ตอนที่ 164 ใช้เข็มฆ่าคน

ภายในบ้านเลขที่ 1 หมู่บ้านเทียนดูครันทรี่..

บ้านเลขที่ 1 ของหมู่บ้านนั้น แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นบ้านที่หรูหรา และมีราคาแพงที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้ และบ้านหลังนี้ก็คือบ้านที่เสี่ยวจือฉีอาศัยอยู่นั่นเอง

เวลานี้ เสี่ยวจือฉีกําลังนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่วงท่าสบายอกสบายใจ อยู่ในห้องรับแขกขนาดใหญ่ ในมือของเขาถือแก้วไวน์แดง และกําลังหมุนแกว่งเบาๆ ทั้งสีหน้าท่าทางของเขาเวลานี้ บ่งบอกถึงความผยองอย่างไม่อาจอธิบายได้

ด้านข้างของเสี่ยวจือฉี มีชายสามคนที่หลินหนานได้พบเจอในบ้านตระกูลเดี่ยวก่อนหน้านี้นั่งอยู่ด้วย

“หึ!ครั้งนี้ ถ้าไอ้บ้าที่ชื่อหลินหนานอะไรนั่นไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวแล้วล่ะก็ ป่านนี้แผนการของพวกเราคงสําเร็จลุล่วงไปด้วยดีแล้ว! แต่ไม่ต้องห่วง ระหว่างทางที่ผมเดินทางมาที่นี่ ผมได้สั่งให้คนไปจับตัวมันแล้ว ตอนนี้คนของผมก็กําลังนําตัวไอ้บ้านั่นมาที่นี่! อีกไม่นานก็คงจะถึงแล้วล่ะ..”

เสี่ยวจือฉีพูดขึ้นก่อนจะยกแก้วไวน์สีแดงในมือขึ้นจิบ แววตาของเขาเวลานี้เย็นชาอย่างน่ากลัว

“คุณชายใหญ่ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าจะจับตัวไอ้หมอนั่นได้หรือไม่ได้! แต่ปัญหาก็คือ พวกเราได้พลาดโอกาสสําคัญ ในการที่จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับท่านเสี่ยวไปแล้วน่ะสิ!” หวู่ผังซูเอ่ยขัดขึ้น

ผิงอี้เฉินยกมือขึ้นลูบไล้หนวดเคราสีขาวของตนเอง พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ําเสียงเย็นชาเช่นกัน

“ในเมื่อครั้งนี้ทําไม่สําเร็จ ก็ยังมีครั้งหน้า ฉันเชื่อว่าไอ้หนุ่มนั่นไม่มีทางที่จะกําจัดกู่พิษในร่างกายของท่านเสี่ยวได้แน่!”

“ใช่! ถึงแม้เราจะพลาดโอกาสดีๆไป แต่ก็ไม่ถึงกับกระทบแผนการทั้งหมดซะทีเดียว!”

เสี่ยวจือฉียิ้มกว้าง พร้อมกับแกว่งแก้วไวน์สีแดงในมือเบาๆ และพูดต่อทันที “ถ้าผมยังกําจัดน้องสาวออกจากตระกูลเสี่ยวไม่ได้ ตาแก่นั่นก็ยังตายไม่ได้เหมือนกัน !”

“กว่าที่กู่พิษในร่างของท่านเสี่ยวจะออกฤทธิ์อีกครั้ง ก็น่าจะเป็นช่วงเวลาสิ้นเดือนพอดี ระยะเวลาครึ่งเดือนนี้ นานพอที่พวกเราจะเตรียมการต่างๆได้ทัน และเมื่อเวลานั้นมาถึง ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณชายใหญ่แล้ว ว่าจะจัดการถอนพิษให้กับท่านเสี่ยว หรือจะให้ปล่อยไปตามยถากรรม?”

ชายตาบอดที่นั่งนิ่งเงียบมาตลอด เป็นฝ่ายพูดขึ้นเสียงเนิบ และฟังจากน้ําเสียงของคนผู้นี้ ดูเหมือนว่าชีวิตของผู้เฒ่าเสี่ยวนับจากนี้ จะยิ่งอันตรายมากขึ้นกว่าเดิม และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

หลังจากที่ได้ฟังคําพูดของชายตาบอด เสี่ยวจือฉีก็ได้แต่ตอบกลับไปด้วยความซาบซึ้งใจ “หากไม่ได้ท่านอาจารย์เยวี่ยช่วยเหลือ ตัวผมเองก็คงไม่สามารถคิดแผนการดีๆแบบนี้ได้แน่ แต่น่าเสียดายที่วันนี้ไอ้บ้าหลินหนานดันเข้ามายุ่งซะก่อน ไม่อย่างนั้นป่านนี้ท่านอาจารย์ทั้งสาม คงได้กลายเป็นแขกคนสําคัญของพ่อผมไปแล้ว!”

เสี่ยวจือฉีรู้ดีว่า ในบรรดาชายทั้งสามคนที่นั่งอยู่นั้น ชายตาบอดแซ่เยวี่ยผู้นี้คือคนที่เก่งที่สุด และเขาก็คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังแผนการในครั้งนี้ทั้งหมด คนผู้นี้สามารถคํานวณวันเวลาที่กู้พิษจะจู่โจม หรือขยับตัวได้อย่างแม่นยํา

ด้วยเหตุนี้ ทําให้เสี่ยวจือฉีซึ่งแม้ว่าจะอยู่ไกลถึงมณฑลกวงหลิง ก็สามารถกลับมาบ้านตระกูลเสี่ยว ได้ตรงกับเวลาที่อาการป่วยของชายชรากําเริบได้อย่างแม่นยํา ทําให้เขาสามารถเข้ามาแสดงความกตัญญ และทําคะแนนนิยมกับชายชราได้ถูกเวลายิ่ง

และที่สําคัญยิ่งไปกว่านั้น เสี่ยวจือฉียังต้องการใช้โอกาสนี้ ขับไล่น้องสาวของตนเองออกจากตระกูลเสี่ยวให้ได้ด้วย เพราะเมื่อใดที่ชายชราเสียชีวิตลง เขาก็จะได้เป็นผู้ที่มีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์สมบัติจํานวนมหาศาลของตระกูลเสี่ยวแต่เพียงผู้เดียวนั่นเอง

แต่โชคร้ายที่แผนการทั้งหมดของเขา กลับถูกหลินหนานทําลายลงอย่างน่าเสียดาย และด้วยเหตุนี้ ทําให้เสี่ยวจือฉีต้องเปลี่ยนเป้าหมายมาจัดการกับหลินหนานก่อน..

“คุณชายเสี่ยว คุณประมาทแล้วก็ใจร้อนจนเกินไป ที่รีบลงมือกับชายหนุ่มแซ่หลินรวดเร็วขนาดนี้!” ชายแซ่เยวี่ยพูดขัดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย พร้อมกับส่ายหัวไปมาช้าๆ

เสี่ยวจือฉีหันไปถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “อะไรทําให้อาจารย์เยวี่ยคิดแบบนั้นเหรอครับ? อย่าลืมว่าด้วยอํานาจอิทธิพลของผมในเมืองเจียงไฮว การที่ผมจะสั่งฆ่าหมอนั่น ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

ชายแซ่เยวี่ยจึงได้อธิบายให้เสี่ยวจือฉีฟังว่า “หลินหนานเพิ่งจะช่วยพ่อของคุณได้สําเร็จ แล้วคุณเองก็เพิ่งมีปัญหากับเขา หลังจากเขากลับออกจากบ้านตระกูลเสี่ยว ก็เกิดเรื่องกับเขาทันทีแบบนี้ คุณเองย่อมต้องตกเป็นเป้าสงสัยมากที่สุด!”

“แต่เอาเถอะ.. หลังจากที่เขาถูกคุมตัวมาที่นี่ ผมจะเป็นคนควบคุมเขาไว้เอง ส่วนคุณก็มีหน้าที่จัดการกับน้องสาวของคุณ และต้องมั่นใจว่าครั้งนี้จะไม่มีอะไรผิดพลาดอีก!”

หลังจากที่ได้ฟังคําพูดของชายตาบอดแซ่เยวี่ย เสี่ยวจือฉีถึงกับยิ้มกว้างด้วยความพอใจ และรีบเอ่ยชมชายตาบอดทันที

“เยี่ยมมากอาจารย์เยวี่ย! คราวนี้ล่ะ ผมจะให้หมอนั่นคุกเข่าโขกศรีษะขอโทษผมสักร้อยครั้ง แก้แค้นที่มันบังอาจทําให้ผมต้องเสียหน้า!”

“คุณชายใหญ่ ไม่ต้องร้อนใจไปนัก ฉันมาแล้ว!”

ทันทีที่เสียวคือพูดจบ จู่ๆเสียงของใครบางคนก็ดังมาขึ้นจากด้านนอก แต่แล้วสีหน้าของเสี่ยวจือฉีก็เปลี่ยนเป็นตกใจ เมื่อพบว่าร่างที่ค่อยๆก้าวเดินเข้ามาในห้องรับแขกนั้นก็คือหลินหนาน!

หลินหนานจ้องมองร่างกายที่สั่นสะท้านของเสี่ยวจือฉี ด้วยแววตาที่เย็นชา..

“หลิน.. หลินหนาน! นี่แกไม่ได้ถูกอาจนกระทืบจนน่วมงั้นเหรอ?”

เสี่ยวจือฉีผุดลุกขึ้นจากโซฟาด้วยความตกอกตกใจ เมื่อได้เห็นร่างของหลินหนาน ที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไร้บาดแผลปรากฏขึ้นตรงหน้า เพราะก่อนหน้านี้ที่อาจินได้โทรมาบอกกับเขาว่า มันจัดการซ้อมหลินหนานและจับตัวไว้ได้แล้ว..

แล้วนี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?!

หลินหนานตอบกลับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “หึ! นักเลงข้างถนนกระจอกๆที่แกจ้างมา จัดการกับคนธรรมดาๆได้ เท่านั้นล่ะ ทําอะไรคนอย่างฉันไม่ได้หรอก!”

“แล้ว.. แล้วแกไม่ใช่คนธรรมดาหรือยังไง?!” เสี่ยวจือหลงย้อนถามอย่างลืมตัว

ริมฝีปากของหลินหนานแสยะยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับไปว่า “แน่นอน! ฉันก็ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว แต่เป็นยอดฝีมือที่ใครก็ไม่อาจเทียบได้!”

“ฮ่าๆๆ ฝีมือแค่นั้นแต่กล้าเรียกตัวเองว่ายอดฝีมือที่หาใครเปรียบไม่ได้! ฉันยอมรับว่าอาจินกับลูกน้องของมันเป็นนักเลงกระจอกจริง แต่ท่านอาจารย์ทั้งสามท่านที่อยู่ตรงนี้ต่างหากที่เหมาะจะเรียกว่ายอดฝีมือที่หาใครเปรียบได้ยากจริง!”

หลังจากที่ควบคุมสติอารมณ์ให้สงบนิ่งได้แล้ว เสี่ยวจือฉีจึงได้ตอบโต้หลินหนานกลับไป ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตามเดิม พร้อมกับยกแก้วไวน์ขึ้นจิบอีกครั้ง เวลานี้มีอาจารย์เยวี่ยอยู่ด้วยทั้งคน เขาไม่จําเป็นต้องหวาดกลัวหลินหนานอีกแล้ว

แม้ว่าสภาพของหลินหนานเวลานี้จะทําให้เขาตกใจ และประหลาดใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ถึงกับมากมายจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ อีกทั้งยังมีอาจารย์เยวี่ยอยู่ด้วย หลินหนานไม่มีทางทําอะไรเขาได้แน่!

“น้องชาย คิดไม่ถึงจริงๆว่า เราจะได้พบกันอีกครั้งในเวลาที่รวดเร็วขนาดนี้ ดูท่าดวงชะตาของเราสองคนคงจะสมพงษ์กันสินะ!”

ชายวัยกลางคนร่างอ้วนชื่อว่าหวู่ผังซู เป็นฝ่ายเอ่ยปากทักทายหลินหนานก่อน แต่หลินหนานกลับตอบไปว่า

“เสียใจด้วย.. ผมชื่นชอบผู้หญิงสวย ไม่ได้ชื่นชอบผู้ชายอ้วนน่าเกลียดแบบคุณ เราสองคนอย่ามีดวงชะตาที่สมพงษ์กันจะดีกว่า!”

หลังจากนั้น หลินหนานก็ไม่ได้สนใจหวู่ผังซูอีก แต่กลับหันไปมองชายแซ่เยวี่ยที่เอาแต่นั่งหลับตานิ่ง พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“เมื่อครู่คุณบอกว่าตนเองเป็นคนใช้พิษเล่นงานคนตระกูลเสี่ยว นี่คุณคงจะเป็นพวกหมอมารสายดําสินะ?”

หลังจากได้ยินคําว่า “หมอมารสายดํา สีหน้าของชายแซ่เยวี่ยก็เปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมาทันที และตอบโต้หลินหนานกลับไปว่า

“อะไรคือเทพ แล้วอะไรคือมาร อะไรคือขาว และอะไรคือดํา ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นคําเรียกขานของคนทั่วไปที่ไม่รู้เรื่องอะไร สําหรับฉัน.. ฉันเรียกตัวเองว่าหมอพิษ!”

“คุณไม่ควรเรียกตัวเองว่าหมอ! แต่เอาล่ะ ที่ผมมาวันนี้ก็เพื่อสะสางปัญหากับคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเสี่ยว และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกคุณ!”

หลินหนานหันไปมองเสี่ยวจือฉี และในความคิดของเขา ไม่ว่าทั้งสามคนจะออกหน้าช่วยเสี่ยวจือฉีหรือไม่ ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมที่เสี่ยวจือฉีจะต้องเผชิญได้..

เพราะไม่มีผู้ใดสามารถหยุดเขาได้ หากเขาคิดที่จะทําสิ่งใด!

หลังจากได้ฟังคําพูดของหลินหนาน ชายแซ่เยวี่ยถึงกับต้องเปรยขึ้นเบาๆ พร้อมกับส่ายหน้าไปมา

“คนธรรมดาอย่างเธอคงจะไม่ล่วงรู้ถึงความลี้ลับ และพลังอํานาจของหมอพิษสินะ?”

ในขณะที่หมอผิงอี้เฉินผู้เชี่ยวชาญด้านการฝังเข็ม ก็ได้หันไปพูดกับชายแซ่เยวี่ยว่า “อย่าไปเสียเวลาพูดจากับเด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ํานมเลยจะดีกว่า ถ้าคุณไม่ลงมือกับมัน ผมจะเป็นคนลงมือเอง!”

หลังจากที่สิ้นเสียงพูดของผิงอี้เฉิน และยังไม่ทันที่เสี่ยวจือจะทันได้พูดอะไร ร่างของผิงอี้เฉินก็ได้หายวับไปกับตา เสี่ยวจือได้แต่นั่งนิ่งด้วยความตกตะลึง เมื่อจู่ๆ ร่างของผิงอี้เฉินที่นั่งตรงข้ามเขานั้น จู่ๆก็ได้หายวับไป และไปปรากฏตัวตรงหน้าหลินหนานอย่างน่าอัศจรรย์!

ความเร็วในการเคลื่อนที่ของผิงอี้เฉินนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก!

“ท่านผิง.. ทําไมถึงได้รวดเร็วแบบนี้นะ?!” เสี่ยวจือฉีร้องออกมาด้วยความตกใจ ในขณะที่มือทั้งสองข้างก็ยกขึ้นขยี้ตาตัวเองไม่หยุด

หวู่ผังซูที่นั่งยิ้มอยู่นั้น ได้ตอบเสี่ยวจือฉีไปว่า “คุณชายใหญ่ ที่เห็นอยู่นั้นเป็นวิชาตัวเบาที่ลึกล้ํา ชื่อว่าวิชาฝ่าเท้าปีศาจ!”

“นี่.. นี่หมายความว่าท่านผิงมีวรยุทธด้วยงั้นเหรอ?” เสี่ยวจือฉีร้องตะโกนถามหวู่ผังซูด้วยความตกใจ

“ไม่บังอาจ.. ไม่บังอาจ..”

“เพียงแต่ในการฝึกวิชาฝังเข็มนั้น จําเป็นที่ผู้ฝึกจะต้องฝึกฝนกําลังภายใน และเรียนรู้วรยุทธไว้บ้าง และสิ่งที่ผิงอี้เฉินถนัดที่สุดก็คือ การสังหารคนด้วยเข็ม!”