ตอนที่ 168 อย่าได้กลายเป็นศัตรู

สีหน้าท่าทางของหลินหนานสงบนิ่ง และแววตาบ่งบอกถึงการตัดสินใจที่แน่วแน่!

ปกติแล้ว หากฝ่ายที่เอ่ยปากขอร้องเป็นผู้หญิง หลินหนานมักจะรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาบ้าง แต่ครั้งนี้จิตใจของเขากลับมั่นคงไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

นั่นเพราะใครก็ตามที่กล้าล้ําเส้นความอดทนของตน หลินหนานจะไม่มีทางปล่อยให้มันลอยหน้าลอยตาอยู่แน่ !

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีอํานาจอิทธิพล หรือแข็งแกร่งสักเพียงใด หลินหนานก็ไม่เคยเกรงกลัวแล้วเหตุใดเขาต้องหวาดกลัวบารมีของตระกูลเสี่ยวด้วยเล่า?

และครั้งนี้ เขาก็จะสั่งสอนเสี่ยวจือฉีเพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่คนอื่นๆ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่มีทางปล่อยให้ปัญหาครั้งนี้ผ่านไปโดยไม่ลงมือจัดการอะไรได้

นับเป็นความโชคร้ายของเสี่ยวจือฉีเอง ที่ดันไปล้ําเส้นของหลินหนาน อีกทั้งยังทําให้อารมณ์ของเขาไม่เบิกบานเท่าไหร่นักพูดง่ายๆก็คือเสียวจื่อฉีดันวิ่งมาชนปากกระบอกปืนที่วางอยู่เฉยๆนั่นเอง

เมื่อได้ยินคําตอบของหลินหนาน เสี่ยวหลิงหลงถึงกับเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งตัว และหัวใจ..

ผู้ชายคนนี้นอกจากจะไม่ไว้หน้าใครแล้ว ยังดูเหมือนจะไม่เกรงกลัวอะไรอีกด้วย!

ในเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่สําเร็จ ฉันก็คงต้องใช้ไม้แข็งกับนาย!

“หลินหนานถ้านายกล้าทําร้ายเสี่ยวจือฉี รับรองได้ว่าตระกูลเสี่ยวจะไม่ปล่อยนายไว้แน่!”

เมื่อเห็นท่าทางแน่วแน่ของหลินหนาน เสี่ยวหลิงหลงจึงจําเป็นต้องใช้วิธีการข่มขู่ ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอจะสามารถทําได้

หลินหนานได้ยินเช่นนั้น ก็จัดการโยนร่างของเสี่ยวจือฉีในมือลงไปบนโซฟาทันที แล้วจึงหันไปทางเสี่ยวหลิงหลงพร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ําเสียงเย็นชา

“นี่คุณกําลังข่มขู่ผมอย่างนั้นเหรอ?”

“นายจะมองว่าเป็นการข่มข่ หรือจะมองว่าเป็นคําเตือนจากฉันก็ตามใจ แต่ฉันขอบอกกับนายไว้ก่อนว่าภายในขอบเขตของเมืองเจียงไฮวนี้ ใครก็ตามที่กล้ามีปัญหากับตระกูลเสี่ยวล้วนมีจุดจบที่ไม่ดีเลยสักราย”

เสี่ยวหลิงหลงที่ยืนเผชิญหน้ากับหลินหนานอยู่นั้น ได้แต่เอ่ยตอบกลับไปด้วยสีหน้าท่าทางทางสงบนิ่งเช่นกันเธอทําราวกับว่ากําลังบอกเล่าความจริงบางอย่างออกไปเท่านั้น..

“โอ้โห! ฟังดูน่ากลัวจนขนลุกขนชั้นไปหมด” หลินหนานตอบกลับยิ้มๆ

“ถึงแม้ฉันจะเป็นผู้หญิง แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้ใครมาข่มขู่ได้ง่ายๆ ตระกูลเสี่ยวให้ความสําคัญกับเกียรติยศและหน้าตาของตระกูลมาก และนั่นเป็นสิ่งที่ฉันซึ่งเป็นทายาทของตระกูลจําต้องปกปักรักษาไว้..”

เสี่ยวหลิงหลงตอบโต้หลินหนานกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเธอเวลานี้ บ่งบอกถึงความเข้มแข็งและไม่ได้อ่อนแออย่างที่หญิงสาวควรจะเป็น สีหน้าท่าทางของเธอเวลานี้ ไม่ต่างจากเด็กหนุ่มผู้ห้าวหาญในสนามแข่งรถเลยแม้แต่น้อย..

ความเป็นพี่น้องนั้น แม้จะพบหน้ากันเพียงแค่วันเดียว แต่สายสัมพันธ์จะคงอยู่ตลอดไป!

หลังจากที่ได้ฟังคําตอบโต้ของเสี่ยวหลิงหลง หลินหนานก็ได้แต่ยิ้มออกมา พร้อมกับย้อนถามเธอกลับไปว่า

“ได้! ในเมื่อคุณบอกว่าตระกูลเสี่ยวรักเกียรติยศ และหน้าตายิ่งกว่าสิ่งใด ผมก็อยากจะถามคุณว่าคุณอยากจะรู้บ้างมั้ยว่าใครที่อยู่เบื้องหลังอาการป่วยของพ่อคุณ?”

“หลินหนาน.. นายพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน?” เสี่ยวหลิงหลงร้องตะโกนถามเสียงดัง

แต่หลินหนานตอบกลับด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก “ถ้าผมบอกว่า พี่ชายของคุณเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดเขาจ้างคนพวกนั้นให้วางยาพ่อคุณ คุณยังจะห้ามผมอยู่มั้ย?”

“หะ?! นี่มัน..”

คําพูดของหลินหนานไม่ต่างจากค้อนที่ทุบลงกลางศรีษะของเสี่ยวหลิงหลง และเวลานี้หญิงสาวที่มีท่าทีสงบนิ่งก็เริ่มมีสีหน้างุนงงและตกใจ

พี่ใหญ่จ้างคนมาวางยาพ่องั้นเหรอ?

ทําไม? ทําไมเขาต้องทําถึงขนาดนี้ด้วย?

หลังจากจ้องมองหลินหนานด้วยแววตาตกตะลึง เสี่ยวหลิงหลงก็ได้หันไปมองร่างของอาจารย์ทั้งสามคนที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่

นี่นับเป็นความจริงที่โหดร้ายสําหรับเธอยิ่งนัก!

ในที่สุด เสี่ยวหลิงหลงก็หันไปบอกกับหลินหนานด้วยน้ําเสียงที่เย็นยะเยือก “หลินหนานฉันจะไม่ขัดขวางนายอีกนายอยากจะทําอะไรกับเขาของฉันก็เชิญ!”

เสี่ยวจือฉีที่กําลังคิดว่าโชคดีที่น้องสาวของตนเข้ามาได้ทันเวลานั้น หลังจากได้ยินคําพูดประโยคนี้ของน้องสาวใจของเขาก็ถึงกับล่วงหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที

เขาได้แต่กร่นด่าและสาปแช่งน้องสาวของตนเอง “เสี่ยวหลิงหลง ฉันเป็นพี่ชายของแกนะ!นี่แก.. แกกล้าทําเรื่องเลวทรามชั่วช้าด้วยการร่วมมือกับคนอื่นมาทําร้ายพี่แท้ๆได้ยังไง?แก.. แกยังมีมนุษยธรรมอยู่หรือเปล่า..”

ปัง!

ยังไม่ทันที่เสี่ยวจือจะพูดจบประโยคดี หลินหนานก็ซัดฝ่ามือลงไปที่เข่าข้างขวาของเสี่ยวจือฉีทันที!

กรอบ..

ท่ามกลางความตกตะลึงของเสี่ยวหลิงหลง หัวเข่าข้างขวาของเสี่ยวจือฉีก็ได้ยุบแบนลงไปราวกับเต้าหูนิ่มๆที่ถูกฟาดจนเละอยู่ใต้ฝ่ามือของหลินหนาน

“โอ๊ย!!”

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นไปทั่วทั้งบ้าน..

ร่างของเสี่ยวจือฉีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนโซฟาเวลานี้ ตามหน้าผากเริ่มมีเส้นเลือดสีเขียวปูดขึ้นมาเต็มไปหมดประหนึ่งว่าพร้อมที่จะระเบิดออกเป็นเสียงๆ ร่างของเขาบิดไปมารุนแรงด้วยความเจ็บปวดก่อนจะสลบไปในที่สุด

“เห็นแก่คุณ ผมถึงได้ใช้พลังไปเพียงแค่สามสิบเปอร์เซ็นเท่านั้น ถ้ารีบนําตัวส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลาก็ต้องใช้เวลารักษาตัวราวครึ่งปี แต่ถ้าช้าไป รับรองได้ว่าพี่ชายของคุณจะต้องใช้ไม้เท้าค่ําเดินไปตลอดชีวิตแน่!”

หลังจากที่หลินหนานจัดการสะสางภารกิจของตนเองเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันไปบอกกับเสียวหลิงหลงด้วยใบ หน้าที่เรียบเฉย

“หลินหนาน ขอบคุณที่ปราณี!”

เสี่ยวหลิงหลงกัดฟันกรอดจนแทบหัก เธอสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ หลังจากนั้นจึงได้รีบทําการโทรเรียกรถพยาบาลทันที

ส่วนหลินหนานก็เดินตรงเข้าไปหาหวี่ฝังซูกับผิงอี้เฉิน ที่กําลังนอนแน่นิ่งราวกับคนตายอยู่บนพื้น

“เลิกแกล้งทําเป็นตายได้แล้ว! หรืออยากจะตายจริงๆ ฉันจะได้สงเคราะห์ให้!”

“ไม่ๆ คุณชายหลินมีสายตาแหลมคมยิ่งนัก ลูกไม้ตื้นๆนี้ไม่สามารถตบตาคุณชายหลินได้จริงๆ”

ทันทีที่หลินหนานอ้าปากพูด ทั้งหวี่ฝังซูและผิงอี้เฉินที่แกล้งนอนตายอยู่บนพื้น ก็รีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วและท่าทางของพวกเขาสองคน ก็ไม่เหมือนคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเลยแม้แต่น้อย

แม้ว่าหลินหนานจะลงมือกับพวกเขาทั้งสองคนค่อนข้างรุนแรง แต่ทั้งคู่ต่างก็เป็นยอดฝีมืออีกทั้งยังเป็นหมอพิษด้วยร่างกายจึงไม่ได้อ่อนปลวกเปียกเหมือนกับเสี่ยวจือฉี

“ในเมื่อเยวี่ยเทียนเป็นสหายของพวกแกสองคน เพราะฉะนั้น ก็เป็นหน้าที่ของพวกแกที่จะต้องจัดการกับร่างไร้วิญญาณของเขา แล้วก็รับผิดชอบการกระทําร่วมกัน!” หลินหนานร้องบอกคนทั้งสองด้วยน้ําเสียงเย็นชาเช่นเคย

“เฮ้อ.. กว่าที่เยวี่ยเทียนจะฝึกฝนจนกลายเป็นหมอพิษที่เก่งกาจขนาดนี้ได้ เขาก็ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยากลําบากเขาเฝ้าหวังว่าจะลงเขามาเพื่อสร้างชื่อเสียง และความยิ่งใหญ่ให้กับตัวเอง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะต้องมาจบชีวิตลงในสภาพที่น่าเวทนาแบบนี้”

ผิงอี้เฉินได้แต่ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับรําพึงรําพันเสียงเศร้า ทั้งเขาและเยวี่ยเทียนต่างก็อยู่ในวัยที่ใกล้เคียงกันและทั้งคู่ก็ฝึกฝนการใช้พิษมาเหมือนกัน เมื่อได้เห็นเยวี่ยเทียนต้องมาจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้าเช่นนี้ เขาก็อด ที่จะสะท้อนใจไม่ได้

“ถ้าเขาไม่ทําเรื่องชั่วช้าเลวทรามตั้งแต่แรก ชีวิตของเขาก็คงไม่ต้องจบลงในสภาพแบบนี้ เอาล่ะ.. พวกแก สองคนรีบเอาศพของเขาไปจัดการให้เรียบร้อยได้แล้ว” หลินหนานเอ่ยตอบ

หวี่ฝังซูถึงกับยิ้มกว้าง และรีบบอกกับหลินหนานว่า “เรื่องนี้พวกเราสองคนจะจัดการให้เรียบร้อยเองเยวี่ยเทียนมีสถานที่ลับสําหรับใช้หลอมกลั่นยาอยู่บนเขาฟูหลงพอดี พวกเราจะจัดการนําศพของเขาไปฝังไว้ที่นั่น..”

สถานที่แห่งนั้นนอกจากจะลึกลับแล้ว ยังเป็นสถานที่ที่มีพลังวิญญาณรุนแรง เหมาะที่จะใช้เป็นที่ฝังร่างของเขาอย่างมากด้วย

หลังจากบอกกับหลินหนานแล้ว หภู่ผังซูกับผิงอี้เฉินก็เตรียมที่จะอุ้มร่างไร้วิญญาณของเยวี่ยเทียนออกไป

“หยุดก่อน! ฉันจะไปกับพวกแกด้วย!”

หลินหนานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดขึ้น และเมื่อชายทั้งสองได้ยิน สีหน้าของพวกเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วน หภู่ผังซูจึงรีบบอกกับหลินหนานไปว่า

“คุณชายหลิน เรื่องนี้ปล่อยให้พวกเราจัดการเองจะดีกว่า แต่ถ้าคุณชายหลินกลัวว่าพวกเราจะตุกติกก็ให้ผิงอี้เฉินอยู่เป็นตัวประกันที่นี่ก็ได้!”

“นี่เจ้าอ้วน! คิดที่จะหนีเอาตัวรอดคนเดียวสินะ อย่าคิดว่าฉันรู้ไม่เท่าทันแก! ทําตามที่คุณชายหลินบอกจะดีกว่า..”

“คุณชายหลิน คุณไปพร้อมกับพวกเราจะดีกว่า ที่นั่นมียาหลากหลายมากมาย อาจจะเป็นประโยชน์กับคุณชายหลินบ้าง!”

หลินหนานพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นเขาจึงได้หันไปบอกกับเสี่ยวหลิงหลงว่า “ผมจะไปกับพวกเขาสองคนส่วนคุณก็อยู่จัดการเรื่องทางนี้ก็แล้วกัน”

“ได้! ฉันจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยไม่ต้องเป็นห่วง”

เสี่ยวหลิงหลงพยักหน้า ก่อนจะพูดกับหลินหนานด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หลินหนาน ถึงแม้ตระกูลเดี่ยวของเราจะทําผิดต่อนายแต่ฉันก็หวังว่านายจะไม่ยกเลิกสัญญาที่ได้ให้ไว้หรอกนะ!”

หลินหนานตอบกลับด้วยเสียงที่ดังนัก “เรื่องนั้นคุณไม่ต้องเป็นห่วง ผมเป็นคนรักษาคําพูดที่ได้ให้ไว้กับผู้อื่นเสมอ!”

จากนั้น หลินหนานก็ก้าวเดินออกไปจากห้องรับแขกทันที..

“หลินหนาน.. นับว่าฉันก็ยิ่งไม่เข้าใจนายจริงๆ แต่ฉันได้แต่หวังว่า ในวันข้างหน้า นายจะไม่กลายมาเป็นศัตรู กับตระกูลเสี่ยวนะ หาไม่แล้ว”

เสี่ยวหลิงหลงพึมพํากับตัวเอง ในขณะที่สายตายังคงจับจ้องแผ่นหลังของหลินหนานที่ค่อยๆเดินห่างออกไปดวงตาสดใสเป็นประกายคู่นั้นของเสี่ยวหลิงหลง ปรากฏร่องรอยเย็นยะเยือกจับใจขึ้นมาวูบหนึ่ง