ตอนที่ 117 คุณถูกลบออกจากกลุ่ม

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

ตอนที่ 117 คุณถูกลบออกจากกลุ่ม

นี่เป็นเพียงการเริ่มต้น

หลังจากที่ชั้นหนังสือด้านหน้าสุดของร้านถูกจัดเรียงจนเต็มอีกครั้ง ผ่านไปไม่ถึงสองชั่วโมง เรื่องกระบี่เทพสังหาร ก็ขายหมดเกลี้ยงอีกครั้ง!

“เติมของ!”

เผยตูแทบตะแบงออกมา!

พนักงานในร้านค้าต่างตะลึงงัน

ไม่มีใครคิดว่า เรื่องกระบี่เทพสังหารซึ่งถูกคาดการณ์ว่าจะไม่เป็นที่นิยมในตลาด เพิ่งจะวางแผงในวันนี้ยอดขายก็ถล่มทลายแล้ว!

“นี่ยังไม่ถึงสามชั่วโมงเลยล่ะมั้ง”

พนักงานซึ่งทำหน้าที่เติมสินค้ามีสีหน้าพิลึก

ไม่ถึงสามชั่วโมงเติมสินค้าสองรอบ นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนังสือขายดีเท่านั้นนะ ก่อนหน้านี้คนบอกกันไม่ใช่เหรอว่ากระบี่เทพสังหารไม่ได้เรื่อง

แบบนี้บ้านเอ็งเรียกว่าไม่ได้เรื่องเรอะ

งั้นอะไรที่ได้เรื่อง เอามาให้ดูเป็นขวัญตาหน่อยซิ

และในขณะที่ชั้นหนังสือถูกเติมเต็มด้วยกระบี่เทพสังหารอีกครั้ง จู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งพุ่งมาจากด้านนอก แทบจะวิ่งฉิวมายังข้างกายของเผยตู เอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ผู้จัดการใหญ่ทำไมไม่รับโทรศัพท์ล่ะครับ”

คนคนนี้คือเลขาของเผยตู

ความสนใจทั้งหมดของเผยตูไปกองอยู่ที่กระบี่เทพสังหาร ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจจะไปสนใจว่าเสียงโทรศัพท์มือถือของตนดังขึ้นหรือเปล่า “ไม่ได้ยิน มีเรื่องอะไร”

“ดังแล้วครับ!”

เลขาพูดอย่างตื่นเต้น “กระบี่เทพสังหารดังเป็นพลุแตกเลยครับ สาขาอื่นๆ ในเมืองซูจนถึงตอนนี้ก็คึกคักมาก โชคดีที่คุณสั่งซื้อมาทีเดียวเจ็ดแสนเล่ม ไม่งั้นสาขาพวกนั้นสินค้าขาดแน่เลยครับ!”

“สาขาอื่นก็…”

น้ำเสียงของเผยตูสั่นเครือ อันที่จริงเขาก็พอจะคาดเดาแนวโน้มของสาขาอื่นได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ แต่เมื่อได้ยินเลขาพูดแบบนี้แล้วก็อดปลาบปลื้มใจไม่ได้

เขาเดิมพันชนะแล้ว!

เลขาจับสังเกตคำว่า ‘ก็’ ในคำพูดของเผยตูได้อย่างฉับไว หันหน้าไปเล็กน้อยก็เห็นว่าไม่ไกลออกไปมีลูกค้าหลายคนจ่ายเงินอยู่หน้าแคชเชียร์ หนังสือที่กำลังถืออยู่ในมือก็คือเรื่องกระบี่เทพสังหาร

แต่ละสาขาแทบระเบิดแล้ว!

ดังกว่าเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสซะอีก!

เขาพลันรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ยกนิ้วโป้งให้เผยตู แถมยังตามมาด้วยคำประจบประแจงชุดใหญ่ “ผู้จัดการใหญ่วิสัยทัศน์กว้างไกลสุดๆ ไปเลยครับ ที่แท้คุณก็มองออกอย่างทะลุปรุโปร่งมาตั้งแต่แรก บนโลกนี้ไม่มีใครเข้าใจเรื่องกระบี่เทพสังหารดีไปกว่าคุณแล้วครับ!”

“เมื่อวานนายไม่ได้พูดแบบนี้นี่”

เลขาชะงักค้าง ในตอนนั้นก็ตอบด้วยรอยยิ้มขื่น “เพราะแบบนี้ผมถึงเป็นได้แค่เลขาตัวน้อยๆ ไงครับ คุณถึงเป็นผู้จัดการใหญ่ของพวกเรา พวกเราทั้งบริษัทติดค้างคำขอโทษกับคุณ เป็นพวกเราที่ตามืดบอดเอง มองไม่ออกว่าผู้จัดการใหญ่สายตากว้างไกลขนาดไหน!”

เผยตูอกผายไหล่ผึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

เขารู้สึกสดชื่นสบายใจประหนึ่งได้กินแตงโมไร้เมล็ดเย็นฉ่ำในฤดูร้อน รู้สึกเพียงว่าความอ่อนล้าจากการอดนอนหายไปเป็นปลิดทิ้ง เห็นทีวันนี้คงจะได้หลับสบาย

บริษัทเสียหาย?

สต็อกเจ็ดแสนเล่ม?

ฝังศพตัวเอง?

ขอโทษด้วย กระบี่เทพสังหารเจ็ดแสนเล่มนี้เป็นบันไดให้ฉันเผยตูปีนขึ้นฟ้าต่างหาก ปีหน้าก็จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าทำให้ตำแหน่งผู้จัดการใหญ่สั่นคลอนอีก ถ้าเบื้องบนไม่ให้โบนัสปลายปีฉัน ก็อย่ามาโทษที่ฉันโวยวายก็แล้วกัน!

เมื่อคิดถึงตรงนี้

ทันใดนันเผยตูก็นึกถึงบทสนทนาในโทรศัพท์ ประโยคสุดคลาสสิกของหลี่ว์เป่ย ‘เชื่อฉันแล้วชีวิตจะดี เชื่อฉู่ขวงแล้วเป็นอมตะ!’

“สุดยอด สุดยอดไปเลยครับ!”

เลขาพลันยกย่องชื่นชม

เผยตูไม่ได้สนใจคำประจบประแจง จู่ๆ เขาก็นึกสงสัยขึ้นมา ไม่รู้ว่าร้านหนังสือร้านอื่นในฉินโจวจะคิดยังไง พวกเขาเหมือนจะสั่งสินค้าเข้ามาน้อยมาก พอขายหรือ?

ช่วงต้นเดือนเป็นช่วงเวลาที่ร้านหนังสือขายดีที่สุด ดังนั้นร้านหนังสือใหญ่แต่ละร้านจึงให้ความสำคัญมาก ร้านหนังสือชื่อดังอันดับต้นๆ ก็ยิ่งพยายามสุดกำลัง เตรียมพร้อมทำการใหญ่ในช่วงนี้!

แต่ไม่นานก็พบว่า…

สถานการณ์ออกจะแปลกชอบกล

แปลกมากๆ

คล้ายกับว่ากว่าร้อยละ 50 ของลูกค้า หลังจากที่เข้ามาในร้านและกวาดตามองหนังสือใหม่ของเดือนนี้ ก็ล้วนแต่เลือกหยิบเรื่องกระบี่เทพสังหารพร้อมกัน

“ทำไมกัน”

เมื่อค้นพบปรากฏการณ์นี้ ร้านหนังสือใหญ่แต่ละร้านต่างก็รู้สึกงุนงง

ไม่ได้บอกว่านิยายแนวเทพเซียนกำลังภายในอย่างกระบี่เทพสังหารขายยากหรอกหรือ ไม่ได้บอกว่าหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงจะขายไม่ออกหรอกหรือ?

หนังสือขายดีขนาดนี้จะเรียกว่าขายไม่ออกได้ยังไง

แน่นอนว่าหนังสือขายดีย่อมเป็นเรื่องดี เปิดร้านขายของ เป้าหมายก็คือหาเงิน สำหรับร้านขายหนังสือขนาดใหญ่แล้ว ลูกค้าจะซื้ออะไรก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ

แต่ปัญหาคือ…

เรื่องกระบี่เทพสังหารในสต็อกสินค้าเหลืออยู่ไม่มากแล้ว!

รู้ทั้งรู้ว่าลูกค้ามีเงินพร้อมควักจ่าย แต่กลับซื้อของไม่ได้ จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย

พรึ่บๆๆ!

ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เริ่มจากร้านหนังสือร้านไหน หรืออาจเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่สรุปแล้วร้านหนังสือใหญ่วุ่นวายไปหมดแล้ว!

“หนังสือเล่มนี้ ทำไมไม่มีขายล่ะ”

“กระบี่เทพสังหารของพวกเราขายหมดแล้ว!”

“เติมของไปสามรอบก็ขายหมดเกลี้ยง!”

“เถ้าแก่ เรื่องกระบี่เทพสังหารไม่พอขายแล้วค่ะ!”

“ทำไมสั่งกระบี่เทพสังหารเข้ามาแค่หมื่นเล่มเองล่ะ!”

“สต็อกห้าหมื่นเล่ม ขายไปแล้วสี่หมื่นเล่ม นี่ช่วงเช้าเองนะ ช่วงบ่ายจะทำยังไง”

“เวรเอ๊ย ใครก็ได้บอกผมทีว่าทำไมเรื่องนี้มันขายเร็วขนาดนี้!”

“…”

ยามที่คลังสินค้าของร้านหนังสือขนาดใหญ่แต่ละแห่งเข้าสู่ภาวะฉุกเฉิน คนขายหนังสือหลายเจ้าก็ได้แต่งงงัน

เว้นเสียแต่ศูนย์หนังสือจิ้งอัน

แม่บ้านที่ปราดเปรื่องไม่อาจทำอาหารได้หากไร้ซึ่งข้าวสาร[1]!

สำหรับร้านขายหนังสือเหล่านี้ เรื่องที่ชวนอนาถใจที่สุดในโลก ก็คือหนังสือเข้ามามากเกินไป แล้วขายไม่หมด

ทว่าเรื่องที่ชวนสลดยิ่งไปกว่านั้นอีก ก็สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้นี่แหละ

ในกระเป๋าลูกค้ายังมีเงินจ่าย แต่หนังสือหมดแล้ว!

“ไม่เป็นไรหรอก ร้านอื่นก็ของหมดเหมือนกัน”

มีหัวหน้าคนหนึ่งอุตส่าห์กล่าวปลอบผู้รับผิดชอบของแต่ละสาขา

โดยปกติแล้วก็จะปลอบกันเช่นนี้ เมื่อร้านค้าคาดคะเนยอดขายหนังสือเล่มหนึ่งผิดพลาด หลังจากนั้นก็สั่งการให้เร่งสินค้าก็จบเรื่อง

สำหรับเรื่องนี้

มีผู้รับผิดชอบร้านหนังสือบางสาขาจำเป็นต้องเอ่ยเตือนหัวหน้า “ศูนย์หนังสือจิ้งอันใกล้ๆ นี้สั่งกระบี่เทพสังหารเข้ามาตั้งเจ็ดแสนเล่มเลยนะครับ ทางเราไม่มีของแล้วจริงๆ แต่ร้านพวกเขายังมีสินค้าเหลือเฟือ”

หัวหน้า “…”

เรื่องนี้เท่ากับกำลังเตือนผู้มีอำนาจในการตัดสินใจของแต่ละร้านหนังสือใหญ่ ว่าปัญหาไม่ใช่อยู่ที่เรื่องกระบี่เทพสังหารขายดี ปัญหาก็คือก่อนหน้านี้พวกเราสั่งสินค้าเข้ามาน้อยเกินไป!

แต่เพื่อนเอ๋ย ฉันต้องให้นายเตือนด้วยหรือไง

ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าศูนย์หนังสือจิ้งอันสั่งกระบี่เทพสังหารมารวดเดียวเจ็ดแสนเล่ม อย่างกับไปกินยาผิดสำแดงมา

เมื่อคืนพวกเราเพิ่งจะหัวเราะเยาะผู้จัดการของพวกเขาไป!

วงการหนังสือของฉินโจวในตอนนี้เรียกได้ว่าร้องระงมเป็นห่านกลางทุ่งหญ้า!

ร้านหนังสือขนาดใหญ่บางแห่งบ่นกันอย่างหัวเสีย ‘ก่อนหน้านี้ใครบอกฟระว่ากระบี่เทพสังหารเป็นแนวเทพเซียนกำลังภายใน ขายไม่ออกแน่ แสดงตัวมาเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปทุบให้หลังหัก!’

‘ผมสั่งเข้ามาแค่ห้าหมื่นเล่มเอง!’

‘ฉันสั่งมาแค่สามหมื่นเล่มเอง’

‘งั้นผมสั่งเข้ามาแค่หนึ่งหมื่นเล่มไม่ใช่ต้องเอาหัวโขกเต้าหู้แผ่นตายหรือไง’

‘ส่วนฉัน สั่งมาห้าหมื่นเล่ม’

‘ฮ่าๆๆๆๆๆๆ…คุณน่าสงสารมาก…ฉันแก่แล้วจริงๆ นะเนี่ย…ทำไมหัวเราะอยู่ดีๆ …ก็ร้องไห้ออกมา…’

‘…’

กลุ่มแช็ตของคนในสายอาชีพร้านหนังสือ

ร้านหนังสือแต่ละร้านเริ่มประชันความเอน็จอนาถกัน

ในตอนนั้นเอง อยู่ๆ เผยตูก็ปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มพร้อมกับภาพดิสเพลย์รูปศูนย์หนังสือจิ้งอัน ‘ศูนย์หนังสือจิ้งอันของเราสั่งมาแค่เจ็ดแสนเล่มเอง คิดว่าอาจจะไม่พอขาย’

ไม่ผิดหรอก เขากำลังโอ้อวดอยู่!

เผยตูจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าคาดหวัง จากนั้นเขาก็เห็นข้อความแจ้งเตือนจากระบบว่า

‘คุณถูกลบออกจากกลุ่ม’

………………………………………………………..

[1] แม่บ้านที่ปราดเปรื่องไม่อาจทำอาหารได้หากไร้ซึ่งข้าวสาร เปรียบเปรยว่าเรื่องหนึ่งๆ ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้หากไร้ปัจจัยที่จำเป็น