บทที่ 129 แม่

หนีหย่าจูนพยักหน้า“ทราบแล้วครับ”

“มีเงินติดตัวไหม?”หลิงเลหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก แววตาที่นิ่งขรึม ชำเลืองมองหนีหย่าจูนอย่างนิ่งๆ มุมปากโค้งพูดหยอกล้อด้วยอารมณ์ขัน“บัตรเครดิตที่ตัวของนายน่าจะโดนระงับแล้วใช่ไหมล่ะ? ส่วนเงินในธนาคารก็มีพอดีให้ซื้อสินค้าเข้าร้าน แล้วยังเซ็นสัญญาการกู้ยืมกับที่บ้านอีก ต้องคืนทั้งต้นทั้งดอกด้วย ใช่ไหมล่ะ?”

หนีหย่าจูนทำตาโต จ้องเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ“พ่อของผมบอกเหรอ?”

ถามไปพลาง หนีหย่าจูนก็พยายามคิดไปพลาง: เป็นไปไม่ได้ พ่อไม่มีทางติดต่อกับหลิงเล่อย่างลับๆแน่นอน ข้อมูลข่าวสารของหลิงเล่ ล้วนแต่เป็นจั๋วหรันที่รายงานมาทั้งสิ้น พ่อจึงจะทราบได้

ถอนหายใจเบาๆ หลิงเล่มองเขาเหมือนกับกำลังมองคนปัญญาอ่อน พร้อมกับพูดขึ้น“ไม่ต้องมีใครมาบอกฉันหรอก พี่ชายของนายมีสมอง!”

หนีหย่าจูนแก้มเริ่มแดง ดีใจจนทำได้แค่พยักหน้า

แต่มู่เทียนซิงกลับมองสำรวจดู เธอพบว่า คำพูดแต่ละคำพูดที่หลิงเล่พูดกับหนีหย่าจูนก็มี“พี่ พี่ชายของนาย”อยู่ตลอด แต่หนีหย่าจูนจนถึงตอนนี้ กลับแค่คำว่า“พี่”สักคำ ไม่แม้แต่จะหลุดออกมาจากปาก!

เห็นได้ว่า เมื่อคืนขณะที่กำลังฝันอยู่ ในฝันหลิงเล่ต้องพูดคำพวกนี้อยู่หลายครั้ง“พี่ พี่ชายของนาย” วันนี้ถึงได้พูดจนชินปาก

แต่เมื่อคืนตอนฝันอยู่ หนีหย่าจูนก็ไม่ได้คิดว่าวันนี้จะต้องมาเรียกหลิงเล่ว่า“พี่”ก็เลยไม่ได้พูดออกมาสักคำสินะ!

ดวงตาสวยสง่ากระพริบแล้วกระพริบอีก เธอก็หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก บอกให้รู้ว่าตัวเองกินอิ่มแล้ว

ฉวีซือก็รีบเข้ามาเก็บจานชามบนโต๊ะออกไปจนหมด

หลิงเล่คว้ามือของมู่เทียนซิง เข้ามากุมไว้ในมือของเขา พร้อมกับมองเธอ“วันนี้เธอจะรออยู่ที่บ้าน หรือว่าจะตามฉันไปวังหลัง หรือว่าจะไปเวียนดูรอบๆเมืองกับหนีหย่าจูน?”

หูเล็กๆตั้งขึ้นทันที มู่เทียนซิงยิ้มจนหน้าบาน

เธอเห็นว่าวันนี้หลิงเล่อารมณ์ดีเป็นพิเศษ เรียกชื่อหนีหย่าจูน เรียกซะอย่างสนิทสนมแบบนี้

“ฉันไปกับพี่หย่าจูน!ฉันค่อนข้างคุ้นเคยกับเมืองm แถมนิสัยของฉันก็เข้ากันได้กับจั๋วหรัน ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้นอกจากฉันอีกแล้ว!”

“ได้!”

หลังจากที่คำพูดแค่คำเดียวสิ้นสุดลงและลอยหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว ไร้ซึ่งความหึงหวงแม้แต่น้อย

บัตรเครดิตสีทองหนึ่งใบ สะท้อนแสงประกายออกมาอยู่เบื้องหน้าของหนีหย่าจูน เขายื่นมือออกมาเพื่อจะรับไว้ แต่กลับพบว่า หลิงเล่เหมือนกำลังเล่นกับแมว เขาหยิบบัตรทองมาแกว่งไปหนึ่งรอบ แล้วสุดท้ายก็ยัดเข้าไปในมือของมู่เทียนซิง

หนีหย่าจูนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตำหนิ“กำลังกวนผมอยู่ใช่ไหม!”

ถามเขาก่อนว่ามีเงินไหม แล้วถึงค่อยล้วงบัตรออกมาสะบัดๆไปมาตรงหน้าเขา สุดท้ายก็เข้าไปในกระเป๋าของคนอื่น!

นี่มันอะไรกัน!

มู่เทียนซิงที่เห็นว่าพวกเขาสองคนพี่น้องนี้ดูสีหน้าท่าทีอบอุ่นขึ้นไม่น้อย หลิงเล่ก็ดูจะชอบเขาแล้ว เธอรีบยื่นบัตรทองให้เขาด้วยสองมือ“พี่หย่าจูน ให้!”

หนีหย่าจูนไม่กล้ารับไว้

ถ้าจะให้พูดก็คือ ผู้ชายอกสามศอก รับบัตรจากในมือของผู้หญิง มันน่าขายหน้าจะตาย!

หลิงเล่ยกมือขึ้นมาสะกิดๆที่จมูกของมู่เทียนซิง มองดูเธอด้วยความเอ็นดูอย่างอดไม่ได้“เธอเคยคิดบ้างไหม ว่าพวกเราจะหมั้นกันแล้ว เธอเรียกฉันว่าคุณอา แล้วเรียกเขาพี่หย่าจูนอีก ลำดับความอาวุโสมันมั่วๆอยู่ไม่ใช่หรือไง?

สาวน้อยพอได้ยินแบบนั้น ก็ขำๆ พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ทั้งขี้เล่นทั้งโอหัง“แล้วใครใช้ให้คุณเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อนล่ะ!”

“ฉันยังไม่ได้กินเธอเลยนะ”

“กินยังไง!เคยจูบแล้วนะ!”

มู่เทียนซิงขมวดคิ้ว พร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้น หลังจากพูดเสร็จแล้วก็เพิ่งเห็น ว่าหลิงเล่กำลังจ้องมองเธอด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์

รู้สึกว่าตัวเองโดนเล่นซะแล้ว เธอปาบัตรใส่เขาด้วยความโมโห“คุณเก็บเองแล้วกัน!”

หลิงเล่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เก็บบัตรขึ้นมา แล้วยิ้มเบาๆ“อื้อ เห็นเงินทองเป็นเศษมูลเศษดิน ช่างใจใหญ่ใจโตซะเหลือเกินนะ”

สาวน้อยเริ่มฉุนขึ้นไปอีก แต่มือถือของหนีหย่าจูนดันดังขึ้นมาก่อน

เขาหยิบขึ้นเปิดดู พบว่า เป็นข้อความจากแชทกลุ่มครอบครัว

จู่ๆ สีหน้าของหนีหย่าจูนก็ดูผิดปกติไปทันที

หลิงเล่เห็นตอนแรกว่าเขาแอบชำเลืองตามามองตัวเอง ก็เลยจ้องเขากลับไปอย่างนิ่งๆทันที“มีอะไรเหรอ?”

แววตานั่น มันเหมือนกับเมื่อคืนตอนที่เขาเข็นรถเข็นเข้ามาใกล้ และถามเค้นตนว่าแม่แท้ๆของเขาเป็นใคร มันดูเย็นชาเหมือนกันไม่มีผิด!

หนีหย่าจูนเพิ่งจะเข้าใจ ว่าจริงๆแล้วพี่ชายของเขาคนนี้ สามารถเปลี่ยนสีหน้าได้ราวฟ้ากับเหว

แม้ว่าในใจจะไม่ยอม แต่ก็ไม่สามารถรับมือกับแรงอาฆาตที่มากมายมหาศาลของอีกฝั่งได้ เขาโบกๆมือที่จับมือถืออยู่ พร้อมกับพูดขึ้นอย่างยิ้มๆ“แม่ของคุณส่งข้อความมา แต่ผมยังไม่ได้เปิดดูน่ะ”

หนีหย่าจูนพูดไปแบบนี้ จริงๆแล้วก็จงใจจะลองเชิงดู

เขาอยากรู้ว่า หลิงเล่ไม่เกลียดคุณหญิงเยว่หยาแม้แต่นิดเดียวจริงๆหรือเปล่า

เพราะว่าเรื่องแบบนี้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับเด็กที่น่าสงสารคนไหนก็ตาม ทุกคนก็ต้องรู้สึกเกลียดทั้งนั้น

ต่อให้ไม่เกลียด ก็โกรธ!

พอได้ยินแบบนี้ หลิงเล่ตกใจจนนิ่งชะงักไปทั้งตัว ราวกับว่าโดนตอกเข็ม ไม่ขยับเขยื้อน

มู่เทียนซิงกับหนีหย่าจูนต่างก็หันมองมายังเขา ในแววตาของเขาไร้ซึ่งจิตอาฆาตที่แสนเย็นชา แล้วก็ดูไม่นิ่งขรึมลึกลับเหมือนกับปกติแล้ว แววตาของเขา ดูเข้าใจง่ายขึ้นมาทีละนิดๆ ราวกับพระจันทร์ที่ส่องแสงสว่างและอ่อนโยนออกมา

แววตาแบบนี้ ทำให้หนีหย่าจูนเจ็บปวดหัวใจ!

มู่เทียนซิงก็แทบจะร้อง แต่ว่ากลั้นเอาไว้ หันหน้าไปมองหนีหย่าจูน ก่อนจะพูดขึ้น“พี่หย่าจูน คุณหญิงเยว่หยา บอกอะไรเหรอ ให้พวกเราดูหน่อยได้ไหม?”

เธอพูดด้วยน้ำเสียงเชิงข้อร้องและออดอ้อน ทำให้หนีหย่าจูนไม่รู้ว่าจะปฏิเสธยังไงดี

ลูกกระเดือกของเขาขยับเล็กน้อย เพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรอัดอั้นที่ลำคอ พอเห็นท่าทางแบบนี้ของหลิงเล่ แม้แต่จมูกก็ยังรู้สึกขัดๆจนแทบหายใจไม่สะดวกไปด้วย“เธอ คุณป้าของผมเธอส่งข้อความเสียงมา”

พูดจบ แต่พอเห็นแววตาของหลิงเล่เหมือนจุดประกายแสงสว่างขึ้น!

มู่เทียนซิงมองออกได้ไม่ยาก ว่าหลิงเล่อยากที่จะฟังเสียงแม่ของเขามากขนาดไหนๆๆ!

หนีหย่าจูนไม่รอให้มู่เทียนซิงเปิดปากขอร้อง เขาวางมือถือลงบนโต๊ะอาหารเองเลย

ทุกคนพอเห็นการกระทำนี้ของหนีหย่าจูน ต่างก็สงบเงียบลง ไม่กล้าหายใจเสียงดัง เพื่อจะให้หลิงเล่ได้ฟังเสียงแม่ของเขาอย่างชัดเจน

นิ้วมือเรียวยาวของนักเปียโน แตะลงไปที่ไมโครโฟนในแชทให้สว่างขึ้น ในขณะเดียวกันก็ทำให้ช่วงเวลาแห่งความสุขของหลิงเล่สว่างไสวขึ้นเช่นกัน

“หย่าจูน ป้าจะออกแบบแหวนที่จะใช้ในการแต่งงานหนึ่งคู่ แต่ไม่รู้ว่านิ้วของลูกทั้งสองคนขนาดเท่าไร หลานช่วยป้าไปสืบหน่อยได้ไหม? เด็กเทียนซิงคนนั้นชอบสีฟ้าไหม? แล้วหลานรู้ไหมว่าเสี่ยวเล่มีชอบอัญมณีสีอะไรเป็นพิเศษบ้างหรือเปล่า?”

มันช่างอ่อนโยน อ่อนหวาน และอบอุ่นเหลือเกิน พอฟังแล้วน้ำเสียงยังดูเด็กอยู่ นี่เป็นเสียงของคุณหญิงเยว่หยา!

มันเติมเต็มจินตนาการของลูกทุกคนที่มีต่อแม่

แน่นอนว่ามันก็เติมเต็มหลิงเล่เช่นกัน!

หนีหย่าจูนเก็บมือถือกลับมา มองหลิงพร้อมกับพูดขึ้น“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นช่วยยื่นนิ้วนางข้างซ้ายของพวกพี่ออกมาได้ไหม ผมจะวัดให้”

มู่เทียนซิงยังคงตกตะลึง คุณหญิงเยว่หยาที่แท้ก็รักคุณอามาโดยตลอด แถมยังออกแบบแหวนแต่งงานให้กับลูกด้วยตัวเองอีก ถ้าไม่รัก แล้วจะยอมเสียแรงกายแรงใจขนาดนี้ไปทำไมกันล่ะ?

สูดหายใจเข้าลึก พยายามผ่อนคลายความอัดอั้นในใจ มู่เทียนซิงหันหน้าไปมองหลิงเล่“คุณอา? จะวัดไหม?”

หลิงเล่ที่เพิ่งจะดึงสติกลับมา ริมฝีปากสีแดงอ่อนแฝงไปด้วยความปลื้มปริ่มดีใจอย่างบอกไม่ถูก“แม่จะทำแหวนแต่งงานให้ฉัน? ”