บทที่ 108 แขกโรงน้ำชา
บทที่ 108 แขกโรงน้ำชา
เช้าวันนี้โจวอี้ไปที่ตลาดเพื่อซื้อผักจำนวนมากและยังมีตะพาบตัวใหญ่อีกสองตัว
หลังจากเตรียมอาหารเช้าแล้ว ชายหนุ่มก็ได้รับข้อความจากถังหว่านว่าเธอต้องออกไปทำงานก่อนเวลาเพราะมีงานด่วนเข้ามา และขอให้เขาไปส่งลูกสาวที่โรงเรียนแทน
นี่คือข่าวดี และมันทำให้โจวอี้มีความสุขขึ้นมาในทันที
เขาเดินไปที่ห้องถัดไปก็พบว่าวันนี้ลูกสาวของเขายังคงนอนอุตุอยู่บนเตียง
หลังจากเกลี้ยกล่อมอยู่นาน ทั้งยังหลอกล่อและให้สัญญาอยู่หลายครั้ง โจวอี้ก็ช่วยลูกสาวแต่งตัวได้สำเร็จ ก่อนจะพาเธอลงไปทานอาหารเช้า แล้วจึงอุ้มเธอไปโรงเรียนท่ามกลางหิมะสีขาวโพลน
ตอนนี้หิมะตกอย่างหนัก
โลกทั้งใบถูกปกคลุมด้วยหิมะหนา ๆ ทิวทัศน์โดยรอบถูกถมไปด้วยสีขาวจนมองอะไรแทบไม่ออก
ณ โรงน้ำชาปาซาน
รถออฟโร้ดคันใหญ่ขับมาหยุดอยู่ที่ข้างถนน ก่อนที่หวงไห่เทาในชุดเสื้อขนมิงค์จะก้าวลงมาจากรถ เขามาพร้อมกับชายหนุ่มหน้าตาดีในชุดสูทสีขาวที่มีอายุราว ๆ ยี่สิบเจ็ดหรือยี่สิบแปดปี
“โอ้ ดูท่าว่ากิจการของโรงน้ำชาจะดีมากสินะ! ถึงมีรถหลายคันจอดอยู่ที่ประตูแบบนี้” หวงไห่เทามองไปที่รถหรูจำนวนมากทั้งสองฟากฝั่งของถนน ดวงตาฉายแววเย้ยหยันออกมา “แต่กลิ่นชาคงไม่หอมเท่ากลิ่นคนงาม ถึงได้มีคนขี้เมาอยู่มากมายในเมืองจินหลิงนี้”
“ซีชิงอิ่งป็นของผม” ชายหนุ่มรูปหล่อกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“คุณจวงดูมั่นใจมากจริง ๆ นะ แต่ถ้าคุณอยากได้คนงามคืนไป คุณก็ต้องต่อสู้กับพวกเจ้าถิ่นข้างในนั่น” หวงไห่เทาพูดอย่างติดตลก
พวกนั้น?
สีหน้าของจวงรุ่ยพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขารู้สึกว่าหวงไห่เทากำลังรวมเขาไว้ใน ‘พวกนั้น’ ด้วย
เมื่อทั้งคู่เข้าไปในโรงน้ำชาปาซาน พวกเขาก็เห็นว่าในล็อบบี้เลาจน์มีคนหนุ่มสาวสามคนที่แต่งกายด้วยแบรนด์ดังกำลังพักผ่อนอยู่ที่โซฟา คนเหล่านั้นกำลังพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“ยินดีต้อนรับทั้งสองท่าน ได้นัดไว้ล่วงหน้าไหมคะ” บริกรหญิงเดินเข้ามาถาม
“ห้องน้ำชาเกล็ดเหมันต์” จวงรุ่ยเป็นคนตอบ
“โปรดตามมาได้เลยค่ะ”
“เดี๋ยว…” เสียงใครบางคนแทรกขึ้นมาจากกลุ่มคนหนุ่มสาวทั้งสาม
และเมื่อรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของพวกเขา หนึ่งในนั้นก็จ้องมองไปที่จวงรุ่ยกับหวงไห่เทาอย่างเย็นชา ก่อนจะขึ้นเสียงใส่บริกรหญิงผู้โชคร้าย “เห็น ๆ กันอยู่ว่ายังมีห้องอื่น แล้วทำไมถึงต้องมาแย่งห้องนี้ด้วย มาทีหลังน่ะ เข้าใจใช่ไหม?”
“ขอโทษค่ะ แต่ทั้งสองท่านนี้ได้จองล่วงหน้าไว้แล้ว…”
“พล่ามอะไร ใครจะรู้ว่าโรงน้ำชานี้ต้องจองล่วงหน้าด้วย รีบจัดการให้เราซะ ไม่งั้นฉันจะทำลายที่นี่ให้หมด” ชายหนุ่มตวาดอย่างโกรธจัด
“ไสหัวไป…” จวงรุ่ยพูดขึ้นเสียงเย็นเยียบ
“แกเป็นใคร กล้าท้าทายฉันเหรอ รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?!” ชายหนุ่มคนนั้นจ้องมองพลางยกมือชี้หน้าจวงรุ่ย
ผลัวะ!
จวงรุ่ยเตะท้องอีกฝ่ายจนกระเด็น จากนั้นเขาก็พูดอย่างเย็นชาว่า “ผมไม่รู้ว่าคุณมาจากไหน แต่ผมบอกคุณได้ว่าผมเป็นใคร นามสกุลของผมคือจวง ตระกูลจวงแห่งจินหลิง”
ตระกูลจวง?
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คนหนุ่มสาวอีกสองคนที่เหลือซึ่งกำลังตั้งท่าพร้อมจะต่อสู้ก็พลันเปลี่ยนสีหน้าไปทันที พวกเขารีบถอยหลังไปสองสามก้าว จากนั้นก็เอ่ยปากขอโทษและรีบพยุงเพื่อนที่ถูกเตะออกมา ก่อนจะพากันวิ่งออกไปจากโรงน้ำชาทันที
“โอ้…”
หวงไห่เทาปรบมือและหัวเราะ “คุณจวงช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ! แค่พูดไม่กี่คำกับเตะทีเดียวก็ทำเด็กพวกนั้นกลัวจนหัวหดได้แล้ว”
จวงรุ่ยกลอกตาแล้วพูดว่า “ถ้ายังมีใครมารบกวนอีก ผมจะบอกว่าผมคือหวงไห่เทาแห่งตระกูลหวงในจินหลิง พวกนั้นจะได้รู้กันไปเลยว่าคุณยิ่งใหญ่กว่าผมซะอีก”
“ไร้ยางอาย!” หวงไห่เทาต่อว่าแต่ก็ส่งเสียงหัวเราะลั่น
“คุณก็น่ารังเกียจเช่นกัน!” จวงรุ่ยโต้กลับอย่างภาคภูมิใจ
ครู่ต่อมา พวกเขาก็เดินไปที่ชั้นสองภายใต้การนำทางของบริกรหญิงคนเดิม
ทันใดนั้นร่างเพรียวบางก็ปรากฏขึ้นที่มุมทางเดิน
ซีชิงอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเฉยเมย หญิงสาวเหลือบมองไปทางบันไดแล้วโบกมือเรียกพนักงานต้อนรับ
“ค่ะเจ้านาย!” หญิงสาวแผนกต้อนรับเดินไปหาผู้เป็นเจ้านายทันที
ซีชิงอิ่งกระซิบออกมาว่า “ฉันมีบางอย่างต้องทำในเช้านี้ เพราะงั้นฉันจะไม่ต้อนรับแขกในโรงน้ำชา ถ้าใครสร้างมาปัญหาในโรงน้ำชา เธอโทรหาตำรวจได้เลย”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
จากนั้นซีชิงอิ่งเดินออกไปไม่กี่ก้าวก็หยุดกะทันหัน เธอดูลังเลเล็กน้อยแต่ก็หันกลับมาพูดว่า “ถ้าวันนี้หมอโจวมาที่โรงน้ำชา เธอรีบโทรหาฉันทันที”
“รับทราบค่ะ!” หญิงสาวแผนกต้อนรับเผยสีหน้าแปลก ๆ ออกมาแต่ก็ตอบตกลง
ซีชิงอิ่งเดินออกมาข้างนอกแล้วเข้าไปนั่งในรถของตัวเอง หลังจากที่สตาร์ตเครื่องแล้วเธอก็ไม่ได้รีบร้อนออกรถในทันที
เธอรู้สึกรำคาญ
ในฐานะเจ้าของโรงน้ำชาที่มีแขกจำนวนมากแวะเวียนมาดื่มชา เธอควรจะมีความสุขกับธุรกิจที่ทำเงินได้ดีขนาดนี้
แต่นั่นก็เป็นเหมือนกระจกเงาในใจของเธอ เพราะแขกที่มาดื่มชาล้วนมีแรงจูงใจซ่อนเร้น พวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะมาดื่มชาจริง ๆ แต่พวกเขามาที่นี่ก็เพราะเธอ!
และเมื่อไม่นานมานี้เธอก็ได้ยินข่าวซุบซิบบางอย่าง
บรรดาลูกหลานผู้มีอิทธิพล นักธุรกิจผู้มั่งคั่ง และคนดังในเมืองจินหลิงรู้มาว่าอาการป่วยของเธอสามารถรักษาให้หายได้ พวกเขาจึงต้องการครอบครองเธอเพราะความงาม และมักจะมาที่โรงน้ำชาแห่งนี้โดยมีเป้าหมายก็เพราะเธอ
สถานการณ์นี้ทำให้เธออารมณ์เสียอย่างมาก
เธอเปิดโรงน้ำชาแห่งนี้ขึ้นมาไม่ใช่เพื่อหารายได้ แต่เพียงเพื่อหาอะไรทำและเพื่อทำความรู้จักกับผู้ที่มีความรักและชื่นชอบการดื่มชา ทว่าสถานการณ์ปัจจุบันส่งผลกระทบต่อชีวิตของเธอเป็นอย่างมาก
“เฮ้อ…”
ซีชิงอิ่งถอนหายใจเล็กน้อยและกำลังจะเปลี่ยนเกียร์เพื่อขับรถออกไป แต่ทันทีที่มองออกไปนอกหน้าต่าง เธอก็เห็นรถแท็กซี่คันหนึ่งจอดห่างออกไปกว่าสิบเมตร และโจวอี้ก็ลงมาจากรถ
เขามาที่นี่?
แววตาของซีชิงอิ่งพลันเปล่งประกาย เธอเลือกที่จะออกจากรถทันที
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เธอกำลังจะลงจากรถเพื่อไปหาเขา จู่ ๆ เธอก็นึกถึงสถานการณ์ในโรงน้ำชาและลังเลขึ้นมา
แต่หลังจากลังเลไม่ถึงสามวินาที เธอก็ตัดสินใจลงจากรถ
“หมอโจวคะ!”
ซีชิงอิ่งเรียกโจวอี้ไว้ก่อนที่ชายหนุ่มกำลังจะก้าวไปถึงประตูโรงน้ำชา
“บังเอิญจัง? คุณเพิ่งมาที่นี่เหมือนกันเหรอ?” โจวอี้ถามด้วยรอยยิ้ม
“ฉันอยู่ที่นี่นานแล้วค่ะ แต่พอดีมีแขกน่ารำคาญอยู่ข้างในเยอะไปหน่อย ฉันเลยออกมาซ่อนตัวในรถ”
แขกที่น่ารำคาญ?
โจวอี้ดูประหลาดใจ
แต่เมื่อมองรอยยิ้มของซีชิงอิ่ง เขาก็ขี้เกียจเกินกว่าจะค้นหาความจริง และเลือกที่จะเดินเข้าไปในโรงน้ำชาแทน
บริกรหญิงของโรงน้ำชายิ้มออกมาทันทีที่เห็นเจ้านายและหมอโจวเดินมาด้วยกัน เธอเฝ้าดูทั้งคู่เดินไปที่บันไดอย่างเงียบ ๆ
ครู่ต่อมา
โจวอี้พบว่าซีชิงอิ่งพาเขาไปที่ชั้นสามแทนที่จะไปยังโรงน้ำชาฝั่งตะวันออกและตะวันตก
ในไม่ช้า ทั้งคู่ก็มาถึงห้องที่ตกแต่งอย่างอบอุ่น
ห้องนี้กว้างขวางอย่างมาก แม้ในฤดูหนาวที่มีอากาศหนาวเย็น ต้นไม้ในกระถางที่ปลูกไว้ก็ยังคงเขียวขจี และมีดอกไม้หลากสีสันกว่าสิบกระถางที่แข่งกันบานสะพรั่ง
บนผนังยังมีการตกแต่งด้วยตัวอักษรและภาพวาด ส่วนที่โต๊ะมีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ และด้านข้างกันนั้นยังมีอุปกรณ์ในการเขียนพู่กันอีกด้วย
กระป๋องชาหลากหลายชนิดวางอยู่บนชั้นวางของซึ่งเป็นตู้ติดผนัง พรมขนห่านสีเหลืองถูกปูไว้ใต้โซฟาและโต๊ะน้ำชาใกล้หน้าต่าง ซึ่งมีหม้อชาสองใบวางอยู่ รวมถึงชุดน้ำชาครบชุดอีกด้วย
“นี่คือห้องสำนักงานของคุณใช่ไหมครับ?” โจวอี้ถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้วค่ะ! พอดีมีแขกอยู่ในโรงน้ำชาที่ชั้นหนึ่งและชั้นสอง ดังนั้นฉันเลยต้องพาคุณมาดื่มชาในห้องทำงานของฉันแทน คุณจะว่าอะไรไหมคะ” ซีชิงอิ่งยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ผมไม่ว่าอะไร มันไม่สำคัญว่าจะดื่มชาที่ไหน ตราบใดที่มีชาดี ๆ ก็พอ” โจวอี้เดินมาที่พรมห่านสีเหลืองก่อนจะถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปนั่งหน้าโต๊ะน้ำชา
“นี่เป็นชาที่ดีที่สุดในจีนเลย ฉันรับรองว่าคุณจะต้องชอบแน่” ซีชิงอิ่งแนะนำชาด้วยรอยยิ้ม
“ชาอะไรครับ?”
ซีชิงอิ่งคลี่ยิ้ม เธอมองโจวอี้ที่แสดงสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
มีชาดี ๆ อยู่มากมายในคอลเลกชันของเธอ
แต่ ‘สิ่งนี้’ เท่านั้นที่ทำให้เธอภูมิใจนำเสนอมากที่สุด
โจวอี้เป็นคนช่างสังเกตอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเขาพิจารณาท่าทีของซีชิงอิ่งชั่วครู่ ชื่อของชาชนิดหนึ่งก็ลอยเข้ามาในความคิดของเขาทันที
หรือว่าจะ…
จริงเหรอเนี่ย?