ตอนที่ 136 กำแพงทองแดงแน่นหนาเมืองฝานฮัว

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

ปากทางขึ้นเขาต้าซื่อที่เมืองฝานฮัวตอนนี้มีทางเดียว นั่นก็คือหลังยอดเขาซิ่วเฟิง

ตอนนี้ยอดเขาซิ่วเฟิงและยอดเขาเล็กๆ ที่เชื่อมต่อวนขึ้นยอดเขาซิ่วเฟิงเป็นพื้นที่จวนพักตากอากาศฝานฮัวไปแล้ว และยังปรับปรุงจนงดงาม มีศาลาชมวิวที่งดงามน่าหลงใหลควรค่าแก่การมาชม

ดังนั้นเขาต้าซื่ออันตรายที่หลบอยู่หลังยอดเขาซิ่วเฟิงลึกเข้าไปจึงค่อยๆ กลายเป็นสถานที่ลึกลับที่นักท่องเที่ยวอยากรู้อยากเห็น

แม้ว่าชาวบ้านเมืองละแวกนี้ต่างรู้อันตรายของเขาต้าซื่อ แต่นักท่องเที่ยวที่มาไกลไม่รู้ ยากจะป้องกันพวกเขาแกล้งทำเป็นเดินผิดทางจงใจรุกล้ำเข้าไปในเขตเขาต้าซื่อที่ยังไม่ได้บุกเบิกเปิดเส้นทาง พักก่อนหลินซือเย่าก็เริ่มคิดว่าจะปกป้องความสงบเขาต้าซื่อไว้ได้อย่างไร เอาละ เปลี่ยนเป็นคำของสุ่ยเลี่ยนละกันว่า จะรักษาความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวได้อย่างไร

ควรตายแท้! ไม่ใช่ว่าเขาเรียกพวกเขามาเสียหน่อย แม้เมืองฝานฮัวปรับปรุงงดงามราวสรวงสวรรค์ ก็เป็นเรื่องของเมืองฝานฮัว เกี่ยวอะไรกับนักท่องเที่ยวที่กินอิ่มแล้วก็ว่างงานพวกนั้นด้วย

แต่ทว่าพอเกิดเรื่องก็ต้องให้พวกเขามารับผิดชอบ

หากยอมทำตามที่เขาบอก ให้ติดตั้งประตูเหล็กสองบานไว้ที่ทางเข้าเมืองฝานฮัว ไม่ให้คนนอกเข้ามาตามอำเภอใจทั้งหมด พวกเขายังต้องมาระวังพวกไร้มารยาทบุกรุกเขาต้าซื่อ? และคงไม่มารบกวนชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านด้วย

แต่ทว่าสุ่ยเลี่ยนกลับไม่เห็นด้วยกับเขา บอกว่าอะไรนะ ในเมื่อเมืองฝานฮัวรวมเป็นเขตจวนอ๋องจิ้ง กลายเป็นพื้นที่จวนพักตากอากาศเปิดกว้าง ในเมื่อยังมีอีกยี่สิบกว่าครัวเรือนอาศัยอยู่ พวกเขาก็ควรมีอิสระของพวกเขา หากทำประตูเหล็กมาปิดกั้น เข้าออกจวนพักตากอากาศต้องถูกควบคุม ก็อาจทำให้ชาวบ้านสูญเสียอิสระที่พวกเขาควรมี สรุปมีประตูก็คือไร้อิสระนั่นเอง

แม้ว่าในใจเขาจะแอบบ่นไม่พอใจ แต่มือของเขายังเคลื่อนไหวทำงานต่อไป

รอให้เขาล้อมอาณาเขตเขาต้าซื่อว่าเขตต้องห้ามก่อนเถอะ ยามนี้เขาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดดินที่เปื้อนมือ เมื่อมีประตู สัตว์ในเขาต้าซื่อก็ไร้อิสระแล้ว ไม่อาจลงเขากันตามใจ แน่นอนย่อมทำให้สองหมาป่าที่บ้านเขาเลี้ยงไว้สองตัวทำใจลำบากเช่นกัน

ครอบครัวเสี่ยวฉุนอยู่เขตตอนเหนือขึ้นไป ส่วนเสี่ยวเสวี่ยตามคู่ของมันกลับเขาต้าซื่อ

หลายวันก่อนขึ้นเขาไปเก็บพันธุ์ดอกไม้และต้นกล้ามาปลูกที่ลานหลังบ้านตนเองที่เป็นพื้นที่ว่างหลังย้ายแปลงผักออกไป ยังได้รู้ว่าเสี่ยวฉุนเป็นพ่อแล้ว คู่มันคลอดออกมาทีก็ได้ลูกหมาป่าสี่ตัว แต่ละตัวอ้วนท้วนสมบูรณ์ พอเห็นเขา เสี่ยวฉุนก็เชิดหน้าอย่างได้ใจ เหมือนจะเทียบกับเขาว่า ผู้ใดมีลูกมากกว่า ฮา…เขาคงไม่ตกต่ำถึงขั้นไปเทียบลูกกับสัตว์หรอกนะ

แต่ทว่าสตรีตัวน้อยของเขาที่ดีใจอะไรง่ายๆ และน้ำตาก็ร่วงง่าย พอรู้ก็จะให้ตนพานางขึ้นแอบดูครอบครัวเสี่ยวฉุนในป่าลึก สำหรับเสี่ยวเสวี่ย เดาว่าติดตามราชาหมาป่าคู่ของมัน พาลูกๆ มันสองตัวที่ใกล้โตเข้าป่าลึกเขาต้าซื่อไปฝึกฝนการออกหาอาหารแล้ว ดังนั้นจึงไม่ค่อยได้เห็น และด้วยเหตุนี้ สุ่ยเลี่ยนจึงเสนอให้ปิดทางขึ้นเขา หนึ่ง กังวลว่านักท่องเที่ยวจะหลงเข้าไปกลายเป็นอาหารพวกมัน สอง กลัวฝูงหมาป่าที่มีคุณกับนางและเขาถูกนักท่องเที่ยวทำร้าย แม้นักท่องเที่ยวจะไม่ได้มีฝีมือร้ายกายเหมือนอาเย่าก็ตาม

พอตรวจสอบความแข็งแกร่งมั่นคงของรั้วเหล็กอย่างละเอียดแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่มีปัญหาอะไร ทางซ้ายของรั้วมีป้ายไม้เตือนไว้ เขียนว่า ‘ในป่ามีสัตว์ป่าดุร้าย ห้ามรุกล้ำเข้าไป’

ถอยออกมาตรวจสอบละเอียด กระโดดข้ามรั้วเข้าไปมองลึกไปสุดป่า จากนั้นกลับมาที่เดิม

ในป่า เสี่ยวฉุนพาครอบครัวมามองหลินซือเย่าที่ค่อยๆ ห่างไปจากรั้วไม่วางตา มันส่งเสียงหอนโบร๋วๆ เบาๆ สองสามทีก่อนจะพาครอบครัวที่รักหันหลังเข้ารังน้อยแสนอบอุ่นพวกมัน…ก็คือถ้ำหมาป่าแสนสุข

พวกเขากับพวกมันล้วนมีครอบครัวเล็กๆ แล้ว ไม่ใช่ตัวคนเดียวโดดเดี่ยว จะไม่ร่อนเร่ไร้ที่หมายอีกแล้ว

หน้าที่ปกป้องเจ้านายของมันกับเสี่ยวเสวี่ยจบลงที่ตรงนี้

สำหรับวันหน้า เชื่อว่ามีชายหนุ่มฝีมือล้ำเลิศปกป้องนาง เจ้านายย่อมไม่เกิดเหตุอันใด มันมั่นใจเช่นนี้!

สำหรับเขาต้าซื่อ ยังคงเป็นบ้านของฝูงหมาป่าพวกมัน พวกมันแต่ละรุ่นต่อๆ ไปจะเจริญเผ่าพันธุ์กันที่นี่

จากนี้ไปพวกมันก็จะมีภารกิจมากมายที่ไม่เขียนเป็นลายลักษณ์ ให้เขาต้าซื่อเป็นแนวหลังป้องกันเมืองฝานฮัว ปกป้องเจ้านายและครอบครัวด้วยชีวิต…

……

“อาจารย์ลุง ท่านมาพอดี เจ้าขอทานบ้านี่จะเข้าเมือง พวกเรากะโยนมันออกไป”

พอหลินซือเย่าลงเขามา ก้าวมาถึงหน้าศาล วันนี้วันที่ห้าเดือนแปด หยางจิ้งจือกับชิงหลันกำลังออกตรวจที่เมืองฝานฮัว อยากมาตามหยางจิ้งจือไปตรวจชีพจรให้สุ่ยเลี่ยนที่บ้าน หลายวันนี้มักเห็นนางดูเกียจคร้าน ยังมีอาการอาเจียน ไม่รู้เพราะอากาศหรือว่าสุขภาพไม่ดี ไม่ตรวจให้ละเอียด ใจเขาไม่เป็นสุข

มองไปรอบๆ เมิ่งเฉียวที่กำลังรักษาความสงบในเมืองก็ตะโกนเรียก

“อย่างนั้นก็โยนออกไป” หลินซือเย่าตอบด้วยสีหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์ เห็นเมิ่งเฉียวหนึ่งในศิษย์ยี่สิบห้าคนของซือชงเหมือนมีอะไรอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูด จึงหยุดขมวดคิ้วถามว่า “มีเรื่องอะไรอีก”

“อะ…อาจารย์ลุง…ตอนพัก…ไปดูศิษย์น้องสองคนได้ไหม” เมิ่งเฉียวแอบลอบมองใบหน้าน้ำแข็งเย็นเยียบยากคาดเดาของหลินซือเย่าแล้วก็กลืนน้ำลายเอื้อก เมิ่งเฉียวกำลังขอความเห็นเขาอย่างระมัดระวัง เขาน่าสาสารไหม เพราะว่าเป่ายิ้งฉุบแพ้ ก็เลยถูกศิษย์พี่ศิษย์น้องแล้งน้ำใจผลักออกมาเป็นตัวแทน ฮือ ฮือ ฮือ เขายอมไปพบอาจารย์ที่หน้าตาเย็นชาแต่ไม่เย็นเยียบดีกว่า อย่างไรก็ไม่กล้ามาพูดกับอาจารย์ลุงเด็ดขาด แต่ผู้ใดให้พวกเขาถวิลหาศิษย์น้องสองคนกันเล่า อ้อ เอาใหม่ เรียกว่าคิดถึง!

“ตามใจเจ้า ขอเพียงอย่ารบกวนอาจารย์ป้าเจ้าพักผ่อนก็พอ” หลินซือเย่าเงยหน้ามองเมิ่งเฉียว ในใจแอบชื่นชมที่ใจกล้าไม่เบา อยู่กันมาหลายปี ไหนเลยที่เขาจะไม่รู้ว่าศิษย์ซือชงยี่สิบกว่าคนนี้ นอกจากซือถูอวิ๋น ที่เหลือไม่มีใครกล้าออกหน้ามาพูดกับเขาสักคน

แต่ทว่าตอนนี้ดูท่าว่า เหมือนเพิ่มมาอีกคนแล้ว

“จะ…จริงหรือ ขอบคุณอาจารย์ลุง!” เมิ่งเฉียวคำนับนอบน้อม เดินส่ายก้นไปที่ประจำการตนเองทันที

“ตอนเฝ้าประจำการ ตาไวกันหน่อย” หลินซือเย่าสำทับตามหลังเขาไป

“วางใจได้ อาจารย์ลุง พวกเราต้องทำให้เมืองฝานฮัวราวกับมีกำแพงทองแดงเลยทีเดียว!” พอเมิ่งเฉียวได้ยินก็หยุดหันมากำหมัดกุมกันส่งให้หลินซือเย่าดู ตอบน้ำเสียงหนักแน่น จากนั้นก็ฉีกยิ้มกว้างเดินไปลานแสดงงิ้วหลังศาลต่อ วิ่งกลับพื้นที่ประจำการเขาไปอย่างรวดเร็ว

กำแพงทองแดง? เหอๆ…กล้าตะโกนออกมาได้

แต่ทว่าเขาวาจาเขาเหมือนเตือนเขาเอง เมืองฝานฮัวตอนนี้ต้องการกำแพงทองแดงมาปกป้องจริงๆ …ด้านหลังมีเขาต้าซื่อ เขาไม่ห่วง ภายในมีลาดตระเวน เขาก็วางใจ สำหรับด้านหน้า ไม่ติดตั้งประตูเหล็ก ก็ต้องทำกำบังอะไรสักอย่าง สิ่งที่ป้องกันพวกที่คิดบุกรุก ให้คนอื่นเข้ามาไม่ได้

หลินซือเย่าจ้องมองเมิ่งเฉียวที่หายตัวไปอยู่นาน ก่อนจะถอนสายตากลับคืน ค่อยๆ ยิ้มยกมุมปาก จากนั้นก็สองมือไพล่หลังก้าวเดินไปทางห้องตรวจโรค