขาด้วยสีหน้าแห่งความชื่นชม ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายทันทีที่กล่าวคำพูด “เด็กใหม่! นายนี่มันสุดยอดไปเลย! พวกเราคิดว่านายโดนเล่นไปแล้วนะเนี่ย…”

ทันทีที่เสี่ยวเฉิงมาถึง พวกเด็กวัยรุ่นในห้องขังก็พลันกระโดดโหยงขึ้นพร้อมกันและชี้นิ้วไปที่เขาทันที “นั่นไง! ใช่เลย! ไอ้หมอนั่น! “

ทว่า ทนายความของวัยรุ่นเหล่านั้นก็ทำตัวไม่ต่างกับฉลามที่ได้กลิ่นเลือด พวกเขารีบเดินไปล้อมตัวของเสี่ยวเฉิงเอาไว้ทันที

“โปรดให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลกับลูกความของเราด้วย ทำไมพวกเขาถึงต้องถูกจับขัง? แถมพวกเขายังได้รับบาดเจ็บอีก คุณเป็นตำรวจก็จริง แต่เราก็มีสิทธิ์ที่จะปกป้องสิทธิลูกความเช่นกัน “

เสี่ยวเฉิงผลักทนายคนหนึ่งออกไปและเดินตรงไปที่ห้องขัง “ไม่อยากจะออกมากันหรือยังไง?”

นายน้อยหยุนพลันตกใจเล็กน้อย จากนั้น เขาก็ตะโกนใส่หน้าเสี่ยวเฉิงโดยปราศจากความกลัว “เจ้าหน้าที่ตำรวจจะจับหรือทำร้ายประชาชนยังไงก็ได้งั้นเหรอ?!”

“ฉันไม่ได้ทำร้ายอะไรพวกนายสักหน่อย แล้วก็ไอ้บาดแผลที่เห็นนั่น… มันก็เกิดจากการต่อต้านระหว่างการจับกุมมากกว่า จะมาโทษฉันไม่ได้นะเรื่องนี้” เสี่ยวเฉิงตอบกลับ

ทันใดนั้น ทนายความก็พลันเดินตรงเข้ามา “งั้นผมขอเหตุผลที่คุณจับลูกความของเราเข้าคุกหน่อยสิ?”

“ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ไม่ยอมให้ความร่วมมือ แล้วก็ดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ตำรวจ การกระทำเช่นการถ่มน้ำลายใส่เจ้าหน้าที่ถือเป็นการดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างรุนแรง! เมื่อคืน ฉันมีสิทธิ์ยิงป้องกันตัวและบังคับใช้กฎหมายด้วยซ้ำ!”

ทว่า ทนายคนนั้นพลันความตอบอย่างไม่ไยดี “มันก็แค่คำพูด! ทำไมมันฟังดูต่างจากที่ลูกความของผมบอกมาล่ะ?!”

“เพื่อนร่วมงานของฉันก็อยู่ในที่เกิดเหตุเมื่อคืน พวกเขาเป็นพยานได้” เสี่ยวเฉิงตอบกลับ

นายน้องหยุนพลันตะโกนขึ้นมา “ก็พวกนั้นเป็นเพื่อนแก มันจะเชื่อได้ไหมล่ะ? พวกแกอาจจะเข้าข้างกันเองก็ได้ ใครจะไปรู้?”

ทันใดนั้น พวกวัยรุ่นคนอื่นก็พลันตะโกนสนับสนุน “ใช่แล้ว! พวกเราทั้งถูกจับขัง ทั้งถูกทำร้ายร่างกาย ดูเหมือนว่าคำพูดของพวกเราจะฟังขึ้นมากกว่านะ! ไม่ใช่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสิ่งที่แกพูดสักหน่อย… เราเองก็สงสัยในการบังคับใช้กฎหมายของแกเหมือนกัน”

ตอนนี้ผมเริ่มสงสัยแล้วว่าพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองซ่างเฉิงจะมีกล้องจิ๋วติดตัวกันบ้าง