ตอนที่ 165 ปราศจากความกลัว

“อะไรนะ?! เข็มเล่มเล็กๆก็ฆ่าคนได้ด้วยเหรอ?”

หลังจากที่หายตกอกตกใจ โลกในหัวของเสี่ยวจือฉีก็ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมาก และเวลานี้เขาก็กําลังรู้สึกตื่นเต้นกับความแปลกใหม่ที่กําลังเผชิญอยู่

“นับว่าผมเชิญท่านอาจารย์ทั้งสามมาช่วยงานไม่ผิดจริงๆ มีท่านอาจารย์ทั้งสามคนอยู่ที่นี่ด้วย หลินหนานมันไม่มีทางรอดแน่!”

ผู้ที่มีฝีมือเก่งกาจจริงๆ มักจะถ่อมเนื้อถ่อมตัว ไม่โอ้อวด หรือแสดงความสามารถของตนเองให้คนอื่นเห็นพร่ําเพรื่อ เหมือนอย่างเช่นปรมาจารย์ทั้งสามท่านนี้..

หลินหนานเองก็เช่นกัน ทุกครั้งที่ใครเรียกเขาว่าปรมาจารย์ เขามักจะปฏิเสธ และไม่เคยแสดงความสามารถของตนเองให้ผู้อื่นเห็นเลยหากไม่จําเป็น!

“ผมขอเตือนพวกคุณทั้งสามคนไว้ก่อน วันนี้ผมต้องการจัดการกับเสี่ยวจือฉีคนเดียวเท่านั้น! เพื่อความปลอดภัยของพวกคุณเอง ทางที่ดีอย่ายื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จะดีกว่า!”

หลังจากที่ได้เห็นการแสดงออกของผิงอี้เฉิน หลินหนานกลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไร และจงใจปิดบังรังสีสังหารของตนเองไว้

“พ่อหนุ่ม.. ดูเหมือนเธอเองจะไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ําเลยสินะ? แต่ฉันจะยอมไว้ชีวิตเธอ ถ้าเธอยอมหักขาตัวเองทิ้งซะ!” ผิงอี้เฉินจ้องหน้าหลินหนาน พร้อมเอ่ยเตือนเขาด้วยน้ําเสียงเย็นชา

“หลีกทาง!”

แต่หลินหนานกลับร้องสั่งผิงอี้เฉินที่กําลังยืนขวางหน้าอยู่ ให้ถอยออกไปจากเส้นทางของเขาอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัว

ฟื้ว.. ฟิ้ว..

ผิงอี้เฉินได้แต่ยืนจ้องหน้าหลินหนานด้วยแววตาเย็นชา โดยที่ไม่ยอมขยับหนี และในเวลานั้น เข็มสีเงินจํานวนสี่เล่มก็ได้พุ่งออกจากฝ่ามือของเขา และเป้าหมายก็คือร่างของหลินหนานที่อยู่ข้างหน้า

ปกติแล้ว เข็มพวกนี้ควรจะต้องมีไว้เพื่อช่วยชีวิตผู้คน แต่ครั้งนี้ มันกลับถูกนํามาเป็นอาวุธแหลมคม เพื่อใช้คร่าชีวิตผู้คนแทน

วิชาเข็มพิฆาตนี้ เป็นวิชาที่ผิงอี้เฉินถนัดที่สุด ผู้ที่เสียชีวิตด้วยเข็มพิฆาตของผิงอี้เฉินนั้น เรียกได้ว่าตายโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ํา และในความคิดของเขา อีกเพียงแค่เสี้ยววินาที หลินหนานก็จะเหลือเพียงแค่ร่างที่ไร้วิญญาณ

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น กลับทําให้ผิงอี้เฉินตกใจอย่างที่สุด!

ขณะที่เข็มในมือของเขาพุ่งเข้าใกล้ร่างของหลินหนานในระยะหนึ่งเมตรแล้ว แต่จู่ๆ เข็มทั้งสี่เล่มก็ร่วงลงพื้นราวกับลูกบอลที่ถูกปล่อยลมอย่างกะทันหัน

“หึ! ยังจะเถียงว่าไม่ใช่มารอีกมั้ย? เข็มเงินนี้ควรจะต้องถูกใช้เพื่อช่วยชีวิตผู้คน แต่คุณกลับใช้มันเป็นอาวุธเข่นฆ่าผู้คน เพราะฉะนั้น คนอย่างคุณไม่ควรเรียกตัวเองว่าหมออีกต่อไป!”

หลินหนานก้าวเดินเข้าไปหาผิงอี้เฉินซ้ําๆ ท่วงท่าการเดินของเขาเป็นไปอย่างสบายๆไม่รีบร้อน แต่เพียงแค่พริบตาเดียว เขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าชายชรา

ปัง!

หลินหนานไม่รอให้อีกฝ่ายใช้วิชาเข็มพิฆาตซ้ํา เขาจัดการซัดกําปั้นเข้าไปที่ท้องน้อยของชายชราอย่างแรง ทําให้ร่างของผิงอี้เฉินถึงกับลอยละลิ่วออกไปราวกับว่าวที่ขาดจากเชือก ก่อนจะร่วงหล่นลงกระแทกกับโต๊ะข้างโซฟาอย่างแรง

“ผมเตือนแล้วว่าให้ถอยออกไปให้พ้นทาง แต่คุณกลับไม่ฟัง!”

หลินหนานส่ายศรีษะไปมา ก่อนจะค่อยๆก้าวเท้าเดินตรงเข้าไปหาเสี่ยวจือฉีอย่างช้าๆ หลินหนานทําราวกับว่ากําลังเดินเล่นอยู่ในสวน แต่ยิ่งหลินหนานเข้าใกล้เสี่ยวจือฉีมากเท่าไหร่ เสี่ยวจือฉีกลับยิ่งสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“น้องชาย.. อย่าตําหนิว่าฉันทํารุนแรงไปเลยนะ แต่เป็นเพราะเธอเองที่เริ่มใช้กําลังก่อน!”

หวู่ผังซูที่นั่งดูเหตุการณ์ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดนั้น ในที่สุดก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับร้องตะโกนบอกหลินหนาน จากนั้น รอยยิ้มที่เคยมีก็ค่อยๆสลายไป และแววตาดุดันโหดเหี้ยมอย่างหมาป่าหิวกระหาย ก็ได้ปรากฏขึ้นมาแทน

พรึ่บ..

ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงของเสี่ยวจือฉี ร่างอ้วนท้วนใหญ่โตหนักเกือบร้อยกิโลกรัมของหวู่ผังซู ก็พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่กระโจนออกไปแล้ว ร่างใหญ่โตนั้นก็เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว ความรวดเร็วที่เขาพุ่งทะยานเข้าใส่ร่างของหลินหนานนั้น ทําให้เสี่ยวจือฉีถึงกับเห็นเป็นภาพเงาปรากฏขึ้นเป็นทาง

ปัง!

หลินหนานแทบไม่ต้องมอง เขาซัดกําปั้นออกไปกลางอากาศ และทันทีที่เสียงกําปั้นพุ่งกระแทกอากาศออกไปดังขึ้น ร่างใหญ่โตของหวี่ฝังซูก็ได้ปะทะเข้ากับกําปั้นของหลินหนานอย่างแรง

แล้วภาพเดิมๆเหมือนเมื่อครู่ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ภายใต้การตอบโต้เพียงแค่หนึ่งหมัดของหลินหนาน ก็ทําให้ร่างของหวู่ผังซูลอยละลิ่วออกไป ก่อนจะกระแทกลงกับพื้นอย่างแรงจนลุกไม่ขึ้นอีกคน มิหนําซ้ํา ร่างใหญ่ยักษ์ของเขายังตกลงไปทับร่างของผิงอี้เฉินที่นอนกองอยู่กับพื้นก่อนแล้ว

สภาพของชายทั้งสองคนเวลานี้ ดูไม่จืดและน่าอับอายขายหน้ามากทีเดียว!

“อ้าก!!”

มีหรือที่ร่างผอมบางของผิงอี้เฉินจะทานทนได้ หลังจากที่ถูกร่างใหญ่ยักษ์ของหวู่ผังซูกระแทกเข้าอย่างแรง เขาจึงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“เมื่อครู่ถ้าฉันออกแรงชกแกมากกว่านั้น ป่านนี้ฉันคงต้องหูหนวกเพราะเสียงกรีดร้องของแกไปแล้ว!”

หลินหนานบ่นพึมพําพร้อมกับยกมือขึ้นปิดหู แต่เท้าของเขายังคงก้าวเดินไปข้างหน้าไม่หยุด และในที่สุด เขาก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเสี่ยวจือฉี

และเวลานี้ เสี่ยวจือฉีก็ได้แต่นั่งนิ่งด้วยความตกใจ!

หลินหนานแสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว ก่อนจะพูดกับเสี่ยวจือฉีว่า “คุณชายใหญ่ คุณควรจะภูมิใจ และรู้สึกเป็นเกียรติ เพราะผมมักจะจัดการกับตัวการใหญ่เป็นคนสุดท้าย และคุณก็ได้รับเกียรตินั้น!”

เสี่ยวจือฉีสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง เขาหวาดกลัวหลินหนานอย่างที่ไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวอะไรเช่นนี้มาก่อน!

รอยยิ้มนั่น..

อย่างกับรอยยิ้มของปีศาจชั่วร้าย!

“อา.. อาจารย์เยวี่ย! ชะ.. ช่วยผมด้วย!”

เสี่ยวจือฉีร้องตะโกนขอความช่วยเหลือด้วยน้ําตานองหน้า และเวลานี้ ชายแซ่เยวี่ยก็เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายของเขา

“น้องชาย.. เสียดายที่มีใบหน้าหล่อเหลา แต่กลับชอบใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา!” ชายแซ่เยวี่ยเปรยขึ้นเบาๆ

หลินหนานหันไปมองชายแซ่เยวี่ย พร้อมกับพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ชายตาบอด! ผมไม่รู้ว่าคุณไปเอาความมั่นใจมากจากไหน? แต่ผมขอเตือนไว้ก่อนว่า ถ้าผมเอาจริงขึ้นมา ผมสามารถฆ่าคุณได้ไม่ยาก!”

“ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูสิ! เพราะฉันเองก็มั่นใจว่าจะสามารถสังหารเธอได้ ก่อนที่หมัดของเธอจะทันได้ปะทะเข้ากับร่างของฉันซะอีก!” ชายแซ่เยวี่ยตอบโต้กลับไปด้วยสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง

ตั้งแต่หลินหนานเดินเข้ามาจนถึงตอนนี้ ชายแซ่เยวี่ยยังคงนั่งหลับตานิ่งอยู่บนโซฟา โดยไม่ลืมตาขึ้นมาเลย แม้แต่ครั้งเดียว และร่างของเขาก็ยังคงนิ่งแทบไม่ไหวติงด้วยซ้ําไป เขาทําราวกับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายใน บ้านหลังนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาเลยแม้แต่น้อย

มีคําอธิบายความมั่นใจเช่นนี้เพียงแค่สองอย่างเท่านั้น ซึ่งก็คือคนผู้นี้เป็นปรมาจารย์ที่มีฝีมือสูงส่งมากจริงๆ หรือไม่ก็เข้าขั้นโง่!

“ผมคงต้องขอพิสูจน์ เพราะผมไม่เชื่อ!”

หลังจากที่ได้ฟังคําตอบโต้ของชายตาบอด หลินหนานก็เดินตรงเข้าไปหาอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัวคําข่มขู่ของเขา

“ก่อนพ่อหนุ่ม อย่าได้ใจร้อนนัก!”

ชายแซ่เยวี่ยส่ายหน้าไปมา พร้อมกับยกมือขึ้นห้ามปรามหลินหนาน เมื่อเห็นว่าหลินหนานเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น และเวลานี้ ร่างของหลินหนานก็อยู่ห่างจากร่างของเขาไปเพียงแค่หนึ่งเมตรเท่านั้น

แต่ในวินาทีนั้นเอง บางสิ่งบางอย่างที่มีทรงกลมสีแดง ก็ได้พุ่งออกจากฝ่ามือของชายตาบอดอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่หลินหนานจะได้กระโดดหลบกลุ่มผงสีแดงนั้นก็ได้เลือนหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว ราวกับว่า ไม่เคยได้ปรากฏขึ้นมาก่อน

จากนั้น ชายแซ่เยวี่ยก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ พร้อมกับค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น ดวงตาทั้งคู่ของเขาจับจ้องอยู่ที่ร่างของหลินหนาน พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ

“ถึงแม้ว่าละอองเกสรพิษจะไม่ทําให้ถึงตาย แต่ผู้ที่สูดดมหรือสัมผัสมันเข้าไป ก็จะมีอาการคล้ายอัมพาตขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น อย่าว่าแต่คนธรรมดาทั่วไปเลย แม้จะเป็นผู้ที่มีกําลังภายในแข็งแกร่งมากขนาดไหน ก็ยากที่จะต้านทานฤทธิ์ของเกสรพิษได้..”

เขาคือหมอพิษ ศึกษาและฝึกฝนการใช้พิษ ไม่ได้ฝึกวรยุท ฉะนั้น หากจะเอาชนะใครสักคน เขาย่อมต้องเอาชนะด้วยพิษ!

น่าประหลาดใจที่มันเป็นอาวุธวิเศษที่จะชนะด้วยพิษมาสเตอร์!

“แล้วถ้าผมจะบอกว่า พิษนั่นทําอะไรผมไม่ได้ คุณจะหัวเราะเยาะผมมั้ย?” หลินหนานยืนแน่นิ่ง พร้อมกับเอ่ยตอบด้วยสีหน้าที่ดูไม่ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย

ชายแซ่เยวี่ยส่ายหน้าไปมายิ้มๆ พร้อมกับตอบหลินหนานกลับไปว่า “การที่เธอสามารถเอาชนะเจ้าอ้วนแซ่วู่นี้ได้อย่างง่ายดาย ฉันเองก็ต้องยอมรับว่าเธอเป็นผู้ที่มีวรยุทธสูงส่งไม่เบา แต่นั่น.. ไม่ได้ช่วยยับยั้งฤทธิ์ของเกสรพิษได้”

“แล้วถ้าผมจะบอกว่า ด้วยความสามารถของผมเวลานี้ ผมสามารถหักคอคุณได้ภายในพริบตา คุณจะเชื่อผมมั้ย?” หลินหนานตอบกลับด้วยน้ําเสียงนิ่งเรียบ

“เธออยากจะลองดูก็ได้ แต่ฉันเชื่อว่าเธอจะต้องผิดหวังอย่างแน่นอน!” ชายแซ่เยวี่ยตอบกลับทันที

“งั้นเหรอ? ตกลง.. ถ้าอย่างนั้นก็มาลองดูกัน!”

หลินหนานตอบกลับด้วยสีหน้าท่าทางที่สงบนิ่งอย่างมาก ดูไม่เหมือนคนที่กําลังตกอยู่ในอันตรายเลยแม้แต่น้อย

เขาดูประหนึ่งหมาป่าโดดเดี่ยวในป่าลึก และเป็นหมาป่าที่ดุร้าย ห้าวหาญ ปราศจากความกลัวใดๆ !