ตอนที่ 140 – เบบี๋

 

  ถนนดินขับยาก รถทุกคันล้วนสั่นสะเทือนอย่างแรง

  เดินทางลงใต้ต่อไป บนถนนไม่ปรากฏการซุ่มโจมตีของชาวป่าอีก

  บางทีอีกฝ่ายอาจจะเคยนึกว่าฝูงโดรนก็พอที่จะสกัดทีมล่าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ดังนั้นไม่ได้มีการเตรียมการอื่น ๆ อีก

  บางทีอีกฝ่ายถูกความแข็งแกร่งที่แสดงออกมาในพริบตานั้นของหลี่ซูถงขู่จนตระหนก ดังนั้นถอนการลอบโจมตีข้างหน้าไป

  ฝีมือการทำลายโดรนหลายสิบตัวในทันใดนั้นเรียกได้ว่าสุดสะพรึง

  ชิ่งเฉินยังไม่ได้ทราบอย่างชัดเจนถึงระดับความแข็งแกร่งผู้เหนือมนุษย์ แต่พวกเซียวกงมีความรอบรู้ นี่อย่างน้อยเป็นคนแรงก์ A ลงมือ

  ในทีมล่าฤดูใบไม้ร่วง เซียวกงเชื่อมต่อเส้นประสาทกับโดรนเปียนเจี้ยชุดที่สองเรียบร้อยแล้ว

  เห็นเพียงโดรนสิบกว่าตัว ครึ่งหนึ่งบินขนาบสองข้างขบวนรถ ครึ่งหนึ่งบินวนรอบ ๆ ไกลออกไป

  อย่างรวดเร็ว เซียวกงรายงานสถานการณ์จากในวิทยุสื่อสารมาว่า “คุณหนูอีนั่วครับ สองข้างไม่ค้นพบศัตรู แต่ข้างหลัง 6 กิโลเมตร ชาวป่าเหมือนกับรวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้เลิกล้มกันไล่ฆ่าพวกเราเลย”

  หลี่อีนั่วขมวดคิ้ว อีกฝ่ายรู้ว่ามียอดฝีมือแรงก์ A ขึ้นไปยังไล่ตามมา หรือว่าผู้อาวุโสสักคนของสระอัคคีก็อยู่ใกล้ ๆ?

  เธอถามว่า “แคมป์ของจินไดยังอีกไกลแค่ไหน”

  ”ข้างหน้า 27 กิโลครับ” เซียวกงตอบ

  ”บอกกับหวังปิ่งซูว่าขบวนรถทั้งหมดรักษาความเร็วเดินหน้าอย่างเต็มที่เอาไว้ พวกเราผ่านแคมป์ตระกูลจินไดแล้วค่อยผ่อนลง” หลี่อีนั่วยิ้มเย็นชา

  พูดจบ เธอมองไปทางหนานเกิงเฉิน “เบบี๋ เมื่อกี้ทำคุณกลัวไหม”

  หนานเกิงเฉินไม่พูดไม่จา

  หลี่อีนั่วถามอีกว่า “โอ๋ ๆ คุณยังโมโหฉันอยู่ใช่รึเปล่า ก็แค่ว่าเมื่อกี้สถานการณ์มันเร่งร้อน ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะตะคอกคุณหรอกนะ”

  หนานเกิงเฉินอัดอั้นจนหน้าแดงกล่ำ อึก ๆ อัก ๆ แต่ยังไม่พูดออกมาสักคำ 

  แต่เขาไม่ได้กำลังโมโหหลี่อีนั่ว พูดตามตรงพอเขาเห็นว่าตอนที่อีกฝ่ายกำลังจะเกิดวิกฤตก็มาพาตัวเขาไปเป็นอันดับแรก ก็ไม่ได้โกรธแล้ว

  เพียงแต่ว่า หลี่อีนั่วอยู่ต่อหน้าชิ่งเฉินแล้วเรียกเขาอย่างนี้……

  ไม่ต่างอะไรกับการประหารสาธารณะเลย

  เวลานี้ ในหมู่คนที่อยู่ที่นี่มีเพียงหลี่ซูถงที่รู้ว่าชิ่งเฉินกับหนานเกิงเฉินรู้จักกัน ฉินอี่อี่กับหลี่อีนั่วไม่รู้เลย

  หลี่อีนั่วเห็นหนานเกิงเฉินอัดอั้นจนหน้าแดงยังเลิกชายเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นแล้วเอ่ยอย่างห่วงใยว่า “สีหน้าคุณแย่ขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้ได้รับบาดเจ็บอะไรหรอกนะ?!”

  ตอนที่ตรวจสอบ หนานเกิงเฉินยังอยากยื่นมือไปหยุดหลี่อีนั่ว ผลคือกลับถูกผู้กล้าสาวสวยกดลงบนกระบะ ตรวจสอบอยู่ครึ่งค่อนวัน ไร้ความสามารถจะต่อต้านสักนิด

  หนานเกิงเฉินหน้าซีดเทาเหมือนคนตาย

  คนอื่นล้วนตายสามครั้ง ทั้งการตายทางร่างกายอะไรเอยทั้งการถูกคนลืมเลือนอะไรเอย ช่างเลื่อนลอย

  เขาหนานเกิงเฉินไม่เหมือนกัน ตายทางสังคมล้วน ๆ ก็มีสามครั้งแล้ว…… 

  ……

  ที่ห่างไกล ทุกคนสามารถมองเห็นกองไฟของแคมป์จินไดแล้ว

  คนที่สายตาดีถึงขนาดสามารถเห็นว่าที่ข้างกองไฟ จินได โจสุเกะกำลังนั่งอยู่กับลูกสาวของเขา ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร

  หลังจากขบวนล่าฤดูใบไม้ร่วงมาถึง เห็นกับตาว่าคนของตระกูลจินไดเดินออกมากันหมด ถึงขนาดที่ยังมีคนหยิบอาวุธปืนออกมา รวมทั้งปืนต่อต้านการควบคุมที่ประดิษฐ์มาสำหรับโดรนเป็นการเฉพาะ

  เพียงแต่ว่า เซียวกงติดต่อระบบสื่อสารของจินไดล่วงหน้าแล้ว “ที่นี่คือทีมล่าฤดูใบไม้ร่วง แคมป์ด้านหน้าโปรดอย่ากังวล ไม่ต้องยิงปืน พวกเราแค่ผ่านทาง”

  ตอนที่ผ่านแคมป์ หลี่อีนั่วนั่งอยู่ในกระบะยิ้มน้อย ๆ ให้จินได โจสุเกะ “สายัณสวัสดิ์ ราตรีสวัสดิ์”

  ว่าแล้ว ทีมล่าฤดูใบไม้ร่วงปล่อยควันโขมง เฉียดผ่านแคมป์ของตระกูลจินไดไป…… 

  ลมแรงหอบนั้นทำเอาเต้นท์ในแคมป์ไหวโยก เสียงดังพรึบพรับ ขนาดกองไฟยังมืดไปช่วงหนึ่ง

  จินได โจสุเกะที่สวมกิโมโนชุดถูกพัดขึ้นมา เปิดเผยขาที่เต็มไปด้วยขนเปล่าเปลือยสองข้าง……

  “บากะ!” จินได โจสุเกะหันหน้าใส่เงาหลังของทีมล่าฤดูใบไม้ร่วง สบถเสียงดังออกมา

  หลี่ซูถงกล่าวว่า “ประโยคนี้ฉันแปลหน่อย เขาบอกว่าราตรีสวัสดิ์ พวกคุณอยู่บนถนนระวังความปลอดภัยด้วย”

  ชิ่งเฉิน “……”

  ขณะนี้จินได โจสุเกะคิดไม่ตกเลยว่าทีมล่าฤดูใบไม้ร่วงจู่ ๆ เร่งเดินทางกลางดึกเพื่ออะไร

  บอดี้การ์ดสูทดำคนหนึ่งกล่าวว่า “พวกเขาเจอกับอันตรายรึเปล่าครับ”

  จินได โจสุเกะนึกทบทวน “บนรถพวกเขาไม่มีรอยใหม่ ไม่น่าจะเจอกับอันตรายนะ”

  “งั้นพวกเขาอาจจะอยากชิงหาชิ่งไฮวให้เจอก่อนเราไหมครับ”

  จินได โจสุเกะส่ายหน้า “จากข่าวที่ฉันเพิ่งได้รับมา กองร้อยสนามหน่วยนั้นของกองพลที่สองเพิ่งจะแยกตัวออกจากกองทัพไม่กี่วันก่อน ใช้ความเร็วการเคลื่อนพลตามปกติ พวกเราพรุ่งนี้เช้าก็จะไปถึงชายขอบของสถานที่ต้องห้ามหมายเลข 002 ส่วนชิ่งไฮวอาจจะสามารถไปถึงพรุ่งนี้บ่าย ดังนั้น ปล่อยหลี่อีนั่วไปเถอะ พวกเราไม่จำเป็นต้องแย่งชิงเวลาแล้ว”

  จินได โอริจู่ ๆ ดึงแขนเสื้อของจินได โจสุเกะอ้อนวอนว่า “พ่อคะ หนูได้ยินว่าเฉินเล่อโหยวไม่ได้ดีอย่างในข่าวลือเลย เป็นแค่ลูกหลานกลุ่มการเงินโรคจิตคนหนึ่ง รอพ่อกล่อมชิ่งไฮวแล้วก็ให้หนูสลับกับจินได โซราเนะดีไหม ให้หล่อนแต่งให้เฉินเล่อโหยว หนูแต่งให้ชิ่งไฮว!”

  จินได โจสุเกะคิด ๆ ดู “ก็ไม่ใช่ไม่ได้ ชิ่งไฮวยอดเยี่ยมกว่าลูกหลานกลุ่มการเงินคนอื่น ๆ จริง ๆ แต่ว่า ข้อแม้คือไอ้สวะคนนั้นในคุกหมายเลข 18 ต้องตายก่อนถึงจะได้ แบบนั้นเปลี่ยนสัญญาแต่งงานก็จะถูกต้องเหมาะสม”

  พริบตาถัดมา จู่ ๆ มีคนเห็นว่าทิศเหนือมีแสงไฟหน้ารถสว่างมาอีกครั้ง

  แสงหน้ารถ LED ที่ติดบนรถออฟโร้ดแสบตาอย่างยิ่ง บนหลังคารถแถวหน้าสุดยังติดไฟค้นหาที่สว่างจนตาบอดได้เอาไว้หนึ่งแถว ทำให้คนที่เผชิญกับลำแสงดูไม่ออกเลยว่าผู้มาเป็นใคร

  มีบอดี้การ์ดเข้มแข็งรีบวิ่งไปด้านข้าง หลีกเลี่ยงแสงไฟส่องสว่างของอีกฝ่ายแล้วจึงเห็นว่าข้างกระโปรงรถของอีกฝ่ายเสียบธงเอาไว้หนึ่งผืน

  บนธงมีสระอัคคีที่รายล้อมด้วยก้อนหินจาง ๆ เปลวไฟในสระอัคคีกำลังสั่นไหวไม่หยุดไปพร้อมกับการสั่นสะเทือนของรถยนต์

  บอดี้การ์ดเริ่มตะโกนแล้ว “ชาวป่า เป็นทีมของสระอัคคี รีบขึ้นรถ!”

  ตอนนี้จินได โจสุเกะมีจิตใจอยากฆ่าคนขึ้นมา

  มิน่าล่ะหลี่อีนั่วจู่ ๆ หน้าเปื้อนยิ้มทักทายตนเอง อีกฝ่ายมันดึงทีมของสระอัคคีมาหาตัวเองที่นี่!

  นี่ถ้าหนีช้า ไม่แน่พวกเขาจินไดกลุ่มนี้อาจจะตายในป่ากันหมดเลยก็ได้!

…………………………………..

เบบี๋คือคำว่าเป๋าเป่าที่เห็นในนิยายจีนหลายเรื่องนั่นแหละค่ะ ตอนแรกคิดว่าจะใช้ทับศัพท์จีนเลยดีไหม แต่รู้สึกว่าแปลเป็นทับศัพท์อังกฤษน่าจะเข้ากับเนื้อเรื่องมากกว่าน่ะค่ะ เรื่องนี้เราพยายามไม่ทับศัพท์จีนเท่าที่ทำได้ จะได้ได้ฟีลโลกอนาคตหน่อย ซึ่งตรงกันข้ามกับหนึ่งเซียนที่แปลคู่กันเลย 555 ขอบอกว่าตอนเราอ่านทวนรอบสองต้องแก้จาก “นาง” เป็น “เธอ” หลายจุดอยู่ค่ะ ไม่รู้มีหลุดไปมั่งรึเปล่าด้วยเนี่ย

 

ตอนที่ 141 – กฎของสถานที่ต้องห้าม