บทที่ 132 อาฉือเข้าเรียน

“วันนี้อากาศดีไม่น้อยเลย” ท่านป้ายืนอยู่ที่หน้าประตูเรือน และกำลังพลิกปฏิทินดู

เฮ้อ เหมาะสำหรับออกเดินทางจริง ๆ!

อาฉือแบกกล่องใส่หนังสือไว้บนหลัง สวมเครื่องแบบที่ทางสำนักศึกษาชิงอวิ๋นแจกให้ก่อนเดินออกมาจากห้อง ชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินทำให้เขายิ่งดูมีพลังที่เต็มเปี่ยม ดูท่าทางราวกับสุภาพบุรุษตัวน้อยก็มิปาน

อีกทั้งยังทำให้เขากลายเป็นคนที่ดูแข็งแรงมีชีวิตชีวา บวกกับใบหน้าที่เดิมก็ราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดอยู่แล้ว เสื้อผ้าชุดนี้จึงเหมาะสมกับเขายิ่งนัก

อาชิงน้อยหลบอยู่ด้านหลังพี่สาวด้วยความเขินอาย และแอบชะโงกหน้าออกมามองพี่ใหญ่เป็นระยะ

เผยยวนตรวจสอบของที่ต้องพกติดตัวให้อาฉือด้วยตัวเอง “ในที่สุดก็ยอมเข้าสำนักศึกษาเสียที ต้องตั้งใจเรียนเข้าล่ะ”

นับตั้งแต่ที่อาฉือมาอยู่ข้างกายเขา เจ้าเด็กคนนี้ก็ต่อต้านการเข้าสำนักศึกษาอย่างมาก แต่ความจริงแล้วเขาเป็นเด็กที่รักการอ่าน จึงมักจะเห็นเขาแอบอ่านหนังสืออยู่บ่อยครั้ง

การต่อต้านนั้นได้ฝังลึกลงไปในกระดูกของเขา แต่ตอนนี้เขากลับเต็มใจที่จะเข้าสำนักศึกษาด้วยตัวเอง การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เผยยวนจึงไม่คาดคิดมาก่อน

เผยจี้ฉือพยักหน้ารับคำ “ข้าจะตั้งใจเรียนขอรับ”

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านแม่หาเงินมาอย่างยากลำบาก เขาจึงไม่อาจใช้เงินที่ท่านแม่หามาอย่างสุรุ่ยสุร่ายได้

เมื่อจี้จือฮวนออกมาจากห้องครัว ทุกคนต่างก็อยู่กันพร้อมหน้าและสามารถไปส่งเผยจี้ฉือเข้าเรียนได้แล้ว

นี่เป็นเรื่องใหญ่ของครอบครัว จึงขาดใครไปไม่ได้แม้แต่คนเดียว

หลังจากจัดเตรียมรถม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว จ้านอิ่งที่สามารถออกเดินทางได้เองก็มุ่งหน้าไปยังตำบลฉาซู่ทันที

เผยจี้ฉืออาศัยตอนที่ท่านพ่อกับท่านแม่นั่งอยู่นอกตัวรถ ดึงน้องทั้งสองมาและเอ่ยขึ้น “ตอนกลางวันข้าไปเรียน ตอนเย็นถึงจะกลับมาบ้าน พวกเจ้าต้องเชื่อฟังท่านพ่อกับท่านแม่ให้ดี หากพวกเขามีความคิดเห็นไม่ตรงกัน เช่นนั้นก็ต้องเชื่อฟังท่านแม่ แต่หากท่านพ่อไม่ยอมเชื่อฟัง พวกเจ้าก็ต้องเกลี้ยกล่อมให้เขาเชื่อฟังให้ได้ รู้หรือไม่?”

สองพี่น้องพยักหน้ารับคำอย่างเชื่อฟัง

เผยจี้ฉือจึงพอใจเป็นอย่างมาก เพราะนับตั้งแต่วันนั้นที่ไปเขาชิงหลิงท่านแม่ก็เริ่มเหม่อลอย หลังจากเข้าไปในวัดแล้วก็หายตัวไปทันที ต้องเป็นเพราะพลังของพระโพธิสัตว์นั้นแข็งแกร่ง จึงทำให้พลังปีศาจของท่านแม่อ่อนแอลง ท่านแม่ทุ่มเทไปมากเพียงนี้ ก็เพื่อขอให้พระโพธิสัตว์ช่วยคุ้มครองเขา เขาจะทำให้ท่านแม่ผิดหวังได้อย่างไรกัน?

จี้จือฮวนนั่งอยู่ด้านนอก ในมืออุ้มไหขนาดใหญ่ใบหนึ่งเอาไว้

เผยยวนจ้องมองอยู่นาน จากนั้นก็อดไม่ได้จึงถามขึ้นมา “นั่นคือสิ่งใดหรือ?”

“สมบัติชิ้นใหม่ของข้า อีกเดี๋ยวข้าจะแบ่งให้เจ้ากิน”

ในไหคือเต้าหู้เหม็นที่นางเก็บไว้ในช่องว่างมิติมากว่าสิบวัน และแช่ด้วยส่วนผสมที่มีกลิ่นเหม็นต่าง ๆ!

เผยยวนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ฮวนฮวนเป็นห่วงไหใบนี้มาก ก็เพราะอยากให้เขาได้กินก่อนใครกระมัง?

ปกตินางอาจจะเย็นชากับเขาไปบ้าง แต่ความจริงแล้วฮวนฮวนเป็นคนที่อบอุ่นมาก

ทว่าจี้จือฮวนแค่ไม่ต้องการให้ไหคว่ำในรถม้า และส่งกลิ่นเหม็นจนฆ่าคนที่สัญจรผ่านไปมาก็เท่านั้น…

เมื่อมาถึงตำบลฉาซู่จึงพบว่ามีตลาดใหญ่ที่จัดขึ้นเดือนละครั้ง และตรงกับวันเปิดเรียนของสำนักศึกษาชิงอวิ๋นพอดี นอกจากคนต่างถิ่นที่มาส่งลูกเข้าเรียน ยังมีคนที่เข้ามาค้าขายด้วย ทำให้ท้องถนนแออัดจนไม่สามารถสัญจรผ่านได้

จี้จือฮวนกังวลว่าอาจจะไปเรียนสายตั้งแต่วันแรก

แต่จู่ ๆ ก็เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นม้าทั้งสองข้างทางก็ดี ล่อก็ดี วัวก็ช่าง ต่างก็หลบไปอยู่อีกด้านหนึ่ง ส่วนจ้านอิ่งก็ก้าวเดินไปอย่างสง่างามและวิ่งตรงไปข้างหน้า

หากสังเกตดูดี ๆ จะพบว่าม้าตัวอื่น ๆ ต่างก็ไม่กล้ามองจ้านอิ่ง

จี้จือฮวน “???”

เผยยวนถูจมูกไปมา ก่อนจะเอ่ยอย่างประดักประเดิด “มันเคยเป็นราชาม้าป่ามาก่อน และถูกเลือกมาจากม้ามากมาย ม้าทั่วไปจึงไม่กล้าสบตากับมัน เพราะหากสบตานั่นหมายความว่าต้องการท้าสู้”

โลกของสัตว์นั้นเรียบง่ายกว่าโลกของมนุษย์มาก

จี้จือฮวนจึงเข้าใจได้ทันที มองไม่ออกเลยว่าเจ้าม้ากินจุนี่จะมีความสามารถเช่นนี้ด้วย

หลังจากที่จ้านอิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ทั้งครอบครัวก็มาถึงหน้าประตูของสำนักศึกษาชิงอวิ๋นได้ทันเวลาพอดิบพอดี หลังจากที่รถม้าหยุดเอง หลินเซวียเหวินที่ยืนต้อนรับศิษย์อยู่ที่หน้าประตูก็หรี่ตาลง

“อาจารย์ใหญ่หลิน” จี้จือฮวนเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน

หลินเซวียเหวินจึงได้สติขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเขาจดจำจี้จือฮวนไม่ได้ แต่การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะมากเกินไปแล้วกระมัง! หลินเซวียเหวินแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง!

เขารีบเดินลงบันไดไป “แม่นางน้อยจี้ ในที่สุดท่านก็มาแล้ว ข้ายังกลัวอยู่เลยว่าพวกท่านจะไม่มาเสียอีก”

หลินเซวียเหวินเป็นปัญญาชน จึงไม่แสดงท่าทางตื่นตระหนกเหมือนกับคนในหมู่บ้าน เพียงแค่คิดว่าแม่นางจี้คงรักษาใบหน้าตัวเองจนหายดีแล้วก็เท่านั้น

อีกอย่างการรับเผยจี้ฉือเข้าเรียนต่างหากที่ถือเป็นเรื่องสำคัญกว่า บุญคุณที่ช่วยชีวิต อย่างไรเสียก็ต้องชดใช้

เพราะนี่เป็นสิ่งที่อาจารย์กำชับแล้วกำชับอีก ว่าต้องรอดูจนกว่าคุณชายเผยจะมาเข้าเรียนให้ได้

จี้จือฮวนพยักหน้าให้น้อย ๆ “อาจารย์ใหญ่หลิน เจอกันอีกแล้วนะเจ้าคะ อาฉือของพวกเราต่อจากนี้ก็ต้องรบกวนพวกท่านแล้ว”

หลินเซวียเหวินพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม มองดูเผยจี้ฉือลงมาจากรถม้า หลังจากได้รับการคารวะและทักทายอย่างนอบน้อมจากเผยจี้ฉือแล้ว ใบหน้าของหลินเซวียเหวินก็ฉีกยิ้มจนเห็นรอยตีนกาเลยทีเดียว

เพราะตอนที่อยู่โรงยาเขาก็เห็นว่าเด็กคนนี้เขียนหนังสือได้อย่างเป็นระเบียบ และตอนนี้ก็ได้กลายมาเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาของเขาแล้ว ก็ควรปลูกฝังให้ดีไม่ใช่หรือ?

“ดี ๆ ๆ มาเข้าเรียนแล้ว ต่อไปก็มุ่งมั่นตั้งใจเรียน ทำให้พ่อกับแม่เจ้าได้ภาคภูมิใจ”

เผยจี้ฉือพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น ก่อนจะโบกมือให้กับพวกจี้จือฮวน

จี้จือฮวนรู้สึกอาลัยอาวรณ์ขึ้นมาอย่างประหลาด “ตอนเย็นพวกเราจะมารับเจ้านะ”

“ขอรับ”

อาอินกับอาชิงต่างก็โผล่หัวออกมาเอ่ยลาพี่ใหญ่

ครอบครัวนี้ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี ตั้งแต่ผู้ใหญ่ไปจนถึงเด็ก ต่างก็หน้าตาดี มีนิสัยเรียบร้อย ทำให้คนที่มาส่งลูกหลานของตัวเองต่างก็มองพวกเขาจนเป็นตาเดียว

โชคดีที่จ้านอิ่งเห็นนายน้อยเข้าไปในสำนักศึกษาแล้ว ก็รีบจากไปทันที คนจึงไม่ทันเข้ามาห้อมล้อม

เผยจี้ฉือถูกแบ่งให้อยู่ห้องหนึ่ง หลินเซวียเหวินส่งตัวเขาให้กับอาจารย์เอี๋ยนที่เป็นอาจารย์ประจำชั้นแล้ว ก็ไปทำงานอย่างอื่นต่อ

เนื่องจากเผยจี้ฉือมาถึงทีหลังคนอื่น ที่นั่งดี ๆ ด้านหน้าล้วนมีคนนั่งไปหมดแล้ว และด้วยความที่เขาอายุน้อยที่สุดในชั้นเรียน ดังนั้นเขาจึงเลือกที่นั่งริมหน้าต่างแทน

ไม่นานก็มีเสียงเคาะระฆังดังขึ้น อาจารย์เอี๋ยนจึงเริ่มสอนอย่างเป็นทางการ

“ในเมื่อทุกคนต่างอาศัยการสอบเพื่อเข้ามาเรียนในสำนักศึกษาชิงอวิ๋น ข้าก็จะขอพูดเอาไว้ตรงนี้ว่า ข้าเป็นคนที่เข้มงวดมาก ใครที่คิดจะฉวยโอกาสจากความสัมพันธ์ใด ๆ ก็เชิญออกไปจากชั้นเรียนของข้าได้เลย เพราะข้าจะยิ่งเข้มงวดกับพวกเจ้าและจะคอยจับตาดูพวกเจ้าตลอดเวลา”

ขณะที่เอ่ยประโยคนี้ อาจารย์เอี๋ยนก็ปรายตามองเผยจี้ฉือเล็กน้อย

เผยจี้ฉือสบตากับเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย สุดท้ายอาจารย์เอี๋ยนก็เป็นฝ่ายเลิกราไป และยิ่งมั่นใจว่าเผยจี้ฉือผู้นี้ก็คือคนที่หลินเซวียเหวินยัดเข้ามาแน่นอน

เขาเป็นพวกที่ไม่ยอมก้มหัวให้ความไม่ถูกต้อง หากเผยจี้ฉือไม่มีความรู้ความสามารถ ก็ไม่คู่ควรที่จะอยู่ห้องหนึ่งของพวกเขา อีกอย่างนักเรียนคนอื่นล้วนอยู่ในที่พักของสำนักศึกษา แต่เขาเลือกที่จะกลับบ้าน ต้องเป็นพวกลูกคุณหนูอย่างแน่นอน!

หลังจากให้โอวาทเสร็จ เพื่อนร่วมโต๊ะของเผยจี้ฉือก็โค้งคารวะให้เขา “นี่ ข้าชื่อว่าโหลวเฉิงเย่ ได้ยินว่าเจ้าคือคนที่อาจารย์ใหญ่หลินพาเข้ามาด้วยตัวเอง ที่อาจารย์เอี๋ยนพูดเมื่อครู่หมายถึงเจ้าใช่หรือไม่?”

เผยจี้ฉือพลิกหนังสือหน้าหนึ่ง พร้อมกับเอ่ยเสียงเรียบ “อืม คงจะใช่กระมัง”

เห็นได้ชัดว่าโหลวเฉิงเย่เองก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กที่อายุยังน้อยคนนี้ จะมีความกล้าไม่น้อย “ได้ยินว่าอาจารย์เอี๋ยนผู้นี้สอบจอหงวนผ่านแล้ว และเป็นคนที่มีความรู้สูงส่ง เจ้าไม่กลัวว่าเขาจะกลั่นแกล้งเจ้าหรืออย่างไร”

“กลัวไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ข้าก็แค่เรียนหนังสือของข้า ส่วนเขาก็สอนหนังสือของเขาไป” เผยจี้ฉือไม่ได้มาที่นี่เพราะอาจารย์เอี๋ยน เขาจะเป็นเช่นไรแล้วเกี่ยวอะไรกับตนด้วย?

โหลวเฉิงเย่รู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้เย็นชาแปลก ๆ ไม่รู้ว่ามีภูมิหลังเช่นไรบ้าง

อีกด้านหนึ่ง จี้จือฮวนตั้งใจว่าจะไปที่เค่ออวิ๋นไหล แต่ท่านป้ากลับลงจากรถม้าพร้อมทั้งหิ้วอาอินและอาชิงลงมาด้วย “ข้าจะพาพวกเด็ก ๆ ไปเดินตลาด แล้วก็ซื้อของใช้ในบ้านที่จำเป็น พวกเจ้าสองคนไปกันเถอะ”

กว่าจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง! ไม่ควรถูกเด็กสองคนนี้ทำลายลงเด็ดขาด