“ฮา ฮา ฮา! รั่วเอ๋อร์ พวกเราจะมีลูกอีกแล้ว!” พอได้ข่าวว่าภรรยาตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนแล้ว เซวี่ยลี่ก็หัวเราะดังลั่นตามนิสัยที่ไม่เคยเปลี่ยน
“ลี่” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์สีหน้าสับสน เหลือบมองท่าทางดีใจจนน่าตกใจของสามี อดดึงแขนเสื้อเขาไว้ไม่ได้ กระซิบว่า “อย่าหัวเราะดังลั่นอย่างนี้นะ” แทบจะทำเอาทั้งเมืองฝานฮัวรู้ไปทั่วว่านางตั้งครรภ์แล้ว
“เกี่ยวอะไรกับพวกเขา!” เซวี่ยลี่ยักไหล่อย่างไม่ได้คิดอะไรมาก จากนั้นก็ประคองเฟิ่งรั่วเอ๋อร์ “มา มา มา อย่าเอาแต่ยืน นังหนูไม่ได้บอกหรือว่าครรภ์เจ้าไม่แข็งแรง ต้องพักผ่อนมากๆ อืม คิดว่าเพราะตอนมานั่งโยกไปมาบนรถม้าแน่เลย รู้อย่างนี้ไม่ตามใจเจ้าแล้ว ตั้งครรภ์แล้วถึงกับยังเดินทางรอนแรมมาที่นี่อีก ขากลับทำอย่างไรดี ตลอดทางอย่างน้อยก็ต้องสิบกว่าวัน” เซวี่ยลี่พอคิดว่าหลังวันไหว้พระจันทร์ก็จะกลับเซวี่ยหมิง อดขมวดคิ้วไม่ได้
“ท่านพี่!” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์เหลือบมองเซวี่ยลี่อย่างนึกขัน “จิ้งจือเพียงแต่บอกว่าสองสามวันนี้ต้องพักผ่อน ไม่ได้หมายความว่าสุขภาพข้าอ่อนแอ อีกเรื่อง ท่านอย่าไม่มีอะไรก็ส่งเสียงดัง คนนอกได้ยินแล้วไม่หัวเราะพวกเราหรือ”
เพราะว่านางตั้งครรภ์ครั้งแรกในรอบยี่สิบปี ทำให้พักนี้นางรู้สึกเหนื่อย ยังคิดว่าเพราะนั่งรถม้ามานาน คิดไม่ถึงว่าตั้งครรภ์แล้ว
สตรีอายุสี่สิบถึงกับยังมีลูกน้อยหลงมาอีก พูดออกไปก็รู้สึกอายผู้คน
“ผู้ใดกล้า!” เซวี่ยลี่ถลึงตาจ้องมองสีหน้าบึ้งตึง “ฮองเฮาแผ่นดินเซวี่ยหมิงตั้งครรภ์มังกร ผู้ใดกล้าพูดมากเหลวไหล!”
“ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น เจ้าโมโหอะไรอีก!” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์เหลือบตามองเขาอย่างเสียไม่ได้ แอบไม่พอใจสะบัดการประคองเขาทิ้ง ตนเองคิดจะเดินกลับห้องนอนเอง
“ข้าไม่ได้โมโหเจ้านะ…เอาละๆ ข้าเพียงแค่ดีใจ คิดไม่ถึงว่าชีวิตนี้ยังจะมีลูกมาเคียงข้างได้อีก เจ้าระวังหน่อย ตอนนี้ตั้งครรภ์…”
“ลูก ลูก! ในเมื่ออยากได้ลูกมาก เจ้าก็เลียนแบบบิดาเจ้าสิ มีสนมเยอะๆ…”
“รั่วเอ๋อร์!” เซวี่ยลี่หยุดวาจาเฟิ่งรั่วเอ๋อร์ที่กล่าวออกมาอย่างใส่อารมณ์ “พวกเราเป็นสามีภรรยากันมานานหลายปี ข้าเป็นคนอย่างไร หรือว่าเจ้าไม่รู้ ทำไมชอบล้อเล่นแบบนี้ มีแต่เรื่องนี้ห้ามพูดล้อเล่น”
“ขอโทษ ลี่ ข้าพลั้งปากไป ไม่ได้คิดเช่นนี้…” เห็นสีหน้าเซวี่ยลี่เคร่งเครียด เฟิ่งรั่วเอ๋อร์ก็รู้ว่าวาจาที่พูดออกไปไม่คิดนั้นทำร้ายจิตใจเขาเข้าแล้ว
เหมือนกับที่เซวี่ยลี่ว่า พวกนางสองสามีภรรยาผ่านมรสุมร่วมกันมาไม่น้อย ย่อมรู้ว่าเขาได้รับบทเรียนจากเสด็จพ่อเขา สนมนางในวังหลังมีจุดจบเช่นไร ที่เห็นชัดที่สุดก็คือความมั่นคงและสงบสุขของราชนิกูลเซวี่ยหมิง
ดังนั้นแม้ลูกชายถูกคนชั่วลักไป ยี่สิบกว่าปีมานี้ไร้ข่าวว่าเป็นหรือตาย แม้ตนเองเฝ้าคิดถึงจ้านเอ๋อร์ทุกวันคืน จึงสูญเสียความสามารถในการตั้งครรภ์ไปชั่วคราว หลายปีมานี้ไม่เคยให้กำเนิดลูกให้เขาอีกเลย เขาเองก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องสนมนางในเพื่อทายาทสืบทอดราชบังลังก์ ก็เพราะกลัวว่าวันหนึ่งเกิดลูกชายยังไม่ตาย น้องชายร่วมบิดาต่างมารดากับเขาเหมือนกับเซวี่ยอิง ต้องเล่นบทเลือดล้างแผ่นดินอีกครั้ง ราชวงศ์เซวี่ยหมิงก็จะเกิดมรสุมเลือดอีกครั้ง
หรืออาจกล่าวได้ว่าเรื่องเซวี่ยอิง ทำให้เซวี่ยลี่ตัดสินใจว่าจากนี้ไปจะไม่มีวังหลังเซวี่ยหมิงนอกจากนาง
ใช่ว่านางไม่รู้ นางตั้งครรภ์ทำให้เซวี่ยลี่ดีใจขนาดไหน ทำไมนางพูดจาไม่ตรงกับใจเช่นนั้นออกไปสะเทือนใจเขาได้! น่าตายจริง!
“ข้ารู้” เซวี่ยลี่เห็นภรรยานึกตำหนิตนเอง ก็ไม่อาจกล่าววาจาตำหนิให้นางยิ่งทุกข์ใจขึ้นไปอีก ถอนหายใจเบาๆ กอดเฟิ่งรั่วเอ๋อร์ไว้แน่น “รั่วเอ๋อร์ ตอนเจ้าแต่งกับข้า ข้าเคยบอกแล้วว่า ชีวิตนี้จะมีเจ้าเป็นภรรยาเพียงคนเดียว นั่นไม่ใช่พูดไปอย่างนั้น ผู้หญิงของเสด็จพ่อมากมายก่ายกอง ข้าไม่เพียงแต่ไม่นึกอิจฉา กลับกัน ข้ายังหวังอยากจะเผาวังหลังทิ้งให้หมดจดเสียด้วยซ้ำ เจ้าฟังข้าพูดให้จบ!” เซวี่ยลี่ปิดปากเฟิ่งรั่วเอ๋อร์ไว้ ไม่ให้นางกล่าวปลอบใจออกมา ค่อยๆ กล่าวความในใจของเขาออกมาให้หมด “สำหรับเรื่องลูก ตอนจ้านเอ๋อร์เกิดมา ข้าก็คิดว่าไม่อยากให้เจ้ามีอีกแล้ว มีจ้านเอ๋อร์คนเดียวก็พอแล้ว มากไปก็ไม่เห็นจะรักกัน ตอนเขายังไม่ครบเดือนถูกเซวี่ยเยี่ยนขโมยออกจากวังหลวง แม้ว่ายี่สิบสี่ปีมานี้ข้าไม่เคยละทิ้งความพยายามค้นหาเขา แต่ก็รู้ว่าโอกาสเจอนั้นน้อยมาก ดังนั้นข้าให้หมอหลวงปรับสมดุลร่างกายให้เจ้า หวังว่าเจ้าจะมีทายาทสืบทอดให้ข้าอีกสักคน แต่…ข้ารู้ การหายตัวไปของจ้านเอ๋อร์ทำให้เจ้าปวดใจสิ้นหวัง ดึงดันคิดว่าเป็นความละเลยของเจ้าทำให้เซวี่ยเยี่ยนสบโอกาส ดังนั้นแม้ยี่สิบปีปีผ่านมา เจ้าก็ยังไม่อาจก้าวข้ามปมในใจนี้ได้ หมอเหลียงกล่าวได้ถูกต้อง ขจัดปมในใจแล้ว เจ้าก็จะเลิกกลัวการตั้งครรภ์ ตอนนั้นข้าคิดว่าไม่มีทายาทก็แล้วไปเถอะ อย่างมากก็ไปหาเด็กในราชนิกูลสักคนมารับตำแหน่งฮ่องเต้ต่อ ดังนั้นตั้งแต่นั้นมา ข้าจึงไม่ได้หาหมอมาตรวจชีพจรเจ้าอีก ทุกอย่างปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ข้าไม่อยากฝืนอีกต่อไป แต่แม้เป็นเช่นนี้ รั่วเอ๋อร์ แต่ไรมาข้าไม่เคยคิดจะรับสนมเพิ่มเลย หากข้ากล่าวไม่จริง ข้าเซวี่ยลี่ยอมให้ฟ้าผ่า…” คำสุดท้ายทำเอาเฟิ่งรั่วเอ๋อร์ดึงมือขวาขึ้นมาอุดปากเขาไว้แน่น รอยยิ้มนางกระจ่างใสราวดอกหลีฮวา ทำให้ความเจ็บปวดในใจเขามลายหายไปสิ้น
“ข้าเข้าใจ ข้าทำไมจะไม่เข้าใจ” นางงึมงำกล่าว แต่เพราะเช่นนี้ นางจึงได้รู้สึกผิด
“อย่างนั้นก็ดี วันนี้พูดกันกระจ่างชัดแล้ว เจ้าจะได้ไม่เอาแต่สงสัยความจริงใจของข้า รั่วเอ๋อร์ เจ้าไม่เห็นหรือ ตั้งแต่รุ่นข้าลงไป เลือดราชวงศ์เราก็มีแต่ชายรักเดียว” เซวี่ยลี่แอบกวาดตามองไปยังหมู่ไผ่ด้านหลังไม่ไกลออกไปนัก มีร่างเงาที่ไม่ปิดบังแต่ก็ไม่ร้อนใจขัดการสนทนาของพวกเขาสองสามีภรรยา
เขาควรจะได้ยินหมดแล้ว ฟังความในใจของข้าแล้ว ในฐานะลูกชาย เขาจะไม่ตื้นตันได้หรือ อย่างไรก็ควรเรียกเขาว่าท่านพ่อ เรียกรั่วเอ๋อร์ว่า ท่านแม่ได้แล้วกระมัง
อย่างไรยี่สิบสี่ปีมานี้ พวกเขาก็ไม่ได้ทอดทิ้งเขาจริงๆ ไม่เคยแม้แต่วินาที
เขาโอบกอดภรรยาจงใจนั่งอยู่บนม้านั่งยาวหน้าประตูห้องเรือนสวนไผ่ เงียบรออยู่เป็นนาน ก่อนจะแอบลอบมองไป เอ๋? ร่างเงาชุดเขียวหายไปแล้ว
ควรตายจริง เขาถูกลูกชายผละจากไปเฉยๆ!
……
“…สรุป เจ้าวางใจบำรุงร่างกายได้แล้ว อย่างไรเรื่องจวนพักตากอากาศก็มีสามีเก่งกล้าของเจ้าแบกรับ ทารกแฝดก็มีซือถูอวิ๋นกับพวกเหลียงหมัวมัวดูแลอย่างดี เจ้าน่ะ ก็ไม่ต้องมาร้อนใจเรื่องพวกนี้” หลังตรวจชีพจรให้ซูสุ่ยเลี่ยน เปิดตำรับยาบำรุงครรภ์แล้วก็กล่าวว่า “เอาละ แม่สามีเจ้ากับเจ้าก็ตั้งใจดูแลครรภ์ดีๆ เดือนหน้าข้าค่อยมาเยี่ยมเจ้า เฮ้อ โรงหมอสมัยนี้หากคิดจะเปิดให้ประสบความสำเร็จ ยากกว่าที่ข้าคิดไว้มาก”
“ทำไม ไม่ได้ดังใจหรือ?” ซูสุ่ยเลี่ยนเก็บตำรับยาเสร็จ ก็รินน้ำชาร้อนให้นางสองคน ขยับจานขนมที่ก่อนหน้านี้เซียงหลันเอาเข้ามาวางไปตรงหน้าหยางจิ้งจือ “ยุ่งมาตั้งแต่เช้า กินอะไรรองท้องหน่อย”
“ก็ไม่ใช่ไม่ได้ดังใจ เพียงแต่…เฮ้อ สตรีในยุคสมัยนี้คิดทำการค้าให้รุ่งเรืองนั้นยากจริงๆ ดังนั้นข้าเลื่อมใสพี่อิ้งเยว่กับอิ้งอวิ๋นสองพี่น้องมาก” หยางจิ้งจือดื่มชาไปคำหนึ่ง ก็บิขนมเผือกเข้าปากชิมรสชาติ อืม แม่ครัวจากจวนอ๋องจิ้งนี่ฝีมือดีจนไม่ต้องบรรยาย
“ใช่ แต่พี่อิ้งเยว่เป็นเช่นนี้…ก็ลำบากนะ” คิดถึงเจียงอิ้งเยว่ที่ทุ่มเทเพื่อร้านปักผ้า ซูสุ่ยเลี่ยนก็อดถอนหายใจไม่ได้
“ไม่เจอชายหนุ่มต้องใจ เช่นนี้ก็ดี” หยางจิ้งจือไม่คิดเช่นนั้น นางเคยคิดไว้ว่า หาก…ไม่ใช่เขา…นางก็จะไม่อยากแต่ง ชีวิตโสดตัวคนเดียวก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี นางปากมากทั้งหลาย นางเองก็ฟังจนชินนางแล้ว “เอาละ ข้าควรกลับแล้ว ที่ศาลยังมีชาวบ้านไม่น้อยรอข้าอยู่”
“ไม่กินอาหารกลางวันก่อนค่อยกลับไปหรือ ข้าให้เซียงหลันไปสั่งห้องครัวแล้ว ตอนเที่ยงมีกุ้งกับปูที่เจ้าชอบกินด้วย” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นหยางจิ้งจือดื่มน้ำชาเสร็จก็ลุกขึ้น จึงรีบรั้งไว้
“ไม่ละ ที่ศาลยังมีชาวบ้านไม่น้อยรออยู่ เจ้าเองก็รู้ สามีเจ้าใจร้อนขนาดไหน พูดไม่ทันจบก็ให้แบกล่วมยามาแล้ว กลัวชิงหลันคนเดียวรับมือไม่อยู่ อืม…กุ้งปูก็เป็นของชอบข้าที่สุดจริงๆ ให้ซือถูเอาไปให้ข้าได้ไหม”
“ฮ่าๆ…ไม่มีปัญหา ข้าจะแบ่งเป็นกล่องอาหารสองกล่อง ให้เขาเอาไปให้” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มพยักหน้า ในเมื่อห้องตรวจมีคนไข้รออยู่มาก นางก็ไม่อาจรั้งอีกฝ่ายไว้อีก อย่างไรคนอื่นเขาก็มีงานที่ต้องทำ แต่ถูกสามีนางชิงตัวมา
เพิ่งส่งหยางจิ้งจือออกไป
“เอ๋? กลับมาเร็วอย่างนี้เลยหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนมองตาค้างอย่างสงสัย คงไม่ใช่ว่า…ไม่ได้ไปหรือ ก่อนหน้านี้เขาถูกนางเรียกให้ไปเรือนสวนไผ่อวยพรสักหน่อย ตอนนี้หลินซือเย่ากลับมานั่งจิบชาอยู่ที่โต๊ะ นางก็อดเดาไม่ได้
“ไปมาแล้ว เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง หมอไม่ได้บอกหรือ ตั้งครรภ์แล้วอย่าเดินไปเดินมาอีก…” หลินซือเย่าวางถ้วยชาลง เข้าไปประคองนางแนบกาย
“ยังจะบอกอะไรได้อีก” ซูสุ่ยเลี่ยนคิดเรื่องนี้ก็ค้อนใส่เขา น่าเสียดายคลื่นแววตาที่ส่งไป เขาว่ามันสวยงามยิ่งกว่าไม่พอใจ ไม่ส่งผลอะไรกับเขาสักนิด
“หลงเอ๋อร์ เซียวเอ๋อร์ยังไม่ครบปี ข้าก็มีอีกแล้ว เจ้า…เจ้าจะทำให้ข้าเงยหน้ามองผู้คนไม่ได้!” นางอดยู่ปากบ่นไม่ได้ ท้องมันทุกปี โอย เห็นนางเป็นแม่สุกรหรือ
“กลัวอะไร! มี…มีท่านแม่อยู่หน้าเจ้า พวกเขาสังเกตเห็นแต่นาง” หลินซือเย่ายิ้มบาง รั้งนางมานั่งบนตักตนเอง ปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เพียงแต่ตอนเอ่ยถึงเฟิ่งรั่วเอ๋อร์ ก็แอบมีอาการไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง
“เอ๋? อาเย่า?” นางไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม หืม? ชายหนุ่มผู้นี้เอ่ยเรียกแม่สามีว่าท่านแม่แล้ว? ซูสุ่ยเลี่ยนเงยหน้ามองอย่างดีใจ
“หรือว่าผิด” เขาเอียงหน้าสบตากับนางอย่างเขินๆ พร้อมกับแอบเคลื่อนพลังวัตรขจัดความแดงที่ลามมาถึงใบหู ไม่ให้สตรีตัวน้อยได้เห็นความเขินอายของเขา
“เปล่าๆ!” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็รีบส่ายหน้า ล้อเล่นน่า กว่าจะได้ยินเขาเอ่ยออกมา ไม่อาจทำให้เขาถอยกลับไปหลบอีก
นางรีบเปลี่ยนบทสนทนาทันที “อาเย่า ข้าอยากเขียนจดหมายไปแจ้งข่าวมงคลให้พวกท่านพ่อทราบ”
“อืม” เขาพยักหน้าเห็นด้วย พร้อมกับแอบถอนหายใจ ไม่ถูกนางบีบคั้นให้บอกถึงการเปลี่ยนไปของตนก็พอ แม้ว่าตั้งแต่ตอนอยู่ฉีอวิ๋นซาน เขาก็ปลดปมในใจลงแล้ว เพียงแต่พรากจากกันไปยี่สิบสี่ปี ไม่เคยเรียก ‘ท่านพ่อ ท่านแม่’ สองคำนี้สำหรับเขาดูไม่คุ้นเคยยิ่ง จะให้เรียกออกจากปากในทันทีย่อมไม่อาจทำได้
ตอนนี้ถือว่าได้โอกาสไหม ท่านแม่เขากับภรรยาเขาท้องพร้อมกัน ยอมรับพวกเขาก็ไม่ต้องมีเหตุผลอะไรต้องไปเซวี่ยหมิงอีก