บทที่ 109 ช่วงเวลาที่ดี

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า

บทที่ 109 ช่วงเวลาที่ดี

บทที่ 109 ช่วงเวลาที่ดี

มีชาชนิดหนึ่งในประเทศจีนที่ทุกคนรู้จักกันดีว่าเป็น ‘ราชันแห่งชาอูหลง’ คนรักชานับไม่ถ้วนรู้จักแต่ชื่อ แต่ไม่เคยเห็นหน้าตาของมันจริง ๆ!

แต่โจวอี้เคยดื่มชาชนิดนี้แล้ว…

ในสมัยนั้น เขาดื่มชานี้ไปครึ่งหม้อราวกับวัวกระหายน้ำ แม้แต่อาจารย์ผู้มีเมตตาจิตยังโกรธควันจนออกหู และเฆี่ยนตีเขาเพราะไม่รู้คุณค่าของชาคุณภาพเช่นนี้

“ต้าหงเผา[1]?” โจวอี้ถามขึ้นขณะจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า

“ใช่!” ซีชิงอิ่งยิ้ม

“แล้วมัวรออะไรอยู่ เอาออกมาให้ผมชิมหน่อย!” โจวอี้ตบต้นขาและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ผมเคยดื่มชานี่มาก่อน น่าเสียดายที่ตอนนั้นไม่รู้จักวิธีดื่มเลยยกดื่มซะทีเดียวหมด ยังไม่ทันได้ลิ้มรสชาติก็ลงท้องไปเสียแล้ว…”

“…”

ซีชิงอิ่งพลันตกตะลึง ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะข้าง ๆ แล้วเอื้อมมือไปหาภาพวาดทิวทัศน์ที่แขวนอยู่บนผนัง จากนั้นภาพทิวทัศน์นั้นก็ค่อย ๆ เคลื่อนไปทางซ้ายจนเผยให้เห็นตู้เซฟ!

ติ๊ด…

ป้อนรหัสผ่านและเปิดตู้เซฟ

ซีชิงอิ่งกวาดสายตามองกล่องชาหลายสิบกล่องภายในนั้น ไม่นานก็หยิบกล่องชาสีแดงออกมา แต่แทนที่จะรีบปิดประตูเซฟ เธอกลับเดินตรงมาหาโจวอี้และยื่นกล่องชาให้

ชายหนุ่มเปิดกล่องของมันและหยิบใบชาออกมา หลังจากดมกลิ่นใบชาแล้ว เขาก็พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ใช่ นี่คือชาที่เก็บมาจากภูเขาอู่อี้ ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นมันอีกครั้ง”

ซีชิงอิ่งยิ้มและต้มน้ำเพื่อเตรียมชงชา

หลังจากชงชาหอมกรุ่นแล้ว เธอก็ใส่ชากลับไปเข้าในตู้เซฟ

ครู่ต่อมา โจวอี้หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความอัศจรรย์ใจและพูดขึ้นว่า “ว่ากันว่าเมื่อเวลา 10 นาฬิกา 10 นาที วันที่ 10 ตุลาคม 2550 ต้นกำเนิดต้าหงเผาอยู่ที่ภูเขาอู่อี๋ ชานี้ถูกส่งไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอย่าง ‘พิพิธภัณฑ์ต้วนเหมิง’ นอกเมืองหลวง ผมคิดว่าตั้งแต่นั้นมา เราก็ไม่สามารถหาต้าหงเผาดื่มได้อีก”

“ฮ่าฮ่า นั่นคือความลับยังไงล่ะ”

“ทำไมน้ำเสียงถึงหลงตัวเองขนาดนั้น” โจวอี้หัวเราะพลางกล่าวหยอกล้อ

ห้องอุ่น ๆ กับชาหอม ๆ บัดนี้มีชายหล่อและสาวสวยอยู่ด้วยกัน

ชายหนุ่มหยิบถ้วยชาขึ้นดื่มชาอีกอึก เขาหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง หิมะโปรยปรายอย่างหนัก ทำให้อาคารปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว

ทันใดนั้นโจวอี้ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป…

“หมอโจวเชี่ยวชาญด้านดนตรีงั้นหรือ?” ซีชิงอิ่งถามขึ้นมา

“นิดหน่อยน่ะ!”

“กู่เจิงรึเปล่า”

“คุณรู้ได้ยังไง?” ชายหนุ่มถามด้วยความประหลาดใจ

“ไม่มีเรื่องอะไรที่ฉันไม่รู้!” ซีชิงอิ่งยกยิ้มมุมปาก “คุณต้องการเล่นเพลงไหม ไหนโชว์ฝีมือหน่อยสิ”

“อย่าท้ากันหน่อยเลย …น่าเสียดายที่คุณไม่มีกู่เจิง” ชายหนุ่มแสร้งตีหน้าเศร้า

“ใครบอกว่าไม่มี รอสักครู่” เธอลุกขึ้นไปบิดหัวสิงโตทองสัมฤทธิ์แกะสลัก จากนั้นผนังด้านข้างก็ค่อย ๆ เผยให้เห็นประตูเล็ก ๆ

ห้องลับ?

โจวอี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เขาไม่ได้คาดหวังว่าในห้องของซีชิงอิ่งจะไม่เพียงมีตู้เซฟที่ซ่อนอยู่เท่านั้น แต่ยังมีห้องลับอีกด้วย

เธอเข้าไปในห้องลับและหยิบกู่เจิงออกมา จากนั้นก็หยิบกู่ฉินโบราณออกมาวางไว้ข้างโต๊ะน้ำชา

“ทำไมล่ะ อยากเล่นกู่เจิงกับกู่ฉินด้วยกันเหรอ” โจวอี้ถามด้วยรอยยิ้ม

“นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ” หญิงสาวคลี่ยิ้ม

“ไม่ ไม่ ไม่ แม้ว่าจะเป็นข้อเสนอที่ดี แต่ผมไม่คิดว่ามันเหมาะสมในสถานการณ์นี้” โจวอี้ส่ายหน้าไปมา

“ทำไมคุณพูดแบบนั้น?” เธอถามเสียงใส

“สาวงาม ชาหอม ๆ ห้องอุ่น ๆ ไหนจะทิวทัศน์หิมะข้างนอกนั่น นี่เป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมมาก ถ้าความงามสามารถเล่นกู่ฉินได้ มันจะเป็นความเพลิดเพลินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผมในฐานะแขก” ชายหนุ่มยิ้ม

ซีชิงอิ่งอดหัวเราะไม่ได้

“ผมพูดผิดหรือเปล่า?”

“ใช่ น่าเสียดายที่เวลาผันผ่าน ถ้าย้อนไปร้อยปีคุณคงเป็นนักปราชญ์ที่มักจะอาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำฉินฮวย”

“ฮ่า ฮ่า ถูกต้อง แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว” โจวอี้หัวเราะ

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น

แม้ว่าซีชิงอิ่งจะรอคอยที่จะได้ยินโจวอี้เล่นกู่เจิง แต่เธอก็ยังอดทนและนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้ากู่ฉินของเธอ

นิ้วเรียวขาวค่อย ๆ ปัดป่ายไปบนสาย และเสียงเพลงที่ไพเราะก็ถูกบรรเลงออกมาราวกับวิญญาณตัวโน้ตที่ร่ายรำอยู่ในห้อง

เธอเล่นเพลง ‘ดอกเหมยสามลีลา’[2]

…ดอกเหมยสามลีลา บานสะพรั่งท่ามกลางพายุ

ท่ามกลางเมฆหมอกที่ปกคลุมหนา…

…ห้วงน้ำที่ไพศาล แต่ก่อนแต่ไรสังคมมีแต่รักที่เลื่อนลอย

ทักษะกู่ฉินของซีชิงอิ่งนั้นยอดเยี่ยมมาก โน้ตที่ไหลจากปลายนิ้วนั้นพลิ้วไหวในจังหวะและท่วงทำนองที่เรียบง่าย แต่มันทำให้เพลงฟังดูนุ่มนวลและหนักแน่น และในเวลานี้บทเพลงกำลังพรรณนาถึงฉาก ‘ดอกบ๊วยพลิ้วไหว หยกเงินเต้นระบำ’

โจวอี้สูดกลิ่นชาเข้าไป ดวงตาหลับพริ้มและดื่มด่ำกับท่วงทำนองของกู่ฉิน

ผ่านไปนาน บทเพลงก็จบลง

ชายหนุ่มลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาที่สดใสจับจ้องไปที่ใบหน้าอ่อนโยนและสวยงามของซีชิงอิ่ง เขาพูดอย่างจริงใจว่า “ผู้คนสวยงาม ดนตรีไพเราะ ชามหอมกรุ่น และทิวทัศน์ดั่งภาพวาด วันนี้เป็นการเดินทางที่คุ้มค่า”

เมื่อเธอฟังคำชมจากใจจริงของโจวอี้ เธอก็รู้สึกเหมือนมีระลอกคลื่นหวานเกิดขึ้นในหัวใจ บนใบหน้าอ่อนโยนยังมีประกายสีชมพูเปล่งปลั่ง และแทบจะสำลักความสุขอันล้นอกออกมา

ภายในโรงน้ำชา…

แขกทุกคนที่มาที่นี่กำลังฟังเพลง ‘ดอกเหมยสามลีลา’ อย่างเงียบ ๆ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักชื่อเพลงนี้ และน้อยคนนักที่จะรู้ความหมายที่แท้จริงของเพลง

อย่างไรก็ตามใน ‘ห้องน้ำชา’ บนชั้นสอง บัดนี้มีแขกคนหนึ่งฟังด้วยความปลาบปลื้ม

จวงรุ่ยนั่นเอง!

เขาเชี่ยวชาญด้านดนตรีและเคยได้ยินเพลงดอกเหมยสามลีลามาหลายครั้งแล้ว

“คุณหวง คุณรู้สึกยังไงบ้าง” จวงรุ่ยถามหวงไห่เทา

“ดี!” หวงไห่เทากล่าวอย่างเกียจคร้าน

เขาง่วงซึมเล็กน้อยและรู้สึกว่าการได้ฟังเพลงดี ๆ และนอนในโรงน้ำชาอันอบอุ่นนี้ถือเป็นความสุขอย่างยิ่ง

“แค่นี้?” เห็นได้ชัดว่าจวงรุ่ยไม่พอใจกับคำตอบที่ได้ยิน

“จะให้ผมพูดอะไรอีกล่ะ? เสียงกู่ฉินพร้อมอาหารชั้นเลิศและไวน์องุ่นน่ะหรือจะทำเงินได้?” หวงไห่เทาเบะปากพูดขึ้น

“หยาบคาย” จวงรุ่ยกลอกตา เขาลุกขึ้นยืนและพูดต่อว่า “ผมสามารถบอกตำแหน่งของซีชิงอิ่งได้จากเสียงนี้ ตอนนี้เธอคงอยู่ในสำนักงานที่ชั้นสาม”

“ทำไม? คุณอยากไปที่สำนักงานของคนอื่นเพื่อตามหาใครสักคนเหรอ” หวงไห่เทาถาม แต่กลับรู้สึกกระดี้กระด้าขึ้นมา

เขาต้องการเห็นว่าชายจากตระกูลจวงผู้นี้ที่เกเรมาตลอดจะต้านทานความงามของซีชิงอิ่งได้อย่างไร

“ใช่ ไปที่ชั้นสามกัน” จวงรุ่ยออกไปข้างนอกทันที

“รอด้วย!”

ภายในห้องสำนักงานชั้นสาม

ซีชิงอิ่งจ้องมองโจวอี้ด้วยแววตาสดใส “ฉันซื้อกู่เจิงนี้มาด้วยตัวเองเชียวนะ คิดว่าวันหนึ่งคุณจะกลับมาที่โรงน้ำชาเพื่อเล่นเพลง ดังนั้นฉันขอดูฝีมือของคุณบ้างได้ไหมคะ?”

“โอเค วันนี้ผมอารมณ์ดี ขอโชว์อะไรหน่อยแล้วกัน” โจวอี้หัวเราะ

[1] ต้าหงเผา คือชาอูหลงชนิดหนึ่ง ได้รับการยกย่องให้เป็นราชาแห่งชาอูหลง และยังเป็นชาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศจีน นิยมปลูกบริเวณเทือกเขาอู่อี้ มณฑลฝูเจี้ยน

[2] เพลงจาก ตำนานรักดอกเหมยภาค 1 ตอน รักสะท้านแผ่นดิน