บทที่ 128 ซาบซึ้งใจ
มู่เทียนซิงไม่เคยรู้มาก่อน ว่าเวลาที่ผู้ชายพูดความในใจที่เต็มไปด้วยความกตัญญูออกมา แถมเป็นความในใจที่พูดกับเธอแค่คนเดียว มันจะทำให้ซาบซึ้งใจขนาดนี้
โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่รู้แล้วว่าแม้แท้ๆของตัวเองเป็นใคร ในสภาวะที่หนีหย่าจูนพูดออกมาขนาดนั้น หลิงเล่ก็ยังสามารถคิดถึงอีกฝั่ง เชื่อว่าอีกฝั่งมีความจำใจที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ กระแสจิตแบบนี้ มันถือว่าเป็นความเชื่อใจกันที่เชื่อมระหว่างแม่ลูกใช่ไหม?
มันคือสิ่งดีงามที่ได้มาจากการถ่ายทอดผ่านยีน หรือว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด รอบคอบและมองการณ์ไกล?
น้ำตาอุ่นๆไหลหยดลงมาทั้งสองข้าง
“คุณอา จากนี้ไปถ้ามีโอกาส พวกเรามาปกป้องเธอด้วยกันนะ!ใครบังอาจรังแกเธอ พวกเราก็จัดการมันซะ!”
“ฮ่าๆๆ!”
คำพูดคำจาที่หวานหยดของมู่เทียนซิง มันก็แลกมาด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขของหลิงเล่
แขนยาวๆก็เอื้อมออกมา จู่ๆเขาก็กอดตัวเธอเข้ามาทับบนร่างกายของตัวเอง มองเขาด้วยสายตาร้อนรุ่ม
ตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมาของมู่เทียนซิง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาอยู่ในท่าที่ชายหญิงนอนคร่อมกันแบบนี้
น้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจยังคงไหลอยู่บนแก้มที่เนียนนุ่มไม่แห้งหายไป ใบหน้าสวยสง่าเริ่มตกใจจนหน้าเริ่มบิดเบี้ยว พร้อมกับพูดออกมาเสียงดัง“อา~!คุณอา!คุณจะทำอะไร!ฉันยังเด็กอยู่นะคะ ยังเด็กอยู่เลย!”
หลิงเล่หันสายตามาชำเลืองมอง เข้าไปในคอเสื้อที่เปิดออกของเธอด้วยความรวดเร็วอย่างกับแสง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างอบอุ่น“ไม่เด็ก มือของฉันที่ใหญ่ขนาดนี้ สามารถคลำได้ทั้งอัน กำลังพอดีมือ สีกำลังดี ผิวสัมผัสกำลังดี ความเด้งกำลังดี ฉันพอใจมากแล้ว!”
“หลิงเล่!คนเลว!”
“อื้อ ฉันก็เป็นอยู่นี่ไง!”
“ปล่อยฉันลงไปนะ!”
“ฮ่าๆๆ!”
ทั้งสองคนเสียงดังโหวกเหวกกัน พอเผชิญกับรอยยิ้มราวกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ของผู้ชาย มู่เทียนซิงก็รู้สึกสับสนไม่น้อย“ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย!”
เธอสาบานเลยว่า ถ้าไม่ทำให้เธอต้องลนลานขนาดนี้ เธอไม่มีทางสบถคำหยาบออกมาจากปากแน่นอน!
แต่หลิงเล่กลับจ้องมองเธออย่างเยาะเย้ย “ตัวเล็ก เธอดูสองมือของฉันสิ กำลังรองหนุนอยู่ใต้หัวตัวเอง เธอต่างหากที่ขึ้นมาอยู่บนตัวฉันแล้วร้องโหวกเหวก แถมยังไม่ลงไปอีก แล้วมาโทษว่าฉันว่าไม่ยอมปล่อยได้ยังไง?”
เห็นๆอยู่ว่าเขาปล่อยไปตั้งนานแล้ว!
แก้มของมู่เทียนซิงเริ่มแดงไปทั่ว!
ลิ้นเลียตรงมุมปาก คิดที่จะปีนลงจากตัวของเขา แต่แขนของเขาก็ยกขึ้นมา โอบเอวของเธอเอาไว้ รัดจนแน่น ทำให้เธอไม่สามารถขยับออกมาได้
มู่เทียนซิงกระวนกระวายจนจะสบถคำด่าออกมา แต่เสียงอ่อนโยนของหลิงเล่กลับดังออกมาเสียก่อน“ตัวเล็ก ฉันเหนื่อย พวกเราไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่ให้ฉันได้กอดเธอแบบนี้สักหน่อยนะ!”
เสียงที่ฟังดูเหนื่อยล้าของหลิงเล่ มู่เทียนซิงรู้สึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในหลายวันมานี้ มันเหมือนกับกำลังถ่ายภาพยนตร์สักเรื่อง ทุกวันมีเรื่องให้จับตาดูทุกช่วง มีจุดไคลแมกซ์อยู่ตลอดเวลา ในใจก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงกังวลเขาขึ้นมา
นิ่งไปสักพัก
ไม่ใช่แค่ปีนขึ้นไปนอนบนผู้ชายแค่นั้นเองเหรอ คงจะไม่ตายหรอก แถมนี่ยังเป็นผู้ชายที่ตัวเองชอบอีก
หลับตาลง มู่เทียนซิงตั้งใจเอาหูวางนาบลงไปที่ใจของหลิงเล่เป็นพิเศษ ฟังจังหวะที่เต้นตึกๆอย่างแรงนั่น แล้วก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
เธอตื่นขึ้นมากลางดึก มองเห็นบริเวณรอบตัว มันมืดเล็กน้อย ทั้งห้องมีแค่โคมไฟเล็กๆหนึ่งโคม แสงสีเหลืองส่องสว่างอุบอุ่น อยู่ตรงหัวเตียง
ตัวเธอที่สวมชุดนอนเดรสผ้าไหมแท้ ถูกหลิงเล่กอดอยู่ในอ้อมแขน ริมฝีปากของเขา ประกบอยู่ที่หน้าผากของเธอ อยู่นิ่งไม่ขยับ
พอกลั้นหายใจและตั้งสมาธิ มู่เทียนซิงสามารถได้ยินเสียงหายใจที่ผ่อนคลายของเขา รู้ดีว่าเขากำลังหลับสนิท มุมปากดูเหมือนกำลังแอบรู้สึกดีใจอยู่ หวานหยดย้อย ดูเหมือนว่ากำลังหลุดเข้าไปในห้วงของความฝันอีกครั้ง
พอผ่านค่ำคืนนี้ไปด้วยกันแล้ว หลิงเล่ก็พบสิ่งสิ่งหนึ่งว่า:ให้เวลาและพื้นที่กับสาวน้อยแค่นิดหน่อย ระยะห่างระหว่างเธอกับตนเองก็จะยิ่งอยู่ยิ่งใกล้มากขึ้น
เช่น เขาคิดหาวิธีต่างๆเพื่อที่จะเอาเธอมาอยู่ข้างกายให้ได้ เธอก็พยายามหนี พอเขาปล่อยเธอไป เธอกลับไม่อยากจากไป
เช่นอีกรอบ มีอยู่ครั้งหนึ่งก่อนไปทำงานเขาบอกว่าจะพาเธอไปด้วยกัน เธอส่ายหัวไม่เต็มใจ พอเขาจะไปจริงๆ เธอกลับตามมา
เช่นอีกหนึ่งรอบ คืนหนึ่งเขาอาศัยจังหวะที่เธอหลับอยู่จะล่วงเกินเธอ พอเธอมารู้ทีหลังก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่พอเขาแค่บอกฝันดีไม่ได้ล่วงเกินอะไรนอกจากกอดเธอไว้ เธอกลับยังกอดเขาแน่นทั้งที่ปาเข้าไปกลางดึกแล้ว
ดังนั้น ในเวลานี้ หลิงเล่มั่นใจแจ่มแจ้งแล้วว่า ต้องใช้วิธีการเลี้ยงแบบปล่อยตามความเหมาะสมของสภาพแวดล้อม ดูเหมือนว่า ไม่ต้องไปบีบเคล้น ไม่ต้องไปบังคับ แต่ต้องรอให้เธอค่อยๆเข้ามาใกล้เขาเอง
ขณะรับประทานอาหารเช้า
ชิ้นปลาค็อดทอดที่มู่เทียนซิงชอบกินที่สุด ตอนนี้ได้ถูกวางนอนนิ่งสงบอยู่ในจานของหนีหย่าจูน
เธอชอบกินปลาค็อดจากทะเลลึกมาก แต่ที่มือเพิ่งฉีดวัคซีนไป ภายในหนึ่งเดือนนี้จึงไม่สามารถกินอาหารทะเลได้
เธอชำเลืองมองหนีหย่าจูนหั่นแผ่นปลาค็อดอย่างชำนาญ แล้วเอาชิ้นปลาที่หั่นแล้วเข้าไปในปากด้วยท่าทางสง่างาม มู่เทียนซิง รู้สึกว่ามันช่างยั่วยวนเหลือเกิน
จู่ๆมือใหญ่ก็ยื่นออกมา บังตาของเธอไว้“มองชายอื่นจนน้ำลายย้อยต่อหน้าฉัน? มู่เทียนซิง ช่างกล้าเหลือเกินนะ!”
หนีหย่าจูนแทบจะสำลักคำพูดของหลิงเล่ รีบยกนมปั่นขึ้นซดตามไปทันที กลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงไป ก่อนจะพูดขึ้น“ซือซ่าว หึงหวงมากขนาดนั้นเลย?”
หลิงเล่หยิบกระดาษขึ้นมาเช็ดน้ำลายที่ไหลออกมาให้มู่เทียนซิง ก่อนจะพูดออกมาหนึ่งคำด้วยสีหน้านิ่งเฉย“พี่!”
“อะไร?”
“หือ?”
มู่เทียนซิงและหนีหย่าจูนต่างรู้สึกตกใจไม่น้อย!
แต่หลิงเล่กลับไม่มองพวกเขาแม้แต่นิดเดียว ยกหม้อไก่ดำต้มถั่งเช่าไปวางไว้หน้ามู่เทียนซิงอย่างนิ่งเฉย จากนั้นก็พูดอธิบายให้ชัดเจนขึ้น“ไม่ใช่ซือซ่าวเฉยๆ แต่มี พี่ ด้วย”
หลังจากที่มู่เทียนซิงอึ้งตะลึงไปสองสามวินาทีก็รีบตอบสนองกลับมาอย่างรวดเร็ว!
นี่หมายความว่าหลิงเล่ยอมรับหนีหย่าจูนเป็นน้องชายแล้ว!
หนีหย่าจูนก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างดีอกดีใจ“เดี๋ยวนะ!เดี๋ยวๆๆครับ !”
ความสุขมันมากะทันหันมาก จนทำให้หนีหย่าจูนทำอะไรมาถูก
ถ้ารู้ว่าหลิงเล่จะเป็นแบบนี้ เมื่อคืนเขาก็คงจะไม่ต้องพลิกตัวไปมา และนอนก็นับแกะทั้งคืนหรอก
เหลือบมองสีหน้าที่มืดมนของเขา แม้ว่าจะไม่ส่งผลอะไรต่อความหล่อเหลาของเขา แต่กลับทำให้จิตใจที่อ่อนโยนของเขาแทบจะเจ็บปวดแสนสาหัสได้เลย!
พอเห็นท่าทางที่อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะหลุดยิ้มออกมา ก่อนจะพูดขึ้น“พี่หย่าจูน ฉันดูแล้วคุณกำลังกวนบาทาอยู่นะ!พอคุณอาไม่ดีกับคุณ คุณก็ไปออเซาะออแซเขา!พอคุณอาให้คุณเรียกเขาว่าพี่ คุณกลับปรับตัวไม่ได้!”
แสงจากโคมไฟระย้าแผ่กระจายความอบอุ่นและความสงบสุขไปทั่วห้อง
จู่ๆหนีหย่าจูนก็ตาเริ่มแดง ก้มหน้าก้มตายัดเนื้อปลาเข้าปากไปคำใหญ่ไม่หยุด แต่ไม่ว่าเขาจะกินเนื้อปลามากไปเท่าไร แต่ความอัดอั้นทีอยู่ในใจนั้น ก็ไม่สามารถกลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิมได้
หลิงเล่ที่เห็นเขากินเร็วขนาดนั้น ก็เอาปลาค็อดทอดในจานของตัวเองเลื่อนไปวางไว้ตรงหน้าของเขา
รวมถึง ชิ้นปลาที่เขาหั่นไว้เรียบร้อยแล้วด้วย“ให้นาย”
สองคำนี้ กลับฟังดูแล้วคุ้นเคยและสนิทสนมขึ้นมาไม่น้อย
หนีหย่าจูนยิ้มออกมาอย่างแสดงอารมณ์ไม่ถูก หลิงเล่พูดขึ้นต่อ“ตอนเที่ยงก็ให้จั๋วหรันพานายออกไปตระเวณดูรอบๆสิ ทำเลของร้านค้าที่นายพูดไว้ครั้งที่แล้ว แค่บอกที่ตั้งของมันกับจั๋วหรันให้ชัดเจนก็ได้แล้ว”