ตอนที่ 133 ให้ตายสิ

“โม่หลิน?”

พอหนีหย่าจูนได้ยินก็ตกใจ แล้วรีบมองดูจั๋วหรันกับจั๋วซี:”เมื่อก่อนทำไมไม่เคยได้ยินคุณน้าบอกว่าพวกเขามีน้องสาวอีกละ โตขนาดนี้แล้ว?”

สีหน้าของจั๋วหรันกับจั๋วซีก็เกรงขึ้น พอพูดถึงเรื่องที่บ้าน พวกเขาก็อยากรู้เหมือนกัน

คุณหญิงเยว่หยาทำเสียงเสยดายว่า:”ที่จริงแล้วก่อนโม่หลินนั้น เหม่ยยินก็มีลูกอีกคน แต่ตอนหลังรู้ว่าเป็นลูกชาย สองสามีภรรยาก็ตัดสินใจทำแท้ง ในใจของพวกเขานั้น คู่ลูกชายขั๋วหรันกับจั๋วซี คือไม่สามารถใช่คนอื่นมาแทนกันได้”

เหม่ยยิน เป็นคุณแม่ของจั๋วหรันจั๋วซี

คุณพ่อของพวกเขาชื่อว่านั่วยี เป็นบอดี้การ์ดประจำตัวของจักรพรรดิเจปู้

พอจั๋วหรันกับจั๋วซีได้ยินประโยคนี้ ก็เริ่มตาแดงขึ้นแล้วน้ำตาคลอเบ้า พ่อแม่ไม่เคยลืมพวกเขา และก็คิดว่าพวกเขานั้นไม่สามารถแทนที่ได้ ในใจของพวกเขา ก็หวังที่จะกลับบ้านทั้งวันทั้งคืน

ตอนนี้พอคิดว่าน้องสาวแท้ๆจะมา สายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความหวัง มองดูหนีหย่าจูนแบบน่าเอ็นดู

ในใจของหนีหย่าจูนมีแผน แล้วพูดกับมือถือว่า:”คุณน้า ตอนนี้ผมได้พบกับคุณ พาพวกจั๋วหรันเขาไปด้วยได้มั้ย?ถ้าพวกเขารู้ว่าน้องสาวของตัวเองมา คงรู้สึกอยากเจอเหมือนกัน หลายปีมาแล้ว สายเลือดเดียวกันต้องแยกจากกัน……”

พอพูดถึงนี้ หนีหย่าจูนก็ค้าง!

พอคิดได้ว่าตนพูดอะไรผิดไป ก็รีบขอโทษ:”ขอโทษนะคุณน้า!ผมไม่ได้ตั้งใจครับ!”

เขาแค่อยากบอกว่า คือพี่น้องบ้านจั๋วต้องแยกจากกันกับคนในบ้าน แต่ก็ลืมไปว่าหลิงเล่กับคุณหญิงเยว่หยาก็แยกจากกัน!

ให้ตายสิ!

ฝั่งนู้นของสาย เสียงเงียบลงกะทันหัน!

เผชิญกับเงียบที่ประหลาดนี้ หนีหย่าจูนแถบจะตบหน้าตนแรงๆ!

“คุณน้า ผมไม่ได้ตั้งใจครับ คุณเย่าเศร้านะ ผมมันผิดควรตาย!คุณปู่จะฆ่าผมแน่!”หนีหย่าจูนรู้สึกกระวนกระวาย ครอบครัวของเขามีการสืบทอดทางพันธุกรรมนี้ คือจะรักษาคนในบ้านอย่างมาก

คุณน้าแทบจะเป็นชีวิตของคุณปู่ ถ้าให้เธอน้ำตาตกแม้แต่หยดเดียว คุณปู่ก็จะไปสู้ตายกับคนอื่นแน่!

ในตาของกลิวเล่นั้นก็เต็มไปด้วยน้ำตา แล้วหันหัวอย่างกะทันหัน เอาหน้าถูกับกระต่ายขาวของมู่เทียนซิงไปหนึ่งรอบ!

มู่เทียนซิงแค่รู้สึกว่ามีสายไฟไหลผ่านตัวไป ตกใจจนหลังศีรษะชาไปหมดเลย

อีกอย่าง เนื้อผ้าในฤดูร้อนก็บางๆไว้ โครงร่างของเด็กสาวก็ดีมาก ยกทรงยังเป็นแบบโคตรบาง ไม่ต้องใส่ฟองน้ำเลย เพราะงั้น……เห้อๆ……

เธอโดนหลิงเล่ถูแบบนี้ใส่ ก็มีความรู้สึกแปลกๆขึ้นมา

จึงกอดหัวของเขา แล้วเอาออกนิดหนึ่ง เขามองเธอแบบน่าสงสาร แต่เธอนั้นรู้สึกขนลุกไปหมด

อยากจะพูดอะไรออกมา แต่ก็กลัวว่าคุณหญิงเยว่หยาที่อยู่ฝั่งนู้นของสายจะได้ยินอะไรออกมา ก็เลยทำได้แค่กัดฟันแล้วก้มลงข้างหูของหลิงเล่ พูดเสียงเบามากว่า;”ฉัน ฉันฉันฉัน……ฉันจะไปปัสสาะ!เดี๋ยวค่อยมา!”

พูดจบ เธอก็กำหมัดเล็กๆไว้วิ่งพุ่งตรงไปที่ห้องน้ำร่วมกันของชั้นหนึ่งเลย!

คนที่เหลืออยู่ก็คิดว่าเธอแค่จะเข้าหิ้งน้ำธรรมดา เลยไม่ได้ไปสนอะไรมาก

ขณะเดียวกัน ฝั่งนู้นของสายก็มีเสียงเล็ดลอดมานิดหนึ่ง แต่เป็นแบบแหบๆ แน่นอนว่าเป็นเสียงที่เพิ่งสะอื้นมา เสียงแบบนี้ไม่ยากที่จะให้คนอื่นคิดว่าคุณหญิงเยว่หยาเมื่อกี๊ปิดไมค์ไว้ และปิดเสียงร้องไห้ของตนเองไว้ด้วย!

“หย่าจูน คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ น้าไม่ได้เป็นอะไรนะ วันหลังค่อยคุยกันต่อนะ คุณต้องดูแลตัวเองดีๆ ถ้าหลิงเล่นิสัยไม่ค่อยดี คุณก็ปล่อยเขาหน่อยนะ แล้วก็ดูแลเทียนซิงด้วย หลิงเล่นั้นไม่มีคนปกป้องตั้งแต่เด็ก ฉันกลัวว่านิสัยของเขาจะเข้ากับผู้หญิงไม่ได้ ในเมื่อคุณอยู่ตรงนั้น ก็ช่วยเหลือกันหน่อยนะ เอาเป็นว่าตัวเองทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่นละกัน อย่าให้พวกเขาทะเลาะกัน รอฉันไปถึงเมืองMแล้วค่อยนัดคุณกับพวกจั๋วหรันมาพบเจอกินข้าวด้วยกันนะ”

“อืม”

“แล้วพบกันใหม่นะ”

“แล้วพบกันใหม่!”

หลังจากที่วางสาย หลิงเล่ทั้งคนนั้นไม่มีสีหน้าอะไรบนใบหน้าเลย เหมือนกับสีหน้าที่เขาแสดงออกในวันทั่วไป

ในสายตานั้นก็ยังลึกลับเช่นเดิม ทำให้หาข้อมูลอะไรไม่ได้เลย

ตอนที่มู่เทียนซิงออกมาจากห้องน้ำ เห็นว่าหนีหย่าจูนได้วางสายลงแล้ว จึงรีบหันไปมองหลิงเล่ แล้วมองหนีหย่าจูน:”ไม่มีเรื่องแล้วใช่มั้ย?คุณหญิงเยว่หยายังร้องไห้อยู่มั้ย?”

หนีหย่าจูนยิ้มแบบโล่งใจ ว่า:”ไม่มีเรื่องแล้ว การสนทนาจบลงแล้ว เธอไม่ได้ร้องไห้ เธอแค่บอกให้พวกฉันต้องดูแลตัวเองดีๆแค่นี้เอง”

“อ้อ”

มู่เทียนซิงมองดูหลิงเล่อย่างระมัดระวัง แล้วเดินไปจับราวรถเข็นของเขาไว้ ว่า:”คุณลุง พวกฉันไปกินข้าวเถอะ ยุ่งยากมาแล้วครึ่งวัน ฉันหิวจะตายอยู่แล้วนะ”

ม่านตาของหลิงเล่สว่างขึ้นแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้า

ฉวีซือดีใจ แล้วรีบพูดว่า:”ฉันเตรียมไว้หมดแล้ว อีกสักพักก็จะเสิร์ฟอาหารให้ พวกคุณนั่งก่อนนะ!”

มู่เทียนซิงเตรียมที่จะเข็นหลิงเล่ไปนั่งหน้าโต๊ะอาหาร แต่จั๋วซีก็มาก่อน ว่า:”คุณหนูมู่ ฉันส่งซือซ่าวไปห้องน้ำก่อนนะ!”

วันนี้ทั้งวันแล้ว หลิงเล่ยังไม่เคยไปห้องน้ำเลย

มู่เทียนซิงปล่อยมือ แล้วรู้สึกอบอุ่นขึ้นเพราะว่าข้างกายของหลิงเล่นั้นมีคนที่คอยดูแลอยู่เช่นนี้

เธอกับหนีหย่าจูนนั่งลงหน้าโต๊ะอาหาร ตอนที่หันหน้าเข้าหากัน มู่เทียนซิงก็พลางคิดได้ว่า:”เมื่อกี๊ทำไมคุณไม่บอกกับคุณหญิงเยว่หนาว่ขอให้เธอพบกับคุณลุงละ?คุณก็รู้ว่าคุณลุงคิดถึงแม่ คิดถึงจนจะเป็นบ้าแล้วนะ”

มือขาวอันเล็กๆนั้น จับแจกันเล็กๆที่อยู่บนโต๊ะอาหารมา แล้วเคาะแจกันเล่น จากนั้นก็เก็บไว้ที่เดิมแบบน่าเบื่อ

มู่เทียนซิงถอนหายใจเบาๆ มิงดูหนีหน่าจูนแล้วบ่นต่อว่า:”คุณหญิงเยย่หยารู้สึกสงสารที่พี่น้องตระกูลจั๋วไม่ได้เจอกับคนในบ้านตั้งนาน จึงให้น้องสาวเจอกับพวกเขา แสดงว่าเธอยังรู้สึกสงสารที่สายเลือดเดียวกันต้องแยกจากกัน ถ้าใช้เวลานี้ คุณช่วยออกอีกแรง บอกให้เธอยอมพบกับคุณลุงเธอก็คงต้องตอบตกลงแน่!”

เด็กสาวพูดด้วยความมั่นใจ แล้วมองหนีหย่าจูนแบบมุ่งมั่น

เสมือนว่าวันนี้ หนีหย่าจูนจะทำเรื่องผิดเรื่องใหญ่ มีข้อดีก็ไม่ช่วยหลิงเล่คว้าไว้

แต่หนีหย่าจูนก็ส่ายหน้าแบบทำอะไรไม่ได้ ว่า:”คุณไม่เข้าใจ น้าผมมไม่พบกับเขาแน่นอน ทั้งชีวิตนี้ก็เป็นไปไม่ได้”

เสียงที่เย็นๆดังขึ้น พร้อมด้วยรถเข็นสีเงินเคลื่อนที่มา จากประตูทางเข้าของห้องรับแระทานอาหาร:”ทำไม?”